ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 494 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-1
บทที่ 494 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-1
…………….
หลี่จวิ้นชางจ้องเถ้าแก่อ้วนตาเขม็ง สีหน้าสับสนเล็กน้อย แต่เขามองไปมองมาก็พลันหัวเราะออกเสียง
“เขาไม่ใช่สามีของเจ้าแน่!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
เขาหันกลับมายกกาสุราเตรียมรินให้ตัวเองอีกจอก แต่จอกสุราหลายจอกที่วางบนแท่นเตาล้วนว่างเปล่า นี่ทำให้หลี่จวิ้นชางรู้สึกหมดอารมณ์เล็กน้อย…ตอนเบิกบานมักอยากดื่มสักจอก จะมาทำลวกๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะกับความรู้สึกของตัวเอง!
“ใครบอกว่าเขาไม่ใช่สามีของข้า!”
เถ้าแก่เนี้ยยืดคอตรงกล่าว
นางเชิดคางเล็กน้อย ลุกยืนด้วยความยโสอย่างยิ่ง ยื่นแขนคล้องข้อพับเถ้าแก่อ้วนในท่านกน้อยอิงแอบ ทำหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้มแสดงอำนาจใส่หลี่จวิ้นชาง
หลี่จวิ้นชางไม่สนใจการทำท่าทำทางของเถ้าแก่เนี้ยแม้แต่น้อย กลับเอาความสนใจทั้งหมดมาไว้บนตัวเถ้าแก่อ้วน รูปร่างเขาสูงใหญ่นัก สูงกว่าหลี่จวิ้นชางครึ่งศีรษะ ลำตัวก็กว้างกว่าเท่าหนึ่ง
ตอนนี้เขายืนจับมือไหล่ชิดกับเถ้าแก่เนี้ยอยู่หน้าประตูครัวโถงด้านหลัง บดบังแสงอาทิตย์ด้านนอกจนแทบทะลุเข้ามาไม่ได้
แม้ทั้งสองท่าทางใกล้ชิดสนิทสนม แต่หลี่จวิ้นชางเห็นเถ้าแก่อ้วนตัวเกร็ง ดูแข็งทื่ออย่างยิ่ง เหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วตรงหน้าผากเริ่มไหลกลิ้งมาตามปลายผมอย่างเงียบเชียบ
เขากำลังกังวลอะไรอยู่ หากเถ้าแก่เนี้ยเป็นภรรยาเขาจริง แล้วเถ้าแก่อ้วนจะกังวลได้อย่างไร นอกจากพวกใจอ่อน บุรุษจะกังวลกับท่าทีสนิทสนมของภรรยาแค่สถานการณ์เดียว นั่นคือตอนเขามีความลับในใจ
เถ้าแก่อ้วนกับเถ้าแก่เนี้ยใช้ชีวิตอยู่ในร้านนี้มาตลอด หลายปีนี้กระทั่งนอกเหมืองยังไม่เคยเดินออกไปสักก้าว แล้วในใจเขาจะมีเรื่องให้กังวลได้อย่างไร
ความกังวลเดียวคือเขาไม่ใช่สามีของเถ้าแก่เนี้ย อย่างน้อยหลี่จวิ้นชางก็ยืนยันจุดนี้อยู่ในใจแล้ว ไม่ว่าเถ้าแก่เนี้ยพิสูจน์อย่างไรก็ล้วนไร้ประโยชน์
เถ้าแก่เนี้ยรู้ว่าหลี่จวิ้นชางฉลาด ลูกไม้ตื้นๆ ของตนหลอกเขาไม่ได้แน่นอน แต่นางก็เป็นคนไม่ยอมแพ้ ไม่มีทางก้มหัวก่อนอยู่แล้ว เถ้าแก่เนี้ยมองสีหน้าปกติของหลี่จวิ้นชาง จากนั้นเอาแขนออกจากข้อพับเถ้าแก่อ้วน ฉวยมือออกแรงตบหน้าท้องใหญ่นูนของเขา
“คนทะเลาะกันยังไม่รีบไปห้าม? หรือเรื่องต่อยตีฆ่าแกงเช่นนี้ยังต้องให้พวกผู้หญิงเช่นข้าขวางอยู่ข้างหน้า?!”
เถ้าแก่อ้วนอ้ำๆ อึ้งๆ เนิ่นนานยังพูดเป็นคำไม่ออก ได้แต่พยักหน้าหันกายด้วยความขุ่นเคือง
เมื่อเขาไปแล้วหลี่จวิ้นชางกลับหัวเราะร่ากว่าเดิม
“เจ้าหัวเราะอะไร”
เถ้าแก่เนี้ยถามไม่สบอารมณ์
“ข้าหัวเราะเจ้า!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“ข้ามีอะไรน่าขัน หรือหัวเราะรูปร่างสามีข้าไม่ผอมเพรียวพอ หน้าตาไม่หล่อเหลาพอ”
เถ้าแก่เนี้ยย้อนถาม
“สามีเจ้ารูปร่างกำยำล่ำสัน สูงใหญ่หล่อเหลา เป็นชายรูปงามที่หาได้ยากจริงๆ”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
ตนกลับหัวเราะจนหายใจไม่ทัน
“หากเจ้ายังพูดจาประชดประชันเช่นนี้ต่อไป เราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกัน!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
พูดจบยังทำท่ายกขาจะออกไปจริง
“ข้าหัวเราะที่ใต้หล้านี้คงไม่มีสตรีคนใดเรียกตัวเองว่าพวกผู้หญิง!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
หลังพูดจบเขานึกว่าตนจะหัวเราะร่ากว่าเดิม นึกไม่ถึงเขากลับหุบรอยยิ้มฉับพลัน ถึงขั้นรู้สึกว่าการหัวเราะเมื่อครู่ไม่เหมาะสมและน่าเบื่อนัก…
“อ้อ…แล้วอย่างไรต่อ”
เถ้าแก่เนี้ยไล่เลียง
หลี่จวิ้นชางถูกถามเช่นนี้ อารมณ์เมื่อครู่พลันหดหายหมดสิ้น…นอกจากรู้สึกไม่เหมาะสมและน่าเบื่อ ยังถึงขั้นรู้สึกละอายใจเล็กน้อย แม้เขาไม่รู้ว่าความละอายนี้มาจากไหน แต่ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตนทำเรื่องไร้จิตสำนึก
“เอาเถอะ พวกผู้หญิงก็ดีไม่น้อย เป็นภาษาชาวบ้าน พูดแล้วไม่ระคายหู!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
ท่าทีก่อนหน้านี้หายหมดสิ้น ตอนนี้เริ่มสงบนิ่งอย่างยิ่ง
“เจ้าไม่ไปคุมเรื่องในโถงใหญ่หน่อยหรือ”
ทั้งสองนั่งเงียบตรงข้ามกัน ไม่พูดจาอยู่นาน ครั้งนี้หลี่จวิ้นชางจึงเอ่ยปากถาม
“ไม่”
เถ้าแก่เนี้ยโบกมือกล่าว
“ทำไมหรือ”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถามด้วยความฉงน
เขาเข้าใจที่เถ้าแก่เนี้ยเรียกตัวเองว่าพวกผู้หญิง แต่ไม่เข้าใจที่มีคนก่อเรื่องในร้านแล้วเถ้าแก่เนี้ยไม่สนใจสักนิด
“เพราะการชกต่อยมักทำลายข้าวของ ข้าวของในร้านราคาถูกนัก แต่ค่าชดเชยแพงยิ่ง การทำธุรกิจคือการแสวงหาความร่ำรวยไม่ใช่หรือ พวกเขาชกต่อยเลือดออก ข้านั่งเป็นตาเฒ่าตกปลา ไม่ใช่เรื่องดียิ่งหรอกหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยยิ้มเจ้าเล่ห์กล่าว
หลี่จวิ้นชางมองหน้าเถ้าแก่เนี้ย ส่ายหน้าอย่างจนใจ
ความคิดสตรียากคาดเดาโดยแท้…
ตอนเจ้าคิดว่าตัวเองตามหลังนางตลอดเวลา นางกลับเดินพลัดหายไปจากตรงหน้าเจ้า เมื่อเจ้ารวมกำลังมากพอ คิดจะอยู่เหนือนางและเป็นฝ่ายนำหน้า นางกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม หลี่จวิ้นชางคิดว่ามีแต่ตนต้องกลายเป็นสตรี ไม่เช่นนั้นชาตินี้คงยากเข้าใจว่าในหัวเถ้าแก่เนี้ยที่นั่งตรงข้ามเขากำลังคิดอะไรอยู่!
…………………….
ในโถงใหญ่
จิ้งเหยาไม่ได้สนใจกระบี่ในมือจิ้นเผิง
แต่ด้วยความเคารพศัตรู เขาก็ยืนขึ้นเช่นกัน
“เจ้าไม่ชักดาบหรือ”
จิ้นเผิงเอ่ยถาม
เขาแปลกใจกับการตอบสนองของจิ้งเหยานัก
“ในเมื่อเจ้าบอกว่ามือข้างาม ข้าก็อยากใช้มือสักหน่อย!”
จิ้งเหยากล่าว
“ข้าไม่เคยพูดว่ามือเจ้างาม ข้าแค่บอกว่ามือเจ้าเหมือนคนหนึ่งมากเท่านั้น”
จิ้นเผิงยิ้มกล่าว
ใจคิดว่าจิ้งเหยาพูดเอาดีเข้าตัวเก่งจริง
นึกไม่ถึงเพิ่งพูดจบจิ้งเหยาออกแรงสองขา คนทั้งคนพุ่งเข้าหาจิ้นเผิงเหมือนอินทรีทองบนทุ่งหญ้า
จิ้นเผิงมองร่างทรงพลังของจิ้งเหยาแล้วเก็บกระบี่เข้าเข็มขัดอย่างไม่รีบร้อนก่อน
ตอนมือเขาเพิ่งคลายด้ามกระบี่ พลังฝ่ามือของจิ้งเหยาก็จู่โจมเข้ามาแล้ว
จิ้นเผิงยกสองแขนอย่างอ่อนกำลัง เหมือนรับฝ่ามือนี้ด้วยความปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง นึกไม่ถึงกลับทำให้จิ้งเหยาร้องครางเสียงต่ำ จากนั้นร่างเขาก็ลอยเฉียงออกไปร่วงอยู่ข้างโต๊ะเมื่อครู่ในพริบตา
เสียงสะเทือนรุนแรงทำให้ฝุ่นที่สะสมบนคานมานานปีร่วงพรูลงมาใส่ศีรษะจิ้งเหยาและกายของจิ้นเผิงพอดี
จิ้นเผิงมองฝุ่นละอองสีเทาบนไหล่ ก่อนเป่าเบาๆ และงอนิ้วดีด จัดการเสื้อผ้าบริเวณไหล่ทั้งสองจนสะอาดหมดจด
ย้อนมาดูจิ้งเหยาแล้วอนาถเล็กน้อย…
ฝุ่นลงตรงไหนก็ไม่ควรลงบนศีรษะ
จิ้งเหยายืนหัวคลุกฝุ่นอยู่ตรงนั้น ได้แต่ออกแรงสะบัดศีรษะและใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้าถึงจะพอกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้บ้าง
แต่เขานึกไม่ถึงว่าแรงฝ่ามือของจิ้นเผิงจะแข็งแกร่งหาใดเปรียบเช่นนี้!
ฝ่ามือเมื่อครู่ของจิ้งเหยาเคลื่อนพลังปราณแปดส่วนแล้วแท้ๆ แต่ยังถูกจิ้นเผิงต้านกลับทั้งอย่างนั้น เห็นตอนเขายกสองแขนเหมือนเส้นบะหมี่ลวกเละ แต่เมื่อสองฝ่ามือสัมผัส จิ้งเหยาพลันรู้สึกเหมือนตนยืนอยู่บนกำแพงเหล็กแข็งแกร่งยากบุกทะลวง
ดีที่เขาไม่ได้ทำตัวเป็นผู้กล้าออกแรงโจมตีอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นภายในต้องเจ็บสาหัสเป็นแน่
ถึงกระนั้น การจู่โจมหกล้มหกลุกครั้งนี้ทำให้ใจเขาพะว้าพะวัง หนำซ้ำแม้ไม่ได้บาดเจ็บหนักอะไร แต่ชั่วขณะที่พลังปราณในฝ่ามือของทั้งสองปะทะกัน จิ้งเหยาก็รู้สึกมีบางอย่างแปลกๆ ในพลังปราณของจิ้นเผิง…
แม้ตอนนี้เขายังยืนตัวตรง แต่ทั้งกายกลับเหมือนตกลงไปในโรงน้ำแข็ง ความเย็นเยือกผุดขึ้นจากฝ่าเท้าสู่หัวใจฉับพลัน หากเขาไม่พยายามหมุนอินหยางสองขั้วในกายให้พลังปราณกระจายถึงสี่แขนขาร้อยกระดูก เพื่อต้านทานความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจบรรยายได้นี้ จิ้งเหยาเป็นต้องล้มนอนขดตัวสั่นอยู่บนพื้นเป็นแน่
แต่จิ้งเหยายังรู้สึกพลังปราณในกายหมุนเวียนเฉื่อยชาเล็กน้อย…ไม่ว่าจุดลมปราณหรือจุดในระบบ ตอนนี้พลังปราณที่เคยใสสะอาดพลันเปลี่ยนเป็นข้นหนืด เดินหน้าถอยหลังไม่ได้เหมือนคนที่สองเท้าจมลึกในกองโคลนเ แต่ในเมื่อออกมือแล้ว จิ้งเหยาย่อมรู้ว่าไม่มีทางให้ถอยอีก ดังนั้นแม้ในกายผิดปกติเพียงใดก็ต้องฝืนประคองไว้ ห้ามแสดงออกแม้แต่นิดเดียว
ทว่าเมื่อจิ้งเหยานึกถึงพลังสองฝ่ามือเมื่อครู่ของจิ้นเผิงก็อดหวั่นใจไม่ได้…ตอนนี้เขายื่นมือซ้าย สะบัดแขนเสื้อปลดชุดของคนอาณาจักรห้าอ๋องตัวนอกนี้ออกทันที
จิ้งเหยาถ่ายพลังปราณลงชุดนี้แล้วขว้างใส่จิ้นเผิง
แบนราบเหมือนบานประตูครึ่งบาน!
จิ้นเผิงกลับงอนิ้วดีดเหมือนตอนปัดฝุ่นเมื่อครู่
ตอนชุดนี้อยู่ห่างเขาไม่ถึงสามชุ่น ได้ยินเพียงเสียง ‘พรึ่บ’ ชุดที่จิ้งเหยาขว้างมาถูกพลังปราณที่ปลายนิ้วจิ้นเผิงดีดออกโจมตีเข้าพอดี จากนั้นร่วงตรงหน้าเท้าอย่างแผ่วเบา แขนเสื้อข้างหนึ่งรับแรงฉีกจากพลังปราณไม่ไหวจึงขาดออก
เดิมจิ้งเหยาคิดยืมชุดนี้บดบังสายตาของจิ้นเผิงเพื่อรอจังหวะลงมือ ไม่นึกว่าจิ้นเผิงจะแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ถูกขัดขวางซ้ำๆ เช่นนี้ก็ทำให้จิ้งเหยาอดหนาวสั่นพรั่นพรึงไม่ได้ ใจขลาดกลัวถอยหลังก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมหรือ เจ้ามั่นใจในสองมือของเจ้ามากไม่ใช่หรือ”
จิ้นเผิงยิ้มกล่าว
“ข้ามั่นใจในตัวข้าเองเท่านั้น ส่วนมือ แม้เป็นส่วนหนึ่งของข้าเหมือนกัน แต่ข้าไม่เคยสนใจมันเท่าไร!”
จิ้งเหยามองมือของตนพลางกล่าว
แสงเย็นฉายวาบ ดาบโค้งออกจากฝัก!
จิ้งเหยาพลันรุดถือดาบฟันเข้าใส่จิ้นเผิง แม้เขาทำเพื่อโจมตีตอนอีกฝ่ายไม่เตรียมป้องกัน แต่ในสายตาคนอื่นนี่เป็นการลอบโจมตีโดยสิ้นเชิง…เดิมจิ้งเหยาไม่อยากทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่อาจทำผิดต่อเป้าหมายสุดท้ายในการมาเหมืองแร่ คิดไปคิดมาก็ได้แต่ทำเช่นนี้!
แต่ถึงพลังดาบโค้งของจิ้งเหยารุนแรง จิ้นเผิงก็ยังนิ่งไม่สะทกสะท้าน
มือขวาแตะส่วนสีดำบนเข็มขัด กระบี่อ่อนพลันอยู่ในมือ
มันต่างจากกระบี่ยาวทั่วไป กระบี่อ่อนพลิกแพลงมากหลาย เลิศล้ำหมื่นส่วน ยิ่งอ่อนตัวเป็นพิเศษ โจมตีตอนอีกฝ่ายไม่เตรียมป้องกันได้ดีที่สุด
จิ้นเผิงไม่ได้ถ่ายพลังปราณให้กระบี่อ่อนในมือตั้งตรงโดยสมบูรณ์ เพียงออกแรงครึ่งหนึ่งให้กระบี่อ่อนในมือสั่นไหวไม่หยุดเหมือนงูน้ำ แล้วดูเหมือนวางอยู่บนสันดาบโค้งของจิ้งเหยาอย่างอ่อนกำลัง
พริบตานั้นดาบกระบี่เชื่อมกันแน่น
จิ้งเหยาหลุดออกไปไม่ได้ บนหน้าจิ้นเผิงปรากฏรอยยิ้ม
เดิมเพลงดาบลอบโจมตีของจิ้งเหยาอาจทำให้จิ้นเผิงบาดเจ็บเลือดออกได้ แม้ไม่คิดคว้าชัยในดาบเดียว แต่ผลลัพธ์ตรงหน้าเกรงว่าจะเหนือความคาดหมายของจิ้งเหยาโดยสิ้นเชิง
ในยามนี้เอง จิ้นเผิงพลันได้ยินเสียงฝ่าอากาศสับสนวุ่นวายทอดมาจากข้างหลัง
สถานการณ์เร่งรีบเขาก็ไม่มีเวลาหันไป
เคลื่อนปราณท่าร่างลอยขึ้นหนหนึ่งแล้วลงใจกลางโถงใหญ่
ถือกระบี่ยืนหันหลังให้ประตูร้าน
“พวกเจ้าไร้คุณธรรมบู๊ไปหน่อย!”
จิ้นเผิงออกปากตำหนิ
เมื่อครู่เป็นพวกลูกน้องจิ้งเหยาอ้อมมาด้านหลังจิ้นเผิงเงียบๆ
หากจิ้นเผิงตอบสนองช้าคงถูกดาบสะเปะสะปะนี้แยกร่างหั่นเป็นกองเนื้อแล้ว
“คุณธรรมบู๊? หมายถึงอะไร!”
จิ้งเหยาเอ่ยถาม
นี่ทำให้จิ้นเผิงตอบไม่ถูก…
แต่พอคิดอีกที เขากับจิ้งเหยาไม่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้เข้าใจ แต่ต่อสู้ให้เป็นตายไปข้าง
เมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมทำทุกวิถีทาง
ไม่ว่าเป็นอุบายชั่วร้าย โหดเหี้ยม ผู้คนรังเกียจเพียงใด เมื่อใช้ในสถานการณ์ตรงหน้าล้วนยอมรับได้
……………………………………
…………….