ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 500 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-7
บทที่ 500 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-7
…………….
“ที่แท้เจ้าก็เป็นคนในกรมสอบสวนกลาง…”
เจ้าหมิงหมิงมองเยว่ตี๋พลางกล่าว
น้ำเสียงไม่เคร่งเครียดเช่นก่อนหน้านี้แล้ว
ตั้งแต่รู้จักหลิวรุ่ยอิ่งนางก็รู้สึกดีกับกรมสอบสวนกลางอย่างบอกไม่ถูก
นับจากลงภูเขาจนถึงตอนนี้ เจ้าหมิงหมิงพบผู้คนและเจอเรื่องราวมากมาย แต่กลับมีไม่กี่คนที่ทำให้นางชอบใจและมีไม่กี่เรื่องที่ทำให้นางสบายใจ
แต่เจ้าหมิงหมิงกลับคิดว่าการได้เจอหลิวรุ่ยอิ่งเป็นเรื่องดีงาม
เด็กสาวอารมณ์อ่อนไหวมักฝันถึงเรื่องรักใคร่
ตอนอยู่เก้าบรรพตเจ้าหมิงหมิงเคยนอนฟุบบนระเบียงหน้าต่าง มองกลุ่มเมฆกระจายและรวมตัวกันบนท้องฟ้า กระทั่งดวงอาทิตย์จมจ่อม แสงสายัณห์เคลือบไล้ ราตรีลึกลับครอบคลุม ใจนางเฝ้าคอยอยากพบใครสักคนที่เป็นเรื่องดีงามหรือได้พบใครสักคนอีกครั้งด้วยใจจริง
ตอนนั้นนางมีช่องว่างในใจเสมอ หัวใจอันสมบูรณ์ด้วยเจ็ดอารมณ์หกตัณหาขาดไปส่วนหนึ่งก็ไม่งามนัก คล้ายถูกกระตุกดึงทุกขณะ ลมปราณทั่วกายติดขัดเล็กน้อย เพียงรอคนคนหนึ่งมาเติมเต็มช่องว่างนั้น แต่คนที่ต้องการการเติมเต็มก็จะสูญเสียหัวใจและความรู้สึกส่วนหนึ่งเช่นกัน
เก้าบรรพตไม่มีสี่ฤดูหมุนเวียน เช่นนั้นตอนอยู่ในสถานที่ที่มีแต่ดอกไม้คงไม่สู้โลกใบเล็กของอีกคนแน่นอน โลกใบเล็กนั้นอาจมีใบไม้ร่วงชวนเปลี่ยวเหงา มีหิมะฤดูหนาวตกโปรยปราย แต่ขอเพียงเดินเข้าไปยืนข้างกายคนผู้นั้นทั้งกายใจ ความหนาวเหน็บและความอ้างว้างก็จะหายวับไปกับตา
สองคนอิงแอบมองหิมะละลาย มองต้นไม้เหี่ยวเฉาคืนความเขียวชอุ่ม
สายน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งค่อยๆ เริงร่า คนผู้นั้นใช้หญ้าอ่อนที่เพิ่งขึ้นจากพื้นดินถักเป็นกำไล หญ้าเขียวอ่อนนุ่ม น้ำค้างเย็นเยียบ ทว่าไม่อาจดับไฟร้อนรุ่มไร้ที่มา เขาสวมมันไว้บนข้อมือขาวนวลของนางเหมือนสวมความงดงามทั้งมวลในโลกเอาไว้
กำไลหญ้าสัมผัสได้ถึงหัวใจเต้นรัวของอีกฝ่าย คลื่นความร้อนเช่นนี้อบอุ่นจนทำให้คนยากปฏิเสธ จากข้อมือสู่หัวใจและแผ่ขยายทั่วเรือนร่าง ไม่จำเป็นต้องมีคำสัญญาระหว่างแอบอิง แค่นั่งเช่นนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขแล้ว
แม้ยังต้องเจอสารทฤดูก็อาจซุกใบหน้าเข้ากลางอกเขาในยามที่ใบไม้ร่วงเต็มพื้น การร่วงหล่นและความเหี่ยวเฉาที่ผู้คนไม่เคยต้อนรับกลับจะมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
เหล่านี้ล้วนเป็นความใฝ่ฝันของเจ้าหมิงหมิง หลังจากนางคิดเพ้อละเมอก็จะรู้สึกอ้างว้างอย่างยิ่ง…ไม่มีใครรู้ว่าความฝันของตนจะกลายเป็นจริงหรือไม่ แต่ตราบใดที่มีเค้าความหวัง เช่นนั้นก็มากพอให้เป็นเรื่องเบิกบานใจ
ความใฝ่ฝันเช่นนี้ไม่ได้มีตลอดเวลา อาจเห็นบางสิ่งที่เชื่อมโยงกับมัน อาจเจอเรื่องที่ตนชอบใจแล้วความรู้สึกนั้นค่อยๆ ทะลวงออกมาเหมือนต้นอ่อนขึ้นจากดิน ลมปราณพลังชีวิตพลุ่งพล่าน ทำให้คนเวียนหัวตาลาย ใบหน้าแดงร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่
“ใช่”
เยว่ตี๋กล่าว
“แล้วเจ้ารู้จักหลิวรุ่ยอิ่งหรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
ก่อนหน้านี้นางก็ถามจิ้นเผิงด้วยคำถามเดียวกัน
แม้จิ้นเผิงบอกว่ารู้จัก แต่เขายังไม่ได้บอกนางชัดๆ ว่าหลิวรุ่ยอิ่งทำอะไรอยู่ที่ไหน
ตอนคิดถึงคนคนหนึ่งมักจะนึกถึงตลอดเวลา ความรู้สึกเช่นนี้ซ่อนไม่อยู่และต้านทานไม่ได้
“ทำไมเจ้าถึงรู้จักหลิวรุ่ยอิ่ง”
เยว่ตี๋ถามด้วยความแปลกใจ
“เคยพบกันสองสามครั้งในอาณาจักรติ้งซีอ๋องกับหอทรงปัญญา”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
แม้นางรู้จักมักคุ้นกับหลิวรุ่ยอิ่งแล้ว แต่ยังไม่อยากพูดมากเกินไป เจ้าหมิงหมิงแค่อยากรู้ความเป็นไปของหลิวรุ่ยอิ่งช่วงนี้เท่านั้น
“มิน่าเจ้าหนุ่มนั่นถึงได้นั่งนิ่งไม่หวั่นไหว…ข้ายังนึกว่าใจนิ่งจริง ไม่นึกว่าจะมีคนที่ชอบอยู่แล้ว!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวพึมพำ
“เจ้าชอบหลิวรุ่ยอิ่งด้วยหรือ”
หลี่จวิ้นชางรีบร้อนถาม
“ข้าไม่ได้ชอบเขาสักนิด เพียงแต่ตอนหลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งมารู้สึกเขาเป็นเด็กน้อยด้อยประสบการณ์เลยอยากแกล้งเขาหน่อย ถือโอกาสหาความบันเทิงแก้กลุ้ม! ไม่นึกว่าเขาจะไม่เล่นด้วย เมินข้าชนิดเอาหน้าคุยกับก้น…”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวไม่ยอมเล็กน้อย
“ดูท่าเจ้าจะแพ้เขาแล้ว!”
หลี่จวิ้นชางหัวเราะกล่าว
“ทุกคนล้วนมีมาตรฐานของตัวเอง แม้ข้าไม่ถูกใจหลิวรุ่ยอิ่ง แต่ก็มีคนไม่ลืมข้าเป็นสิบปีแล้วยังถ่อมาสถานที่ที่นกไม่ปลดทุกข์เป็นพันหมื่นลี้เพื่อพบข้าไม่ใช่หรือ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลี่จวิ้นชางถอยหลังครึ่งก้าว…เหมือนไม่อยากให้เถ้าแก่เนี้ยเห็นเขาอาย
ทั้งที่รู้ว่าเถ้าแก่เนี้ยหมายถึงเขา แต่หลี่จวิ้นชางแค่แอบดีใจอยู่ข้างใน ไม่เอ่ยสิ่งใด
เขาไม่พูด เถ้าแก่เนี้ยก็เริ่มเงียบ
ผ่านไปพักใหญ่ หลี่จวิ้นชางกลับรวบรวมความกล้าวางมือบนไหล่เถ้าแก่เนี้ย
เขารู้สึกได้ว่าเถ้าแก่เนี้ยตัวแข็งทื่อครู่หนึ่งและสะดุ้งเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ผ่อนคลาย นางยกไหล่สะบัดมือหลี่จวิ้นชางที่วางบนไหล่ตนออก จากนั้นฉวยจังหวะพิงบนแขนเขา
แขนสบายกว่ากำแพงอยู่แล้ว
นอกจากอ่อนนุ่มแล้วยังอบอุ่น
แต่หลี่จวิ้นชางรู้สึกทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกะทันหันรวดเร็วเกินไป ยังไม่ได้เตรียมพร้อมแต่อย่างใด ทว่าศีรษะของเถ้าแก่เนี้ยแนบอิงอยู่บนกายตน ปลายจมูกยังได้กลิ่นผมหอมจางๆ แล้ว เขาจึงปล่อยให้เป็นเช่นนั้น
ใจยังหวังให้คนในโถงใหญ่เหล่านั้นสู้กันนานขึ้นอีกหน่อย…
“ไม่นึกว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะเจ้าชู้พอตัว ดูคนจากหน้าไม่ได้จริงๆ!”
เยว่ตี๋หัวเราะกล่าว
“ข้ากับเขาเป็นแค่สหาย หรือยังไม่นับด้วยซ้ำ”
เจ้าหมิงหมิงขมวดคิ้ว กล่าวชัดถ้อยชัดคำ
นางไม่อยากให้ความฝันที่งดงามในใจตนแปดเปื้อนหรือถูกทำลาย
“ข้าเป็นสหายเขา เจ้ายังอยากออกกระบี่ใส่ข้าหรือไม่”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
“เจ้าเป็นอะไรกับเขาล้วนไม่เกี่ยวกับข้า หนำซ้ำเจ้ายังลงมือก่อน!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“แต่ตอนนี้ข้าไม่ว่าง อย่างน้อยก็ต้องไล่คนสอดมือพวกนี้ออกไปถึงจะจัดการเรื่องระหว่างเราได้!”
เยว่ตี๋กล่าว
“ข้าช่วยเจ้าได้”
เจ้าหมิงหมิงรู้ว่านางหมายถึงซุนเต๋ออวี่ตรงหน้า
พูดจบเยว่ตี๋ก็ตอบรับ
คราวนี้ซุนเต๋ออวี่ไม่มีแม้แต่เวลาแอบด่าเจิ้นเป่ยอ๋องในใจ เพราะกระบี่เจ้าหมิงหมิงแทงเข้าหากลางหลังเขาแล้ว ขณะเดียวกันเยว่ตี๋ก็พุ่งตัวเข้าฟันกระบี่
ซุนเต๋ออวี่ถูกขนาบหน้าหลัง ยังคงได้แต่ป้องกันหลบหลีกไม่อาจโต้กลับ รู้สึกอึดอัดใจอย่างเลี่ยงไม่ได้…
ความเกลียดชังระหว่างสตรีเกิดขึ้นเร็วนัก ทว่าย้ายคนเร็วยิ่งกว่า!
ดูเหมือนเกลียดกันให้ตายไปข้าง แต่ถ้ามีคนทำให้ทั้งสองฝ่ายเกลียดเหมือนกัน พวกนางสองคนก็จะร่วมใจกันต่อต้านศัตรูทันที ซุนเต๋ออวี่ในตอนนี้ก็เป็นตัวอย่างดีที่สุด
ซุนเต๋ออวี่รับคำสั่งท่านอ๋องมาคุ้มครองเจ้าหมิงหมิง แต่ตอนนี้ดันเข้ามาอยู่ในการต่อสู้ของสตรีสองคนโดยไม่รู้ตัว
เขาก้มตัว สองมือจับกระบี่ยันไว้บนพื้น ดูเหมือนหลบกระบี่ของเจ้าหมิงหมิงที่แทงเข้ากลางหลังเขาได้แล้ว
จากนั้นกระบี่ยาวในมือพลันออกจากฝัก ยกขึ้นตั้งตรงแล้วตัดกับกระบี่ของเยว่ตี๋เสียงดัง ‘แกร๊ง’
รอบนี้เสมอกัน ไม่มีใครได้เปรียบอีกฝ่ายสักนิด
เยว่ตี๋ใช้ท่าร่าง เงาร่างเคลื่อนย้ายรวดเร็วดุจคลื่นลมและสายฟ้า พริบตาเดียวหมุนมาถึงข้างกายซุนเต๋ออวี่ เปลี่ยนฝ่ามือเป็นกระบี่ ฟันไปยังแขนขวาเขาติดกันสามฝ่ามือ
นอกจากเยว่ตี๋โดดเด่นในวิชากระบี่แล้ว วิชาฝ่ามือก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน!
ซุนเต๋ออวี่คิดจะฟันกระบี่ให้พลังฝ่ามือรุนแรงของเยว่ตี๋ถอยกลับ แต่เขาถือกระบี่มือขวา แขนขวาเป็นจุดบอด
สถานการณ์คับขัน ได้แต่ออกฝ่ามือรับเช่นกัน
เขากับเยว่ตี๋สองฝ่ามือตัดกัน เกิดเป็นเสียงทุ้มต่ำ
พลังปราณไหลทั่วทิศ ม้วนไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว
มือซ้ายหลี่จวิ้นชางออกดาบฟันไปข้างหน้าดาบหนึ่งเพื่อทำลายคลื่นประหลาดสายนี้ แต่โต๊ะคิดเงินด้านข้างไม่ได้โชคดีเช่นนั้น…
หลังจากพังลงมา ไหสุราที่วางอยู่ด้านบนก็ตกพื้นแตกละเอียด กลิ่นสุราคละคลุ้งโถงใหญ่ หากให้คนดื่มสุราไม่เป็นเดินผ่านคงได้กลิ่นจนเมาไปทีเดียว…
“ที่เจ้ามีสุราดีเช่นนี้ ทำไมเมื่อครู่ไม่หยิบออกมาดื่ม”
หลี่จวิ้นชางขยับปีกจมูกดมกลิ่นสุราเข้มข้นพลางกล่าว
“เจ้าจะเข้าใจอะไร! สุราดีขายได้ราคาดี ดื่มเองน่าเสียดายแค่ไหน อีกอย่างสุราอะไรก็ดื่มเมาทั้งนั้น ยิ่งเป็นเหล้าขาวยิ่งเมาเร็ว เจ้าไม่ได้ดื่มสุราเพื่อเมาหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าอยู่เป็นนัก…”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“ของของข้าต้องได้เงินทุกชิ้น ไม่อย่างนั้นจะได้ชื่อว่าเถ้าแก่เนี้ยหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยย้อนถาม
“แต่เจ้าเอาสุราแบบเดียวกับของพวกคนงานมาเลี้ยงข้า…”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
ในใจหดหู่เล็กน้อย
“โลกนี้ใครทุบตีเจ้าแล้วเจ้าไม่แค้นใจ”
เถ้าแก่เนี้ยพลันเปลี่ยนหัวข้อถาม
“แม่ข้า!”
แม้หลี่จวิ้นชางไม่เข้าใจว่าเถ้าแก่เนี้ยถามเช่นนี้เพื่ออะไร แต่เขายังคงตอบ
“นี่ละ คนเราจะทำตัวตามสบายไม่นึกกังวลตอนอยู่กับคนใกล้ชิดที่สุดและความสัมพันธ์ที่วางใจที่สุดเท่านั้น หากข้าดูแลเจ้าเหมือนที่ทำกับลูกค้า พูดจาเกรงอกเกรงใจ ไม่ขาดคำสรรเสริญแล้วจัดโต๊ะชั้นดี เจ้าจะไม่ยิ่งรู้สึกแย่หรอกหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
หลี่จวิ้นชางคิดตามแล้วเป็นเช่นนั้นจริง
มีแค่คนใกล้ชิดเถ้าแก่เนี้ยที่สุดเท่านั้นนางถึงจะยอมทำกับแกล้มสองสามอย่างและดื่มสุรากาเล็กๆ บนแท่นเตาหลังร้าน ดื่มคุยไปหัวร่อไปกันสองคน
……………………….
กลับมาดูซุนเต๋ออวี่ถอยหลังหลายก้าว เยว่ตี๋แค่กายท่อนบนโอนเอนเล็กน้อย แม้ยืนเท้าเปล่า กลับยังมั่นคงดั่งก้อนหิน
นางยิ้มเหยียดหยันซุนเต๋ออวี่ คล้ายกำลังเยาะเย้ย
แต่ก็แน่ใจแล้วว่าซุนเต๋ออวี่ไม่กล้าลงมือกับนางถึงตาย
หากเมื่อครู่เขาออกฝ่ามือเต็มแรง ระหว่างทั้งสองก็เสมอกัน
“เยว่ตี๋! ข้าขอเตือนเจ้าอย่ารังแกคนอื่นเกินไป!”
ซุนเต๋ออวี่ชี้กระบี่ใส่หน้าเยว่ตี๋ กล่าวสีหน้าเขียวคล้ำ
“ข้าเป็นสตรีอ่อนแอ เท้าเปล่าไม่มีกระทั่งรองเท้า ตกลงข้ารังแกคนอื่นหรือคนอื่นรังแกข้า”
เยว่ตี๋กล่าว
ซุนเต๋ออวี่เห็นว่าพูดไปไร้ประโยชน์ เขาเองก็ไม่อยากถูกกระทำตลอดเช่นนี้
เมื่อใคร่ครวญถึงความเสียหายที่น้อยกว่า เขายกกระบี่เข้าโจมตีเจ้าหมิงหมิง
เจ้าหมิงหมิงยันขอบโต๊ะเอี้ยวลำตัวไปอยู่ข้างเยว่ตี๋
นางรู้ว่าหากพยายามสู้ด้วยร่างคนตอนนี้ย่อมแพ้ศัตรู ดังนั้นตราบใดที่ยืนอยู่ข้างเยว่ตี๋ต้องทำให้เขาสำรวมกิริยาได้แน่นอน
ไหนเลยจะคาดคิดว่ากระบี่ซุนเต๋ออวี่ไล่ตามสังหารเหมือนเงา ไม่ว่าเจ้าหมิงหมิงเคลื่อนย้ายท่าร่างอย่างไร ปลายกระบี่นั้นยังห่างจากตัวนางไม่ถึงสามชุ่น
……………………….
“ในนี้แออัดเกินไปแล้ว”
จิ้นเผิงกล่าว
การต่อสู้ระหว่างเขากับจิ้งเหยาหยุดลงเพราะฝ่ามือเมื่อครู่
“เจ้าจะเอาอย่างไร”
จิ้งเหยาเอ่ยถาม
“ไปข้างหลัง”
จิ้นเผิงกล่าว
จากนั้นถือกระบี่เดินไปโถงด้านหลังโดยไม่หันมามอง
จิ้งเหยาตามติดอยู่ข้างหลัง ทะลุผ่านประตูข้างบานหนึ่งในโถงด้านหลังมายังลานจอดรถม้า
“พวกเราก็ไปกันเถอะ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวกับหลี่จวิ้นชาง
“ทำไมต้องไป”
หลี่จวิ้นชางถามด้วยความฉงน
“ข้าก็เป็นผู้หญิง…ดูผู้หญิงทะเลาะกันไม่สนุกเท่าไร อีกอย่างสามคนในโถงใหญ่คงสู้ให้รู้ผลเฉยๆ แต่สหายสองคนนั้นหมุนดาบกระบี่กันถึงตายจริงๆ ต้องสนุกกว่าอยู่แล้ว!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลี่จวิ้นชางพยักหน้า
เขาไม่มีวันปฏิเสธคำแนะนำหรือความเห็นใดของเถ้าแก่เนี้ยแน่นอน
พวกเขาสองคนเร่งฝีเท้า เดินไม่กี่ก้าวก็เห็นเงาหลังจิ้งเหยาแล้ว
ทะลุประตูข้างโถงด้านหลังไปแล้วมีทางเล็กๆ ที่คับแคบและแสงส่องไม่ถึง
สองฝั่งเป็นกำแพง เพิงด้านบนคลุมด้วยหญ้าคาหนาๆ
ตอนดวงอาทิตย์ขึ้นสูง เดินอยู่บนทางเล็กสายนี้รู้สึกเหมือนตอนกลางคืน
โดยเฉพาะแสงสว่างจุดเล็กๆ ที่ส่องเข้ามาจากช่องหญ้าคายิ่งเหมือนดวงดาวเต็มผืนฟ้ายามราตรี
จิ้นเผิงเดินอยู่ข้างหน้า
จิ้งเหยาเก็บดาบโค้งเข้าฝักอีกครั้งแล้วตามอยู่ข้างหลัง
ทางเล็กสายนี้นอกจากคับแคบแล้วยังต่ำเล็กน้อย
ด้วยร่างกายสูงใหญ่ของจิ้งเหยาจำต้องค้อมหลังก้มหัวเล็กน้อยถึงผ่านไปได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ท่าทางเขายิ่งดูทรหด น่าขันกว่าเดิมหลายส่วน
ทางเล็กสายนี้ยาวนัก เดินอยู่นานจึงมาถึงสุดทาง
จิ้งเหยาได้ยินความเคลื่อนไหวด้านหลัง แต่ไม่ได้หันไปมอง
คนคนหนึ่งต้องจิตใจมั่นคงพอเท่านั้นถึงจะทำเช่นนี้ได้
…………………………………………
…………….