ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 499 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-6
บทที่ 499 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-6
…………….
ข้อเท้าเยว่ตี๋ถูกจับไว้ ร่างทั้งร่างมีแค่มือซ้ายนางที่ยันบนโต๊ะเพื่อรักษาสมดุล
เยว่ตี๋ที่กำลังฉุนเฉียวถูกคนขวางตอนนี้ยิ่งโมโห พลังปราณทั้งหมดบนขาทะลักโจมตีฝ่ามือของคนผู้นี้
แต่พลังปราณมหาศาลรุนแรงดุจมังกรทะยานกลับเงียบหายเหมือนวัวดินปั้นจมทะเล…
นางถึงได้เงยหน้ามองผู้มาเยือน…ซุนเต๋ออวี่
ทั้งสองมีความแค้นเก่าอยู่แล้ว ตอนนี้เพิ่มความแค้นใหม่อีก!
ไม่ควรยั่วโมโหสตรี โดยเฉพาะสตรีที่กำลังโกรธเกรี้ยว ไม่ว่านางกำลังโกรธแค่ไหนก็จะเอาความโกรธเดิมย้ายมายังตัวคนที่ยั่วโมโหนาง
หนำซ้ำคนยั่วโมโหตนยังเป็นคนที่ขัดแย้งกันเป็นทุนเดิม ยิ่งข่มความบ้าคลั่งไว้ไม่อยู่
นางยกกระบี่ที่ซ่อนไว้ขึ้นเล็กน้อยพร้อมหดขา ปลายกระบี่เล็งไปหาหว่างคิ้วของซุนเต๋ออวี่
อย่างไรซุนเต๋ออวี่ก็คงนึกไม่ถึงว่าเยว่ตี๋จะออกมือฉับพลันอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้
แต่เขาลืมมองไปว่าตนก็ขัดขวางเยว่ตี๋โจมตีเจ้าหมิงหมิงโดยไร้เหตุผลเหมือนกันไม่ใช่หรือ
เขาย่อมมีจุดยืนของตัวเอง เพียงแต่เยว่ตี๋ไม่รู้
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาเคยกำชับไว้โดยเฉพาะว่าห้ามปล่อยให้เจ้าหมิงหมิงได้รับบาดเจ็บในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง และตัวเขาก็รู้ขั้นฝึกยุทธ์ของเยว่ตี๋ชัดเจน เลยกังวลว่าหากสู้ต่อไปแล้วเจ้าหมิงหมิงพ่ายแพ้บาดเจ็บไม่รู้จะชี้แจงอย่างไร…
ซุนเต๋ออวี่ออกแรงข้อมือจับไว้แน่นหนา
เยว่ตี๋ชักขากลับเช่นนี้ทำให้รองเท้าข้างหนึ่งของตนหลุดอยู่ในมือเขา
ซุนเต๋ออวี่มองรองเท้าสตรีบนมือตนยังไม่ทันคืนสติก็เห็นประกายแสงเย็นวาบพุ่งใส่ใบหน้า
แต่เขาไม่มีอารมณ์สู้ติดพัน แค่อยากหยุดความขัดแย้งระหว่างเยว่ตี๋กับเจ้าหมิงหมิงเท่านั้น
เมื่อไม่มีอารมณ์จึงไม่ออกกระบี่
มือขวาซุนเต๋ออวี่ถือรองเท้าไว้ มือซ้ายยกกระบี่พกที่ยังอยู่ในฝักป้องกันกระบี่ของเยว่ตี๋อย่างผ่อนคลาย
กระบี่นางแค่เกิดจากความฉุนเฉียว ไม่ได้รุนแรงหรือผ่านการใคร่ครวญ
ถึงกระนั้นซุนเต๋ออวี่ก็ยังรู้สึกชาง่ามนิ้ว
“นี่เจ้ากำลังทำอะไร”
เสียงหวดกระบี่ยาวยังไม่สิ้น เยว่ตี๋ก็เอ่ยถามเสียงดุดัน
“จุดประสงค์ข้าแค่มองก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”
ซุนเต๋ออวี่กล่าวใสซื่อเล็กน้อย
คิดจะพูดเหตุผลกับสตรีที่กำลังโกรธจัดเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้
โดยเฉพาะตอนสตรีคนหนึ่งกำลังต่อสู้กับสตรีอีกคนหนึ่ง ซุนเต๋ออวี่โผล่มากะทันหันทั้งยังเข้าข้างอีกฝ่ายชัดเจน
สตรีก็เป็นเช่นนี้
ตอนเจ้าไม่ช่วยนางจะโทษเจ้าว่าทำไมไม่ยื่นมือเข้าช่วย
หากเจ้ายืดอกเพื่อความถูกต้องมักจะถูกตำหนิว่าดูถูกนางใช่หรือไม่
แต่อย่างไรก็ไม่ควรเอนเอียง
เมื่อสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ต่อให้มีพันปากก็อธิบายไม่ได้ กระโดดลงแม่น้ำจักรพรรดิก็คุยไม่รู้เรื่อง
“เจ้าเป็นอะไรกับนาง”
เยว่ตี๋ใช้กระบี่ชี้เจ้าหมิงหมิงและเอ่ยถามซุนเต๋ออวี่
“ไม่ได้เป็นอะไรกัน ข้าไม่รู้จักนางและไม่เคยพบหน้าด้วยซ้ำ”
ซุนเต๋ออวี่ส่ายหน้ากล่าว
พูดจบยังโยนรองเท้าในมือคืนให้เยว่ตี๋ นึกไม่ถึงนางยกกระบี่ฟันรองเท้าเป็นสองซีก ยังฉวยจังหวะใช้กระบี่ปาดรองเท้าอีกข้างของตนฟาดใส่หน้าซุนเต๋ออวี่!
เท้านางขาวนัก ขาวกว่าหน้าเสียอีก
สวมถุงเท้าทั้งวัน ไม่โดนลม ไม่ตากแดด ไม่เปียกฝนย่อมขาวผ่องกว่ามือและหน้า
แต่ปัญหาคือเท้าของเยว่ตี๋ยังงามประณีต
มือกระบี่หญิงแต่งตัวเต็มยศแต่ยืนเท้าเปล่าช่างดูแปลกประหลาดอยู่บ้างจริงๆ แต่เถ้าแก่เนี้ยที่ยืนพิงกำแพงมองเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างกลับป้องปากหัวเราะเบาๆ
“เจ้าหัวเราะอะไรอีก”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถาม
ตั้งแต่เขามาถึงเหมืองแร่และเข้าร้านมาเจอเถ้าแก่เนี้ยอีกครั้ง ดูเหมือนวันนี้นางมีความสุขที่สุด
ไม่ว่าจะยิ้มหวาน หัวเราะเสียงเบาหรือหัวเราะดังลั่นล้วนนับครั้งไม่ถ้วน
“เจ้าไม่เคยถอดเสื้อผ้าสตรีย่อมไม่รู้ว่าข้าหัวเราะอะไร”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ทุกเรื่องล้วนมีครั้งแรก ข้าไม่เป็นเจ้าสอนข้าได้ ข้าไม่รู้เจ้าก็บอกข้าได้เช่นกัน”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“สอนเจ้าถอดเสื้อผ้า? หากข้าสอนเจ้าแล้วเจ้าไปถอดเสื้อผ้าคนอื่นอีก เช่นนั้นข้าไม่เสียเปรียบแย่หรอกหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยย้อนถาม
หลี่จวิ้นชางอ้าปาก แต่ไม่ได้เอ่ยออกมาสักคำ
ไม่รู้ทำไม เขาเองก็นับเป็นมือเก่าในหอนางโลม ทำไมเถ้าแก่เนี้ยหยอกเล่นเบาๆ แค่สองประโยคกลับเริ่มเขินอาย ไม่รู้ควรพูดอะไร
“หากสตรีคนหนึ่งถอดรองเท้ายืนเท้าเปลือยอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าจะนึกถึงอะไร”
เถ้าแก่เนี้ยหันไปบุ้ยปากมองเยว่ตี๋พลางกล่าว
“ข้าจะคิดว่านางอยากนอน”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“อืม…ก็ใช่ อย่างไรการนอนก็เป็นเรื่องที่ต้องทำบนเตียง เจ้าพูดเช่นนี้ก็ผ่าน!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลี่จวิ้นชางขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจความหมายในคำพูดเถ้าแก่เนี้ย
ทุกคนที่รู้จักใช้ตะเกียบกินข้าวเองก็คงรู้กันหมด
“ไม่รู้จริงๆ ว่าถอดรองเท้าแล้วยังมีความหมายล้ำลึกเช่นนี้…”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
ในภาพจำเขาเคยเห็นสตรีถอดรองเท้าคนเดียว
นั่นก็คือแม่ของเขา
ทุกครั้งที่แม่เขาถอดรองเท้า เขาก็รู้ว่าตัวเองต้องก่อเรื่องอะไรอีกแน่…
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามทั้งตระกูลหลี่แห่งรัฐหงก็จะเห็นนายน้อยใหญ่กุมก้นหน้าบวมออกมาจากห้อง
บางครั้งบนคอยังมีรอยรองเท้าครึ่งหนึ่ง
“สตรีต่างคนย่อมสื่อความนัยต่างกัน”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลี่จวิ้นชางพยักหน้า จุดนี้เขายอมรับทีเดียว
เขาก็คิดว่าการระบายอารมณ์ทางกายกับความรักทางจิตใจเป็นคนละเรื่อง
สองสิ่งไม่ขัดแย้งและไม่ส่งผลเป็นอุปสรรคต่อกัน
“อย่างไรก็เป็นคนคุ้นเคย…เป็นมิตรหน่อยไม่ได้หรือ”
ซุนเต๋ออวี่หลบรองเท้าที่ลอยเข้าหาหน้าแล้วกล่าว
“คราวก่อนพูดกับเจ้าชัดเจนมากแล้ว เจ้ากับข้าไม่ติดค้างกัน! หากเจ้ายังดึงดันจะเป็นเช่นนี้ ข้าจะฆ่าเจ้า ไม่ว่าเจ้าเป็นใครหรือฐานะอะไร”
เยว่ตี๋กล่าว
ซุนเต๋ออวี่แอบด่าท่านอ๋องในใจ…
เดิมนึกว่าการคุ้มครองเจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยามาถึงเหมืองแร่ครั้งนี้เป็นงานสบาย ไม่นึกว่าในเหมืองแร่เล็กๆ นี่จะรวมเทพแปดทิศเอาไว้ แต่ละองค์ยั่วยุไม่ได้เลย
เยว่ตี๋ผู้นี้ ไม้อ่อนไม้แข็งล้วนใช้ไม่ได้ เอาน้ำเข้าลูบเอาไฟเข้าลนล้วนไม่ยอม
สิ่งที่เชื่อมีแค่ความคิดของตัวเอง
ใต้หล้ามีคนสองประเภทที่รับมือง่ายที่สุด
หนึ่งคือพวกรั้นหัวแข็ง ทำอะไรต้องมีหลักการ
คนเช่นนี้ขอแค่เจ้ามีฝีปากถึงขั้นหนึ่ง สุดท้ายย่อมพูดจนเขายอมตามได้หมดแน่นอน
อีกประเภทคือพวกไร้หลักการ ทำตามใจชอบอย่างเดียว
คนเช่นนี้ขอแค่จับจุดได้แล้วเอาใจตามความชอบ คนมักมากให้หญิงงาม คนโลภมากให้เพชรพลอย เท่านี้ก็ควบคุมอยู่ในกำมือได้อย่างง่ายดาย
ประเภทที่น่ากลัวที่สุดคือคนแบบเยว่ตี๋ อารมณ์ไม่มั่นคง ทำตามใจนึก
เหตุผลก็มี หลักการก็ว่า แต่เลือกใช้ตามคนตามเรื่อง
คำพูดของเยว่ตี๋ทำเอาซุนเต๋ออวี่อึดอัดแทบหายใจไม่ออก คิดว่าตอนแรกลูกชายตนต้องตาบอดเป็นแน่…
แม้เยว่ตี๋ยังคงมีเสน่ห์ หน้าตาก็สะสวย แต่นิสัยประหลาดปานนี้…ไม่รู้เขาสองคนคบหากันได้อย่างไร
หากรู้แต่แรกว่ามาเหมืองแร่แล้วจะเจอคนสร้างความยุ่งยากเช่นนี้ ก่อนมาซุนเต๋ออวี่ต้องไปนั่งในห้องลูกชายและสืบถามนิสัยความชอบของเยว่ตี๋อ้อมๆ แน่นอน
“ในเมื่อเจ้ารู้ฐานะข้า ก็น่าจะรู้ว่าข้าไม่ออกมือง่ายๆ”
ซุนเต๋ออวี่กระแอมเบาๆ ดึงสาบเสื้อเล็กน้อยและกล่าวจริงจัง
คำพูดนี้ เยว่ตี๋ไม่ได้เถียงในทันที
ซุนเต๋ออวี่เป็นผู้ถวายงานวังเจิ้นเป่ยอ๋อง ทุกการกระทำคำพูดล้วนเป็นตัวแทนของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
เรื่องเล็กๆ ทั่วไปเขาย่อมไม่จำเป็นต้องสอดมือจัดการ
มีแค่เรื่องที่เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากำชับเป็นพิเศษถึงทำให้เขาใส่ใจเช่นนี้!
เยว่ตี๋เคลื่อนสายตาไปหาเจ้าหมิงหมิง แม่นางน้อยผู้นี้มีฐานะสั่นสะเทือนโลกาหรืออย่างไร
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจเยว่ตี๋ทันที
‘ได้ยินว่าเจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาไม่ได้แต่งงาน พูดถึงอายุแม่นางผู้นี้เป็นรุ่นลูกเขาพอดี หรือว่านางจะเป็นบุตรีนอกสมรสของเจิ้นเป่ยอ๋อง’
เยว่ตี๋คิดเช่นนี้ สายตาที่มองเจ้าหมิงหมิงพลันลดความโหดเหี้ยมลงหลายส่วน…
ต่อให้คนเป็นพ่อตำแหน่งสูงแค่ไหน แต่สุดท้ายไม่อาจให้ฐานะมารดาของนางได้
เด็กคนนี้คงทุกข์ยากมาไม่น้อย…
ในใจนางเกิดความเอ็นดูเช่นความรักของแม่ พร้อมกับเริ่มเห็นใจและอ่อนโยนกับเจ้าหมิงหมิง
“ข้าไม่รู้จักเจ้า เหตุใดต้องมาสอดมือเรื่องส่วนตัวของข้า”
เหนือความคาดหมาย ตอนซุนเต๋ออวี่รู้สึกว่าเยว่ตี๋สงบอารมณ์ลงแล้ว เจ้าหมิงหมิงกลับเอ่ยคำชวนตะลึง
ให้ความรู้สึกเหมือนโยนก้อนหินทำลายท้องฟ้ากลางน้ำ
“ท่านไม่รู้จักข้า แต่เจ้านายข้ารู้จักท่าน!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
เขาหันมาพยักหน้าแสดงความสุภาพให้เจ้าหมิงหมิงเล็กน้อย ในคำพูดยังถึงขั้นใช้คำเรียกยกย่อง
“เจ้านายเจ้าข้าก็ไม่รู้จัก”
เจ้าหมิงหมิงส่ายหน้ากล่าวเฉยชา
“เจ้านายข้าก็คือคนที่อยากเลี้ยงสุราท่าน แต่กลับถูกท่านปฏิเสธก่อนหน้านี้”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
พอกล่าวเช่นนี้เจ้าหมิงหมิงพลันนึกออกทันที
แต่นางก็ไม่รู้จักเจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาเท่าไร ทำไมเขาต้องส่งลูกน้องตัวเองมาปกป้องตน
หรือเป็นแบบเดียวกับคุณชายจางในหอราชสีห์นั่น แค่หลงใหลความงามของตนเท่านั้น…
“ไม่ว่าเจ้าหรือเจ้านายเจ้าข้าก็ไม่รู้จัก! หากเจ้ายังดึงดันสอดมือ เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ใช้ดาบคุยกับเจ้า!”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยแข็งกร้าว
ชั่วขณะหนึ่ง ซุนเต๋ออวี่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก…
เขาเปิดเผยฐานะเจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาไม่ได้ จึงไม่อาจหาคำสมเหตุสมผลมาอธิบายต่อหน้าผู้คนให้เยว่ตี๋กับเจ้าหมิงหมิงพอใจ
เยว่ตี๋ได้ยินคำว่า ‘เจ้านาย’ แล้วใจสั่นสะเทือน!
ซุนเต๋ออวี่เป็นผู้ถวายงานวังเจิ้นเป่ยอ๋อง แล้วเจ้านายเขาจะมีใครได้อีก แน่นอนว่าเป็นเจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยา
นางนึกถึงทุกอากัปกิริยาของคนข้างกายซุนเต๋ออวี่ตั้งแต่เขาเดินเข้าร้านอยู่ในหัวอย่างรวดเร็ว ยิ่งรู้สึกการคาดเดาของตนไม่ผิดแน่
จากนั้นหันไปมองจิ้นเผิงที่ยังสู้ติดพันกับจิ้งเหยาแวบหนึ่ง นางอยากส่งข่าวว่าเจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาอยู่ที่นี่ แต่กลับไม่มีจังหวะ
“เจ้าปกป้องนางเพราะเป็นคำสั่งของเจ้านายเจ้า?”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
ซุนเต๋ออวี่พยักหน้า
นางถามเช่นนี้ไม่ใช่เพราะชื่อเจิ้นเป่ยอ๋องขู่ขวัญนางได้
อย่างไรเยว่ตี๋ก็เป็นผู้กำกับการกรมสอบสวนกลาง กรมสอบสวนกลางตรวจสอบใต้หล้าโดยมีฉิงจงอ๋องหนึ่งในห้าอ๋องหนุนหลัง เอ่ยถึงความมั่นใจก็ไม่น้อยกว่ากัน
อีกอย่างที่ครั้งนี้กรมสอบสวนเข้ามายุ่งเรื่องเบี้ยหวัดถูกปล้นเป็นการใหญ่ ก็เพราะเจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาส่งจดหมายหาฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าขอให้คนของกรมสอบสวนมาช่วยตรวจสอบด้วยตนเอง
เยว่ตี๋เข้าใจข้อสำคัญนี้แล้วยิ่งมั่นใจ ยังคงมองซุนเต๋ออวี่ด้วยสายตาไม่พอใจนัก
“แต่นางเดินทางมาพร้อมชาวทุ่งหญ้าเหล่านี้ ข้าคิดว่านางน่าสงสัยในเรื่องเบี้ยหวัดเป็นอย่างมาก ต้องจับมาไต่สวนสักรอบถึงจะรู้ว่าบริสุทธิ์หรือไม่!”
เยว่ตี๋กล่าว
มือซ้ายยื่นเข้าอกล้วงป้ายคำสั่งผู้กำกับการกรมสอบสวนกลางของตนออกมาวางบนโต๊ะดัง ‘ปึง’
“เจ้าต้องต่อต้านเช่นนี้ด้วย?”
ซุนเต๋ออวี่เอ่ยถาม
เขาก็เริ่มมีน้ำโห
รู้สึกตนใจดีกับเยว่ตี๋ถึงที่สุดแล้ว เหตุใดนางต้องบีบคั้นไม่ลดราวาศอกเช่นนี้ด้วย
“ข้าไม่ได้ต่อต้านใคร ข้าแค่ทำหน้าที่ผู้กำกับการกรมสอบสวนอย่างเต็มที่เท่านั้น กลับกันเจ้าต่างหากที่กำลังต่อต้าน ต่อต้านทั้งกรมสอบสวนกลาง!”
เยว่ตี๋กล่าว
ซุนเต๋ออวี่ฟังแล้วหัวเราะทันที
ชื่อใหญ่โตนัก!
ลองถามใต้หล้ามีกี่คนที่กล้าต่อต้านกรมสอบสวนกลาง
ด้วยฐานะของเยว่ตี๋ ไม่ว่าไปอาณาจักรอ๋องคนใดท่านอ๋องเป็นต้องมาเลี้ยงต้อนรับเองไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
แต่อย่างไรซุนเต๋ออวี่ก็เป็นแค่ผู้ถวายงานวังอ๋อง มีปัญหาต่อต้านกรมสอบสวนกลางแล้วจะคุ้มเสียที่ไหนกัน
………………………………………
…………….