ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 496 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-3
บทที่ 496 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-3
…………….
จิ้นเผิงมองแสงดาบทั่วฟ้า เพียงแทงออกหนึ่งกระบี่พร้อมเสียงฟ้าผ่าครั่นครืนอย่างไม่รีบร้อน
วาดเพียงสองกระบี่ก็ทำลายตาข่ายแสงดาบที่จิ้งเหยาถักทอลงได้
ชั่วขณะนั้นโต๊ะเก้าอี้แตกหักอีกหลายชุด
จิ้งเหยานึกไม่ถึงว่าจิตกระบี่ของจิ้นเผิงจะคล้ายกับหลิวรุ่ยอิ่งเช่นนี้ เหมือนเปลี่ยนจากความเย็นเยียบในหน้าหนาวเป็นใบไม้ผลิเดือนสามในพริบตา แม้แต่อากาศรอบตัวก็อุ่นชื้นขึ้น ไม่มีพายุทราย
แม้จิ้งเหยาไม่ได้บาดเจ็บ แต่ในกายก็สูญเสียพลังปราณอย่างไม่อาจเลี่ยง…บัดนี้ยกดาบราวสายลม อยากรีบสู้รีบตัดสิน
จิ้นเผิงอ่านความคิดเขาออกตั้งแต่แวบแรก เคลื่อนตัวกับจิ้งเหยาอยู่กลางโถงใหญ่
ท่าร่างของจิ้งเหยาไม่ว่องไวเท่าจิ้นเผิง เป็นเช่นนี้ต่อไปมีแต่เสียแรงเปล่า
“นี่เจ้าทำอะไร สู้ก็ไม่สู้ วิ่งก็ไม่วิ่ง!”
จิ้งเหยากล่าวอย่างโมโห!
เขารู้สึกถูกหยาม!
จิ้นเผิงทำเช่นนี้เหมือนพาสนุกเดินเล่นเอาสนุก…
“ต่อสู้หรือสงบศึกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า และไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้า! ส่วนจะสู้หรือวิ่งก็เป็นหลักเดียวกัน!”
จิ้นเผิงหยุดนิ่งและกล่าว
จิ้งเหยาส่งสายตาให้ลูกน้องของเขา โพล่งภาษาทุ่งหญ้าให้พวกนั้นฉวยจังหวะรีบออกไปจากร้าน รักษาเบี้ยหวัดให้ดีและไปคิดหาวิธีกับเกาเหริน
เขารู้ว่าชีวิตของตนไม่มีค่ากับกรมสอบสวนกลางสักอีแปะเดียว สิ่งที่จิ้นเผิงให้ความสำคัญมีแค่เบี้ยหวัดกองทัพชายแดนอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องที่ตนปล้นไปเท่านั้น
ลูกน้องเหล่านั้นเห็นจิ้งเหยาส่งสายตาและได้ยินคำสั่งจากผู้นำหน่วยก็เคลื่อนไหวทันที จิ้นเผิงไม่ได้ขวางกระบี่ห้ามไว้ อย่างไรก็ต้องจับโจรเอาหัวหน้า ขอเพียงจับจิ้งเหยาได้ พวกปลาซิวปลาสร้อยที่เหลือย่อมไม่สำคัญ
แต่ตอนกำลังออกไปหนึ่งในนั้นตระหนกรีบร้อนไปหน่อย เผลอชนกาสุราบนโต๊ะจนสุราสาดกระจายถึงบนตัวเกาลัดคั่วน้ำตาล
“พวกเจ้ามีตาหรือไม่?!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถามเสียงดุดัน
“มากินข้าวดื่มสุรายามนี้ต่างหากที่ไม่มีตา!”
เสียงเยว่ตี๋ดังทอดมาจากชั้นบน
“เจ้าเป็นใคร ทำไมต้องยุ่งเรื่องชาวบ้าน”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถามพลางชี้ชั้นบน
เยว่ตี๋ไม่ได้ต่อปากกับนางอีก
เจ้าหมิงหมิงก็ดึงแขนเสื้อเกาลัดคั่วน้ำตาลให้นางพอได้แล้ว
จากนั้นพยุงแขนอวี๋เมิ่งแม่นางน้อยลึกลับลุกขึ้นเดินออกไป ก่อนออกจากประตูยังกำชับเกาลัดคั่วน้ำตาลให้วางตั๋วเงินไว้บนโต๊ะคิดเงินแล้วใช้ของหนักทับไว้จะได้ไม่ถูกลมพัดปลิว
“พวกเจ้าไปไม่ได้!”
จิ้งเหยามองเจ้าหมิงหมิงที่กำลังออกจากร้านพลางกล่าว
“ทำไมไม่ได้”
เจ้าหมิงหมิงย้อนถาม
“หากเจ้าจะไป ต้องยกแม่นางน้อยให้พวกข้า!”
จิ้งเหยากล่าวอย่างไม่สนใจ
นี่ทำให้เจ้าหมิงหมิงโมโหจนหัวเราะออกมา
ตลอดทางนี้จิ้งเหยากับคนอื่นคอยติดตามอยู่ข้างหลังไม่พอ ยังบังคับขอตัวแม่นางน้อยผู้นี้ตลอดเวลาโดยไม่ให้เหตุผลอื่นใด เจ้าหมิงหมิงนิสัยดีแค่ไหนยามนี้ก็สุดทนแล้ว!
นางให้เกาลัดคั่วน้ำตาลพยุงแม่นางน้อยไว้ ตนกลับชักกระบี่หันมาพุ่งโจมตีใส่ลำคอของจิ้งเหยา
การกระทำนี้ทำให้จิ้นเผิงกับจิ้งเหยาตกใจหน้าถอดสี!
จิ้นเผิงกับเจ้าหมิงหมิงไม่มีความขัดแย้งใด แต่เขาก็ไม่อาจให้จิ้งเหยาตายด้วยน้ำมือคนอื่น
อย่างไรก็ยังไม่รู้ว่าเบี้ยหวัดหลายล้านนี้อยู่ที่ไหนกันแน่
หากจิ้งเหยาตาย เบาะแสนี้เป็นต้องขาดหาย!
ดังนั้นแม้จิ้นเผิงเบี่ยงกายยืนอยู่ด้านข้าง แต่ยังคงแอบเตรียมตัว จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเจ้าหมิงหมิง
นึกไม่ถึงตอนกระบี่เจ้าหมิงหมิงยังอยู่ห่างจิ้งเหยาในระยะหนึ่งจั้งก็ถูกเงาสีขาวสายหนึ่งพุ่งเข้ามาขวางกะทันหัน เกิดเป็นเสียงดังกังวาน!
“ในเมื่อจะไปแล้ว เหตุใดต้องหันมาสอดมือสร้างความยุ่งยาก”
เยว่ตี๋จ้องใบหน้างามล้ำของเจ้าหมิงหมิงพลางเอ่ยถาม
“หากเจ้าถูกคนสะกดรอยตามกว่าร้อยลี้ก็จะเลือกทำเหมือนข้า!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เยว่ตี๋ขมวดคิ้วงามเล็กน้อย หันมามองจิ้งเหยาและเจ้าหมิงหมิง
“เจ้าสองคนมีความขัดแย้งใดกันแน่”
“เขาพาคนตามสังหารแม่นางน้อยผู้นั้น ข้าผ่านไปพอดีเลยช่วยนางไว้ ตั้งแต่หยุดหาที่พักพวกเขาก็ตามข้ามาจนถึงเหมืองแร่!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าเป็นคนดีมีน้ำใจ”
เยว่ตี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก
เจ้าหมิงหมิงรู้ว่านางไม่เชื่อคำพูดของตนโดยสิ้นเชิง แต่นางก็ไม่มีสิ่งใดมาใช้เป็นหลักฐานได้จริงๆ
หากแม่นางน้อยหายเป็นปกติและพูดได้ เรื่องทั้งหมดนี้คงอธิบายได้ไม่ยาก
“ทำไมชาวทุ่งหญ้าเช่นพวกเจ้าต้องตามราวีแม่นางน้อยคนหนึ่ง”
เยว่ตี๋หันมาถามจิ้งเหยา
จิ้งเหยากลอกตาใส่เยว่ตี๋ ไม่สนใจนางแม้แต่น้อย
บนชั้นสอง ในห้องดีที่มีอ่างอาบน้ำนั้น เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากลั้นเสียงหัวเราะจนตัวสั่น!
มองจากข้างหลังเหมือนกำลังไออย่างหนัก
ซุนเต๋ออวี่เห็นเข้าก็รีบเดินเข้าไปรินน้ำแก้วหนึ่ง แล้วยื่นให้เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยา
“ท่านอ๋อง เรื่องใดทำให้ท่านสุขใจเช่นนี้”
ซุนเต๋ออวี่เอ่ยถาม
“ข้ากำลังสนุกกับคนหนุ่มสาวข้างล่าง!”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาดื่มน้ำอึกหนึ่งและกล่าวอย่างผ่อนคลาย
“พวกเขาแทบจะพังร้านนี้แล้ว…เมื่อครู่กระหม่อมยังอยากชวนท่านอ๋องออกไปเร็วสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“ออกไป? จะออกไปได้อย่างไร?! ข้าจะบอกเจ้าให้ ไปที่ไหนก็ยากเจอคนเก่งกาจฐานะยุ่งเหยิงเช่นกลุ่มข้างล่าง”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่ได้บอกกระหม่อมเลยว่าสตรีผู้นั้นมีฐานะใดกันแน่”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“สองคนในโถงด้านหลังนั้นคงเป็นคนรักที่เป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก ผู้ชายคือตระกูลหลี่แห่งรัฐหง ผู้หญิงคือจวนชิงแห่งรัฐหง ว่าไปแล้วโชคชะตาเล่นตลกจริงแท้! หากตระกูลหลี่ไม่พังพินาศ ต่อให้หลี่จวิ้นชางกับเถ้าแก่เนี้ยไม่ใช่ศัตรูคู่แค้น ช้าเร็วก็ต้องตัดสัมพันธ์เพราะจุดยืนของตระกูล ไหนเลยจะมีโอกาสคบหากันด้วยใจเช่นนี้”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ส่วนผู้หญิงที่เจ้าถามถึง…นางมาจากเก้าบรรพต ทั้งยังเป็นบุตรีของเจ้าหุบเขา! แม้ข้าไม่รู้เหตุผลที่นางลงจากเก้าบรรพตมายังโลกมนุษย์ หรือเหตุใดต้องมาอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องข้า แต่เจ้าต้องดูแลนางให้ดี! ตราบใดที่นางอยู่ในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องวันหนึ่งก็อย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีกับนาง ไม่ว่าจากใครหรือขุมอำนาจใดก็ตาม!”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าวกำชับซุนเต๋ออวี่
เขาพยักหน้ารับ ในใจกลับเริ่มใคร่ครวญเงียบๆ
เหมืองแร่นี้คล้ายกลายเป็นศูนย์กลางวางหมากของขุมอำนาจแต่ละฝ่าย
นอกจากขุมอำนาจอย่างราชสำนักทุ่งหญ้า กรมสอบสวนกลาง วังเจิ้นเป่ยอ๋องและรัฐหงแล้ว ยังมีอสูรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
“ต้องเตือนผู้กำกับการกรมสอบสวนกลางผู้นั้นหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกลัวนางลงมือหนักเกินไป หากเผลอทำร้ายบุตรีของเจ้าหุบเขาจะทำเช่นไร”
ซุนเต๋ออวี่ครุ่นคิดในใจแล้วเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร…หากนางอ่อนแอเช่นนั้นจริง บิดาของนางคงไม่กล้าปล่อยนางมาท่องโลกมนุษย์เช่นนี้ ก่อนนางเข้ามาในร้าน จิตของข้าตรวจดูพื้นที่สิบกว่าลี้โดยรอบแล้ว นอกจากตัวนางกับสาวใช้คนนั้นก็ไม่มีเงาอสูรตัวใดอีก!”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าว
“หากเป็นเช่นนั้น บุตรีของเจ้าหุบเขาก็ต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“ฮ่าๆ นางไม่ใช่มนุษย์อยู่แล้ว แค่แปลงกายเท่านั้น…แม้อสูรเก้าบรรพตมีหนังสือสัญญากับอาณาจักรห้าอ๋องพวกเรา แต่อย่างไรก็มีอันตรายซ่อนอยู่เหมือนราชสำนักทุ่งหญ้า! หากยืมโอกาสนี้ดูฝีมือของบุตรีเจ้าหุบเขาได้ก็เป็นโอกาสทำความเข้าใจพวกเขาไม่ใช่หรือ แย่แค่ไหน ช่วยนางครั้งหนึ่งก็ผูกมิตรได้ ไม่แน่อาจยุติสงครามในวันหน้าได้!”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าว
จากนั้นเขาเลื่อนสายตามองไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
เงาคนคนหนึ่งยืนอยู่บนหาดทรายโกบีเพียงลำพัง
ดูแล้วน่าสงสารเล็กน้อย
แต่แววตาเจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาไม่มีความสงสารเห็นใจใด กลับฉายแววความโหดเหี้ยมแวบหนึ่ง!
“ส่วนเขา พอเจอเบี้ยหวัดแล้วก็ระดมผู้ถวายงานในวังอ๋องไปตามจับให้เร็วที่สุด เป็นหรือตายย่อมได้ทั้งสิ้น!”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยายกแขนออกนอกหน้าต่าง ชี้เงาโดดเดี่ยวนั้นพลางกล่าว
“ท่านอ๋อง เขาเป็นใครหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่เอ่ยถาม
“เขาชื่อเกาเหริน เคยเป็นศิษย์พี่ของห้าสุดยอดนักพรตอินหยางไท่ไป๋รุ่นปัจจุบัน”
เจิ้นเป่ยอ๋องกล่าวกับซุนเต๋ออวี่
เอ่ยถึงห้าสุดยอดนักพรตอินหยาง แม้สูงส่งเหมือนห้าอ๋อง แต่ก็ต้องระมัดระวังหลายส่วน
…………………..
ทุกครั้งที่เสียงโต๊ะเก้าอี้แตกหักดังมาจากโถงใหญ่ หลี่จวิ้นชางก็จะยิ้มอ่อนมองเถ้าแก่เนี้ยด้วยเจตนาบางอย่าง
“เจ้าทำหน้าเช่นนี้ข้าดื่มสุราไม่ลง…”
เถ้าแก่เนี้ยเคาะจอกสุราในมือบนแท่นเตาแรงๆ พลางกล่าว
“แล้วสีหน้าแบบไหนถึงจะดื่มลง”
หลี่จวิ้นชางย้อนถาม
เก็บสีหน้า
แต่เถ้าแก่เนี้ยไม่ตอบ
หลี่จวิ้นชางจำได้ว่าเถ้าแก่เนี้ยเคยเป็นคนไม่มีความอดทน เรื่องเล็กน้อยก็ทำให้นางระเบิดเหมือนสายฟ้าได้
ที่จริงหลี่จวิ้นชางไม่เคยคิดมาก่อนว่าถ้าเขาใช้ชีวิตกับเถ้าแก่เนี้ยจะเป็นภาพแบบไหน เขาเกิดในตระกูลหลี่ เถ้าแก่เนี้ยเป็นคุณหนูใหญ่จวนชิง ระหว่างทั้งสองมีเรื่องยากอธิบายและไม่อาจทำตามใจตนมากมายเหลือเกิน ถึงอย่างไรหลี่จวิ้นชางเพียงหวังให้คนข้างกายเขามีชีวิตที่ดี…
เขาจึงเกลียดสวรรค์ที่มีสิทธิ์อะไรมาควบคุมชะตาชีวิตของเขา เหตุใดการเวียนว่ายทุกชาติภพต้องขึ้นอยู่กับมัน ตอนดื่มสุรามักอ่อนไหวได้ง่าย ทำให้คนนึกถึงอดีตและความรู้สึกที่เคยปล่อยวางได้ไม่ยาก
“ข้าไม่อยากไปโถงใหญ่ ไม่ใช่เพราะข้าไม่สนใจ แต่เพราะข้าอยากรู้ ข้าอยากรู้ว่าพอข้าทนแรงกระตุ้นนี้ไม่ไหวแล้วไปโถงใหญ่ที่นั่นจะเป็นอย่างไร แม้ข้าเป็นสตรี แต่ก็พบเจอเรื่องที่ตนสนใจกับเด็กหนุ่มที่ชื่นชอบเหมือนกัน หลายปีมานี้ พี่ชายข้าเหมือนอยู่ใกล้ แต่ความจริงข้ากับเขาไม่ได้คุยอะไรกันเลย…แต่ถึงเป็นเช่นนี้ ตอนหันกลับไปมองข้าถึงได้พบว่าข้าเองก็มีคนที่ห่วงใย ตัดไม่ขาดและต้องการให้ข้าปกป้องมากมาย”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“เจ้ามาเหมืองแร่แค่เพราะอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว…แต่วิถีทางโลกก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งเจ้าอยากอยู่คนเดียวก็ยิ่งยากจะอยู่คนเดียว ไม่มีสิ่งใดอยู่ตลอดไป สิ่งที่คงอยู่ ถ้าไม่ชำรุดก็สูญหาย พูดถึงคนที่ยังอยู่ ถ้าไม่หนีหายก็ตายจาก แต่ไรมาเรื่องที่ทำสำเร็จและสิ่งที่ถูกทิ้งไว้ตรงมุมล้วนอยู่ตรงนั้นเสมอ พวกเราไม่ขาดอะไร แต่ก็ไม่มีอะไรเลย! หากต้องคิดว่าทำไมตัวเองกลายเป็นเช่นวันนี้หรือเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ข้าก็พูดไม่ออกเช่นกัน แต่ ณ ตอนนี้ข้าคิดว่าข้ากำลังทำเรื่องถูกต้องก็พอแล้ว มันก็เท่านี้”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“แล้วเจ้าคิดว่าการมาพบข้าเป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยถาม
“แน่นอน! โลกนี้คงไม่มีเรื่องใดถูกต้องไปกว่าเรื่องนี้อีกแล้ว!”
หลี่จวิ้นชางพยักหน้ากล่าว
……………………………………
…………….