ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 493 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-10
บทที่ 493 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-10
…………….
“เบี้ยหวัดอยู่ที่ใด”
จิ้นเผิงถามหลังจากวางชามสุราลง
ทว่าเขาไม่ได้พูดออกมา แต่ส่งกระแสเสียงเข้าไปในหูของจิ้งเหยาแทน
“ข้านึกว่าดื่มสุราแล้วจะเป็นสหายกันเสียอีก”
จิ้งเหยาพูด
เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา แตกต่างจากจิ้นเผิง
“หากเจ้าให้เบี้ยหวัดข้า เราน่าจะเป็นสหายกันได้”
จิ้นเผิงกล่าว
“เจ้ารู้ตัวตนข้าได้อย่างไร”
จิ้งเหยาเอ่ยถาม
นี่ทำให้เขาสับสนอย่างมาก…
“เพราะมือของเจ้า”
จิ้นเผิงตอบ
“มือของข้า?”
จิ้งเหยาชูมือของตนขึ้นมาดูอย่างละเอียด ตั้งแต่เกิดมานี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาสังเกตมือของตนเองอย่างละเอียด
“มือของข้ามีอะไรพิเศษหรือ”
จิ้งเหยาถาม
ฝ่ามือของเขาหนาและกว้าง ข้อต่อเด่นชัดมาก แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังไม่เข้าใจว่ามือของตนมีอะไรพิเศษที่ทำให้จิ้นเผิงสามารถมองออกถึงตัวตนของเขา
“มือของเจ้าคล้ายกับคนคนหนึ่ง”
จิ้นเผิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย
“เหมือนใคร”
จิ้งเหยาถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เหมือนกับผู้ที่ช่วยชีวิตข้า”
จิ้นเผิงตอบ
ทันทีที่พูดออกมา จิตใจของเขาพลันโล่งขึ้นทันที รู้สึกว่าความลังเลก่อนหน้านี้ไม่มีความหมายเลย ถึงแม้บุญคุณจะยังคงอยู่ แต่ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนตรงหน้า แม้ว่าเขาจะมีความเห็นใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงเป็นคนของกรมสอบสวนกลาง
บางครั้งการมีจุดยืนที่ต่างกัน ก็สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
“เช่นนั้นเจ้าคงจำผิดแล้ว…ข้าไม่เคยช่วยชีวิตเจ้า”
จิ้งเหยาพูดพลางยิ้ม
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น…เพราะมือกับใบหน้ามันต่างกัน หากจำผิดก็เป็นเรื่องธรรมดา”
จิ้นเผิงกล่าว
“ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าข้าเป็นใคร พวกข้าจะรู้จักเจ้าได้หรือไม่”
จิ้นเผิงถาม
“กรมสอบสวนกลาง”
จิ้นเผิงตอบอย่างรวดเร็วและตรงไปตรงมาว่าตนเองเป็นใคร
เมื่อได้ยินคำว่า ‘กรมสอบสวนกลาง’ สีหน้าของจิ้งเหยาก็เปลี่ยนไปทันที อารมณ์เขาเยือกเย็นสุดขีด
จิ้นเผิงคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของจิ้งเหยาเกิดจากการที่ได้ยินชื่อ ‘กรมสอบสวนกลาง’ แต่จิ้งเหยานึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง หรือจะพูดให้ถูกก็คือนึกถึงอีกคนหนึ่ง
“หลิวรุ่ยอิ่งอยู่ไหน”
จิ้งเหยาถามอย่างตรงไปตรงมา
“หลิวรุ่ยอิ่ง? เหตุใดเจ้าถึงอยากพบเขา”
จิ้นเผิงตะลึงเมื่อได้ยินชื่อหลิวรุ่ยอิ่งจากปากของจิ้งเหยา
เขาเคยคิดว่า จิ้งเหยาชาวทุ่งหญ้าคนนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการปล้นเบี้ยหวัดครั้งนี้ แต่เมื่อเขาเอ่ยชื่อหลิวรุ่ยอิ่งอย่างตรงไปตรงมา จิ้นเผิงก็รู้ว่าตนประเมินเขาต่ำเกินไป…
คนผู้นี้ที่เพิ่งดื่มสุรากับเขาน่าจะเป็นผู้นำของการปล้นเบี้ยหวัดครั้งนี้ จิ้งเหยาผู้นำหน่วยแห่งราชสำนักทุ่งหญ้า!
“เจ้าเป็นคนของกรมสอบสวนกลาง น่าจะรู้จักเขา”
จิ้งเหยากล่าว
เขาไม่ได้ตอบคำถามของจิ้นเผิง
“เขาอยู่ที่นี่จริงๆ เพียงแต่ออกไปทำธุระ ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด”
จิ้นเผิงกล่าว
“เบี้ยหวัดอยู่ที่ข้าจริง แต่ข้าจะไม่ให้เจ้า หากจะให้จริงๆ ข้าก็จะให้หลิวรุ่ยอิ่ง”
จิ้งเหยากล่าว
พูดจบก็นั่งลงหยิบชิ้นเนื้อม้ารมควันที่ยังไม่ได้กินขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากเสียเวลาไปเมื่อครู่นี้ เนื้อที่เคยร้อนก็เริ่มอุ่น กำลังพอดี หากเย็นไปกว่านี้ ไขมันบนเนื้อจะเริ่มแข็ง กินแล้วเลี่ยน
จิ้นเผิงเห็นดังนั้น ก็รู้ว่าการเจรจาด้วยคำพูดไม่ได้ผลอีกต่อไป
เขาใช้ชามดินเผาหยาบๆ สำหรับดื่มชาตักสุราจากไหอีกครั้ง ครั้งนี้เขาดื่มรวดเร็วนัก ความเร็วของเขาไม่แพ้นายท่านจินที่ชอบดื่มเร็วๆ
หลังจากดื่มเสร็จ เขาเอนตัวไปข้างหลัง ยกแขนขึ้นสูงและเหยียดขาตรง ยืดร่างกายเป็นตัวอักษรต้า (大)
จิ้นเผิงค้างอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่งก่อนจะหดขาและยืนที่ข้างโต๊ะทันที มือขวาลูบที่เข็มขัดแล้วชักกระบี่ออกมา
ในห้องโถงที่แสงสลัว เมื่อจิ้นเผิงชักกระบี่ออกมา ห้องก็ดูสว่างขึ้นสามส่วนทันที เกาเหรินที่อยู่ข้างจิ้งเหยาเห็นเข้าก็ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปทางประตู
การต่อสู้เช่นนี้ไม่เกี่ยวกับเขา แต่ก่อนออกไป เขามองไปยังปลายบันไดชั้นสอง
ข้อตกลงระหว่างเขากับจิ้งเหยาถือว่าสิ้นสุดลงทันทีที่มาถึงเหมืองแร่ ข้อตกลงใหม่ยังไม่ได้เจรจา ตอนนี้จึงพูดได้ว่าตัวเองไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับจิ้งเหยา
ส่วนข้อตกลงใหม่จะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าจิ้งเหยาจะสู้กระบี่ในมือของจิ้นเผิงได้หรือไม่
………………………..
ในโถงด้านหลัง เถ้าแก่เนี้ยกำลังจมอยู่ในโลกเล็กๆ กับหลี่จวิ้นชาง ไม่สนใจและไม่อยากรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องโถง
ทุกความรู้สึกย่อมมีช่วงเวลาที่มืดมน ความรักก็เช่นกัน หลายครั้งความรักที่รุนแรงและท่วมท้น ก็เหมือนกับแสงแดดนอกบ้านที่ค่อยๆ ลับไปทางทิศตะวันตก แต่พระอาทิตย์ขึ้นและตกเป็นประจำ ความรู้สึกกลับเหมือนน้ำไหลไปทางทิศตะวันออกแล้วไม่ย้อนกลับ
หลี่จวิ้นชางเคยคิดหลายครั้งว่า หากนับแต่นี้ไปและผ่านไปนานหลายปีแล้วแต่ก็ไม่ได้เจอเถ้าแก่เนี้ยอีกเลยจะทำอย่างไร ความเหงาชั่วนิรันด์ที่แฝงอยู่ในความคิดถึงและความปรารถนาจะบรรเทาลงได้ด้วยการพบเจอเท่านั้น…
ด้วยเหตุนี้ เขาดื่มสุรามากพอที่จะเติมเต็มทั้งเหมือง และกินถั่วลิสงมากมายจนเปลือกถั่วสามารถปูทั่วทั้งห้องโถงได้ แม้สุราจะขมหรือเปรี้ยว เขาก็ไม่สนใจรสชาติอีกต่อไป
เขาเพียงต้องการเมามาย แม้จะรู้ดีว่าหลังจากสร่างเมา ความคิดถึงจะทวีความรุนแรงขึ้น แต่ตราบใดที่การเมามายสามารถสงบใจได้ชั่วคราว นั่นก็เพียงพอแล้ว
การเมามายไม่เคยเป็นวิธีแก้ปัญหาที่แท้จริง และไม่มีปัญหาใดที่จะแก้ได้ด้วยการเมามาย การเมามายเป็นเพียงการหลีกหนีและปลดปล่อยความโง่เขลา
แต่มีเพียงผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ทรมานและความเหงาเช่นเดียวกับหลี่จวิ้นชางเท่านั้นที่จะเข้าใจวิธีการของเขา
การหลีกหนีและการปลดปล่อยเคยเป็นทางออกเดียวของเขา…
หลี่จวิ้นชางเคยคิดว่า เมื่อเขาได้พบกับเถ้าแก่เนี้ยอีกครั้ง เขาจะไม่เมาอย่างแน่นอน เพราะมีเรื่องมากมายที่อยากพูด ตราบใดที่เขายังมีสติอยู่ เขาก็จะไม่มีวันเมา
แต่น่าเสียดายที่เขาคิดผิด
ไม่ใช่เพราะประเมินตัวเองสูงเกินไป
แต่ตั้งแต่เริ่มพบกัน สายใยในหัวของเขาก็ขาดสะบั้นลง และไม่สามารถต่อได้อีก
เขาไม่เพียงแค่เมา แต่ยังเมาอย่างรวดเร็ว
แม้เขาจะยังดื่มสุราอยู่ในขณะนี้ แต่แขนข้างหนึ่งของเขาก็วางอยู่บนเตาอย่างหมดแรง หัวของเขาพิงอยู่บนแขน ความดื้อรั้นเพียงอย่างเดียวของหลี่จวิ้นชางคือเขายังคงเอียงศีรษะและหันหน้าไปด้านนอก มือซ้ายถือจอกสุรา รินเข้าปากทีละจอก
แม้ว่าส่วนใหญ่จะหกออกมา ดื่มเข้าไปน้อยนัก แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีท่าทีในการดื่ม และยังไม่ยอมแพ้
เมื่อเทียบกันแล้ว เถ้าแก่เนี้ยมีความสามารถในการดื่มสุราดีเยี่ยม!
แม้ว่าตอนที่จิ้งเหยาสั่งให้นางทำเนื้อ ใบหน้าของนางจะแดงระเรื่อแล้ว แต่จนถึงตอนนี้นางก็ยังคงนั่งมั่นคง ร่างกายไม่โอนเอน หลังตรงยิ่ง
“เรื่องในอดีตเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าที่ทำไม่ดีกับข้า หรือข้าที่ทำไม่ดีกับเจ้า ข้าก็ไม่อยากพูดถึงมันอีกแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้ากับข้าก็เป็นสหายเก่าตั้งแต่เยาว์วัย ดื่มสุราและพูดคุยกับคนรู้จักเก่ามักจะผ่อนคลายและสนุกสนานเสมอ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
น้ำเสียงนางเรียบนิ่ง ไม่มีคลื่นอารมณ์ใด ไม่สามารถบอกได้ว่านางรู้สึกผ่อนคลายหรือมีความสุข
หลี่จวิ้นชางอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขาเมาจนแทบลืมตาไม่ขึ้น การพูดจาในตอนนี้ถือเป็นเรื่องยากสำหรับเขา
แต่คำพูดของเถ้าแก่เนี้ยที่เข้ามาในหู ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่มีเหตุผล…แต่เขาไม่มีแรงพอที่จะแสดงออก ทำได้เพียงใช้แรงทั้งหมดบีบจอกสุราในมือ เพื่อระบายอารมณ์
จอกสุรากระเบื้องเคลือบกระดูกบางๆ ที่ปกติแล้วคงไม่สามารถรับแรงของหลี่จวิ้นชางได้ แต่ตอนนี้จอกสุรากลับแข็งแกร่งราวกับเหล็ก! ไม่ว่าหลี่จวิ้นชางจะออกแรงเท่าไรก็ไม่แตก
“ในเมื่อเราคุ้นเคยกันดีก็ไม่มีอะไรให้กังวล พักผ่อนตามสบายเถอะ หากข้าว่างก็จะมาดื่มสุราและคุยกับเจ้า หากข้าไม่มีเวลา…หากข้าไม่มีเวลา ก็ให้สามีข้ามาคุยกับเจ้าแทน เขาเป็นคนที่น่าสนใจมาก เจ้าทั้งสองน่าจะคุยกันถูกคอ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“สามี…ของเจ้า?”
หลี่จวิ้นชางเบิกตาขึ้นฉับพลัน จ้องมองเถ้าแก่เนี้ย และถามทีละคำ
“ข้าเป็นเถ้าแก่เนี้ย ก็ต้องมีเถ้าแก่อยู่แล้ว เถ้าแก่ก็ย่อมเป็นสามีของข้า”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
นางจงใจหันข้าง เหมือนพยายามปกปิดความไม่สงบในใจตัวเอง
“เจ้ากำลังพูดถึงไอ้อ้วนคนนั้นหรือ”
สติของหลี่จวิ้นชางพลันแจ่มชัดขึ้นมากะทันหัน ความมึนเมาก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นเหงื่อเย็นจนเสื้อผ้าเปียกชื้น หลังจากคิดย้อนกลับไปอย่างรวดเร็ว เขาก็มั่นใจว่าเถ้าแก่ที่เถ้าแก่เนี้ยหมายถึงคือชายอ้วนที่ออกมาต้อนรับตอนเขาและนายท่านจินมาถึงโรงเตี๊ยมนี้
“เขาคือสามีของข้า ถึงจะอ้วนแต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ตาย!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ไม่ใช่ เขาไม่ใช่”
หลี่จวิ้นชางนั่งตัวตรง พูดพลางนวดไหล่ขวาที่ถูกศีรษะตัวเองทับจนชา
“อะไรที่ใช่ไม่ใช่? หรือเจ้าจะให้ข้ามีลูกถึงจะเชื่อ?”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
ดวงตานางจ้องมองหลี่จวิ้นชางที่สร่างเมา และหมุนตัวไปด้านข้างเล็กน้อยจนเกือบจะหันหลังให้เขา
“เพราะเจ้ากำลังโกหก!”
หลี่จวิ้นชางกล่าวอย่างไม่ลังเล
“เพราะตั้งแต่เด็ก ตอนโกหกเจ้าจะไม่กล้าสบตาคนอื่น ยิ่งเป็นเรื่องโกหกที่รุนแรงเท่าใด ตัวเจ้าก็จะยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังพยายามพูดซ้ำๆ เพื่อให้คนอื่นเชื่อ ถึงขั้นหยิบยกเรื่องที่ไม่มีมูลมาสนับสนุน”
หลี่จวิ้นชางกล่าวต่อ
สิ้นเสียงพูด แสงในโถงด้านหลังพลันมืดลง
ไม่รู้ว่าเถ้าแก่อ้วนยืนอยู่ที่ประตูตั้งแต่เมื่อไร ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินบทสนทนาระหว่างเถ้าแก่เนี้ยและหลี่จวิ้นชางแล้ว
คำพูดเหล่านี้แม้จะไม่ทำให้เขาเก้อกระดาก แต่ก็ทำให้เขาลำบากใจ ถึงขั้นก้าวขาข้างหนึ่งข้ามธรณีประตูไปแล้ว แต่ขาอีกข้างยังคงอยู่ข้างหลัง
“มีอะไรหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยถาม
ร่างของเถ้าแก่อ้วนบดบังแสงแดด สร้างเงาขนาดใหญ่บนผนังตรงหน้าเถ้าแก่เนี้ย
“ในห้องโถง…มีคนชักดาบกระบี่!”
เถ้าแก่อ้วนกล่าว
……………………………………………………………………
…………….