ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 491 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-8
บทที่ 491 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-8
…………….
“ของที่ดีที่สุดที่นี่ก็คือเนื้อ!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว ชี้ไปที่ตู้
แต่จิ้งเหยานั่งอยู่ที่โต๊ะ ถูกบานประตูตู้ที่เปิดอยู่บัง จึงมองไม่เห็นว่าภายในตู้มีอะไรบ้าง
“เนื้อม้า!”
เถ้าแก่เนี้ยพูดต่อ ยังหยิบเนื้อม้าชิ้นหนึ่งออกจากตู้แล้วถือให้ดู
จิ้งเหยาพลันดีใจขึ้นมา! ชาวทุ่งหญ้าชอบทานเนื้อม้าที่สุด โดยเฉพาะเนื้อม้าที่ผ่านการรมควันเช่นที่เถ้าแก่เนี้ยถืออยู่ในมือ
แม้ปกติแล้ว ชาวทุ่งหญ้าจะนิยมกินเนื้อสดมากกว่า ก็คือเนื้อที่เพิ่งเชือดจากสัตว์ เลือดยังไม่ทันแห้ง
หั่นเนื้อแกะติดกระดูกเป็นชิ้นๆ รวมถึงหัวแกะ เครื่องใน ตับ หัวใจ และปอดใส่ลงต้มในหม้อ เมื่อน้ำเดือดก็ตักฟองออกแล้วเติมเกลือตามสมควร เมื่อต้มสุกแล้วจะหั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ เอามีดสับเนื้อที่ติดกระดูกให้เป็นชิ้น แล้วใช้มือหยิบกิน
สำหรับเนื้อรมควัน มักจะได้กินในฤดูหนาวเท่านั้น นำเนื้อม้าที่เตรียมไว้สำหรับฤดูหนาวมาโรยเกลือ แล้วนำไปแขวนบนโครงไม้ ใช้ควันจากไม้สนรมจนแห้ง ก็จะกลายเป็นเนื้อรมควันแบบที่เถ้าแก่เนี้ยถืออยู่
เนื้อชนิดนี้สามารถเก็บไว้ได้นาน ในฤดูหนาวที่สัตว์เลี้ยงผอมแห้งและไม่สามารถเชือดได้ เนื้อรมควันที่เก็บสะสมไว้นี้จะช่วยบรรเทาการขาดแคลนเนื้อสัตว์ของชาวทุ่งหญ้าได้อย่างดี
“เนื้อหนึ่งชิ้น ราคาสองร้อยตำลึงหรือ”
จิ้งเหยาถาม
แม้การเห็นเนื้อม้ารมควันจะทำให้เขาใจสั่น แต่จิ้งเหยาก็ไม่ใช่คนโง่…สองร้อยตำลึงเงินสามารถซื้อม้าพันธุ์ดีที่วิ่งได้วันละร้อยลี้โดยไม่หยุดได้ด้วยซ้ำ เนื้อม้ารมควันหนึ่งชิ้น ต่อให้เป็นขาหลังทั้งขาก็ไม่คุ้มกับราคานี้
เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้าให้จิ้งเหยา
เห็นเพียงจิ้งเหยาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้วงตั๋วเงินอีกสองใบออกจากแขนเสื้อ ตอนนี้เงินที่วางอยู่บนโต๊ะมีถึงสี่ร้อยตำลึง จิ้งเหยาไม่ต้องพูดอะไรอีก เมื่อเถ้าแก่เนี้ยเห็นตั๋วเงินก็หยิบเนื้อม้าอีกชิ้นจากตู้ทันที ถือด้วยมือทั้งสองข้างแล้วหันกลับไปยังโถงด้านหลัง
แม้ว่าเนื้อม้ารมควันที่นี่จะแพงเกินไป แต่เมื่อจิ้งเหยาเห็นเหล่าลูกน้องจ้องมองตาละห้อย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แพงก็จริง แต่เมื่อคิดถึงบรรดาลูกน้องเหล่านี้ที่ติดตามเขาข้ามน้ำข้ามทะเลมาเสี่ยงชีวิตในอาณาจักรห้าอ๋อง เงินเพียงเท่านี้จะมีค่าอันใดกัน?
สิ่งที่ทำให้คนยากลืมเลือนที่สุดคือความคิดถึง ไม่ใช่แค่ความรักระหว่างชายหญิงเท่านั้น แต่รวมถึงความคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนด้วยเช่นกัน
เมื่อเทียบกับเนื้อม้ารมควันแล้ว สิ่งที่จิ้งเหยาคิดถึงมากกว่าคือที่พักในทุ่งหญ้าของตนเอง ชาวทุ่งหญ้ามีวิถีชีวิตแบบเร่ร่อน ไม่มีที่อยู่ถาวรจึงต้องสร้างกระโจมที่เคลื่อนย้ายได้ง่าย กระโจมเหล่านี้แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือกระโจมที่ใช้ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง และอีกประเภทคือเรือนดิน เรือนไม้ หรือเรือนหินที่ใช้ในฤดูหนาว
กระโจมที่พักอาศัยของชาวทุ่งหญ้าในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง มีโครงสร้างไม่ซับซ้อนนัก แต่การสร้างกระโจมขึ้นมาหนึ่งหลังต้องอาศัยฝีมือช่างที่ชำนาญเป็นพิเศษ ในทุ่งหญ้าช่างที่มีความสามารถในการทำกระโจมมีฐานะสูงส่ง ไม่ด้อยไปกว่าจิ้งเหยาในฐานะผู้นำหน่วยด้วยซ้ำ
ฐานด้านล่างล้อมด้วยรั้วเป็นรูปทรงกระบอก ส่วนบนเป็นทรงครึ่งวงกลม สามารถป้องกันลมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแผ่นหนังเคลือบน้ำมันจะช่วยกันน้ำฝนไม่ให้รั่วซึม
ส่วนประกอบต่างๆ ของกระโจม เช่น โครงไม้ ผนัง หลังคา สำหรับชาวอาณาจักรห้าอ๋องถือเป็นงานไม้ แต่ผ้าหุ้มกระโจม ผ้าคลุมยอดกระโจม ผ้าคลุมหลังคา พรมหน้าประตู และเชือกที่ใช้รัดทั้งหมดล้วนทำขึ้นโดยบรรดาสตรีที่อาศัยอยู่ในกระโจม
สิ่งที่กระโจมทุกหลังต้องมีคือขาตั้งสามขาสำหรับชงชา
ขาตั้งนี้ทำจากท่อนไม้เนื้อแข็งสามท่อน ใช้เหล็กหนีบยึดไว้ที่ปลายข้างหนึ่ง ตรงกลางจะมีตะขอสำหรับแขวนกาน้ำชา เมื่อยกขาตั้งขึ้น กาน้ำชาก็จะแขวนอยู่ตรงกลาง จากนั้นก่อไฟที่ด้านล่างของกาน้ำชาเพื่อทำการต้ม
สิ่งที่จิ้งเหยาพอใจมากที่สุดคือเตียงไม้ขนาดใหญ่ในกระโจมของเขา ด้านบนแกะสลักประณีตงดงาม และมีสีสัน ตั้งแต่ที่เขาจากทุ่งหญ้ามา ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใด ก็ไม่มีเตียงใดที่ทำให้เขารู้สึกสบาย…
กลิ่นหอมของเนื้อที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังต้มจากโถงด้านหลังลอยฟุ้งออกมาอย่างรวดเร็ว จิ้งเหยาหลับตาสูดหายใจลึกอย่างเพลิดเพลิน เขาไม่ได้สัมผัสกลิ่นหอมเข้มข้นและบริสุทธิ์ของเนื้อม้ารมควันเช่นนี้มานานแล้ว เมื่อได้กลิ่นอีกครั้ง จิ้งเหยากลับรู้สึกไม่คุ้นเคยเล็กน้อย
แม้ว่าเหมืองแร่ในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องจะกว้างใหญ่และเปลี่ยวร้าง แตกต่างจากตลาดในเมืองใหญ่ที่พลุกพล่านโดยสิ้นเชิง แต่ลมทะเลทรายที่พัดอย่างต่อเนื่อง ราวกับปลุกความฝันของนอกด่าน และยังทำให้จิ้งเหยาหวนนึกถึงฤดูร้อนของราชสำนักทุ่งหญ้าอีกด้วย
ความคิดที่ไร้ขอบเขตแผ่ขยายออกมาอย่างบ้าคลั่ง ดั่งหญ้าป่าที่เติบโตหลังย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ แต่เพื่อปกป้องภาพความทรงจำอันงดงามในใจ จึงทำได้เพียงมอมเมาตนเองให้หลงไปกับเส้นทางที่ไกลห่าง
คนผู้หนึ่งหากไม่เคยจากบ้านเกิด ก็ยากจะเข้าใจรสชาติของความคิดถึงบ้าน น่าเสียดาย ที่ลมพัดปลุกให้ตื่นจากฝัน น้ำต่างถิ่นอาจหวาน แต่ไม่อาจเทียบแสงจันทร์ที่บ้านเกิด…ต้องทนทุกข์กับความเศร้าโศกหลังการจากลา ในคืนจันทร์กระจ่างยิ่งเจ็บปวดยากจะทนไหว
ความงดงามในความทรงจำ บัดนี้รเปลี่ยนเป็นความอ้างว้างหลังการจากลา ทุกข์โศกล้นเหลือจนยากรับไหว…
เถ้าแก่เนี้ยรีบยกเนื้อม้ารมควันที่ต้มเสร็จแล้วมาวางบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว จิ้งเหยาถึงขั้นสงสัยว่าเนื้อสุกทั่วหรือไม่ เขาใช้ตะเกียบอันหนึ่งเสียบลงไปในเนื้อ นอกจากจะรู้ได้ว่าเนื้อสุกหรือไม่ ยังรู้อีกว่านุ่มหรือไม่
สุภาษิตกล่าวไว้ว่า ‘สุราดีต้องคู่กับเนื้อนุ่ม’ ไม่ว่าเนื้อจะเป็นอะไร หากเปื่อยก็ย่อมอร่อย! ใครจะคิดว่าทันทีที่ปลายตะเกียบสัมผัสเนื้อ ก็จมลงไปราวกับเสียบในโคลน เหยายื่นมือออกอย่างพึงพอใจ เตรียมจะลิ้มรสอย่างเอร็ดอร่อย
“กินเนื้อที่นี่ก็ยังขาดบรรยากาศบางอย่างไป!”
จิ้นเผิงที่นั่งอยู่ข้างๆ พลันเอ่ยปากขึ้นมา
จิ้งเหยาได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเขา ไม่แน่ใจว่าประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร
“เนื้อชิ้นใหญ่ก็ต้องคู่กับสุราชามใหญ่ อีกทั้งไม่ควรมานั่งกินกันในห้องเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นในกระโจม ล้อมรอบเตาไฟอุ่นๆ ดื่มสุราและกินเนื้อพร้อมกับควันลอยกรุ่น!”
จิ้นเผิงกล่าวต่อ
หลังจากได้ยินจิ้งเหยาก็วางชิ้นเนื้อในมือลง สองมือลูบโต๊ะลวกๆ และมองจิ้นเผิงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายคงมองออกถึงตัวตนของเขาแล้ว และในสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีอะไรจะโต้แย้งได้
ในสถานที่ห่างไกลเช่นเหมืองแร่ ชีวิตแทบไม่มีค่าอะไร จิ้งเหยาเลื่อนมือขวาลงไปใต้โต๊ะช้าๆ ค่อยๆ เลิกชายเสื้อขึ้น เผยให้เห็นด้ามดาบโค้งที่ซ่อนไว้ข้างใน
แต่เขาแปลกใจยิ่งนักว่าจิ้นเผิงรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นชาวทุ่งหญ้า…หากเพียงเพราะชอบเนื้อม้ารมควัน หรือวิธีการหยิบเนื้อด้วยมือ ก็คงไม่เพียงพอที่จะตัดสินได้ เพราะเหตุนี้จิ้งเหยาจึงยังลังเลเล็กน้อย ความลังเลนี้สะท้อนออกมายังมือที่ยังไม่คว้าด้ามดาบแน่น
แต่เมื่อจิ้นเผิงกล้าพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ ย่อมหมายความว่าเขามีเหตุผลที่มั่นใจว่าเป็นเช่นนั้น
เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว ความเข้าใจที่เขามีต่อชาวทุ่งหญ้าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
ตั้งแต่ที่เขาออกจากกรมสอบสวนกลางไป เรื่องราวของเขาก็ไม่มีใครล่วงรู้ชัดเจน สิ่งที่จิ้นเผิงเล่าให้คนอื่นฟังนั้น มักเป็นหนึ่งในพันแปดคำโกหกที่เขาสร้างขึ้นเพื่อปกปิดเรื่องราวบางอย่าง
และเรื่องราวเหล่านั้นก็เป็นของจิ้นเผิงเอง แต่เขาไม่เคยคิดจะบอกใคร แม้แต่เยว่ตี๋ก็เช่นกัน อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่คิดจะเปิดเผย
อาทิตย์อัสดงในทุ่งหญ้าดูอ้างว้างกว่าที่อาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องและอาณาจักรติ้งซีอ๋องมากนัก โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วง เมื่อทุ่งหญ้ากลายเป็นผืนดินแห้งกร้าน เมื่อลมยามเย็นพัดผ่าน ทั่วทั้งผืนดินดูเลือนลาง หากสายตาไม่ดีพอ กระทั่งม้าตัวหนึ่งหรือหมาป่ากำลังเดินเข้ามาก็ยากที่จะเห็นได้ชัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
ลมทะเลทรายที่เหมืองแร่ในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องพัดต่อเนื่องตลอดทั้งปีจนผู้คนคุ้นชินไปนานแล้ว แต่ลมที่พัดผ่านทุ่งหญ้าในเวลานั้น กลับพัดกรรโชกด้วยเสียงหวีดหวิว ดูไม่สงบอย่างยิ่ง
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนต้องหลีกหนีจากที่นี่โดยเร็ว และนั่นก็เป็นสิ่งที่ชาวทุ่งหญ้ากำลังทำอยู่เช่นกัน เวลานี้แทบไม่มีใครหลงเหลืออยู่แล้ว ชาวทุ่งหญ้าส่วนใหญ่เก็บกระโจมและออกเดินทางเพื่อย้ายถิ่นฐานตามเส้นทางใหม่
ท่ามกลางเสียงลมหวีดหวิว พลันมีเสียงครวญครางแทรกขึ้นมา หากตามเสียงนั้นไป จะเห็นร่างหนึ่งที่กำลังดิ้นรนอยู่บนพื้นดินสีน้ำตาล เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็เป็นสีเดียวกับพื้นดิน ราวกับทรายและเศษหญ้าที่ปลิวไปตามสายลม
จิ้นเผิงพยายามที่จะลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก แต่ร่างกายของเขาทำได้เพียงคลานไปข้างหน้าในระยะสั้นๆ
แน่นอนว่านี่เป็นความคิดของเขาเอง เมื่อมนุษย์อยู่ในภาวะเจ็บปวด การรับรู้ย่อมไม่ชัดเจนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อจิ้นเผิงหายใจกระชั้น เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บ
ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด แต่คนคนหนึ่งต้องนอนราบอยู่บนพื้นและดิ้นรนเช่นนี้ ย่อมเป็นบาดแผลที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง และความรุนแรงนั้นทำให้จิ้นเผิงที่รักชีวิตและหลงใหลในความสุขในการใช้ชีวิต รู้สึกว่าตนกำลังจะจากโลกนี้ไปตลอดกาล ในใจยังแอบหวังให้เวลาที่จากไปนั้นมาถึงเร็วขึ้น เพราะเขาทนความเจ็บปวดนี้ไม่ไหวอีกต่อไป…
จิ้นเผิงรู้สึกว่าความเจ็บปวดตามร่างกายของเขาค่อยๆ จางหายไป…แต่นี่ไม่ใช่ลางดี! หากความเจ็บปวดเริ่มเลือนหาย หมายความว่าความตายอยู่ไม่ไกลแล้ว แม้ว่าเขาจะหวังในใจว่าอยากให้ตัวเองตายไปเร็วๆ เพื่อยุติความทุกข์ทรมานนี้
แต่เมื่อความตายคืบคลานเข้ามาใกล้จริงๆ เขากลับรู้สึกเสียดาย ในตอนนั้นเอง เขาสูญเสียกระทั่งเรี่ยวแรงจะดิ้นรน สิ่งเดียวที่ยังคงทำงานอยู่มีเพียงจิตใจและความคิดของเขา
แต่เมื่อจิ้นเผิงนึกขึ้นได้ว่ายังมีเป้าหมายในชีวิตที่ยังไม่สำเร็จ สิ่งที่เขาคิดถึงทุกเช้าค่ำยังไม่ลุล่วง ภายใต้ความไม่ยินยอมนี้ นิ้วมือของเขากลับมีชีวิตชีวาขึ้นมา แต่สองนิ้วที่บอบบางก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพยุงร่างกายอันหนักอึ้งของเขาให้ลุกขึ้นหรือคลานต่อไป
จะว่าไปแล้วจิ้นเผิงเองก็ไม่รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ได้อย่างไร และไม่รู้ว่าหลังจากได้รับบาดเจ็บ เขามาถึงที่นี่ได้อย่างไร แต่ในหัวเขาเริ่มคิดถึงเหล่าศัตรูที่เคยมี ตั้งแต่เขาออกจากกรมสอบสวนกลาง คนที่เขาพบเจอก็มีน้อยเต็มที
แม้จะมีข่าวลือแพร่ออกไปว่าเขาออกจากเมืองหลวงแล้วก็ย่อมไม่มีผลอันใด เพราะศัตรูตัวฉกาจของเขาแทบทั้งหมดถูกขังอยู่ในคุกหลวงของกรมสอบสวนจึงไม่อาจทำร้ายเขาได้
ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา เขาพบเพียงโจรกลุ่มหนึ่งและขโมยสองคนเท่านั้น กระทั่งโอกาสในการทำเรื่องเลวร้ายก็แทบไม่มี
ต้องเข้าใจว่าการทำความดีนั้นใช้เวลานาน ต้องอาศัยเงื่อนไขและการเตรียมตัวมากมาย แต่การทำชั่วกลับง่ายดายยิ่ง เพียงแค่ความคิดชั่ววูบก็สามารถก่อเรื่องได้แล้ว
แต่จิ้นเผิงไม่เคยคิดที่จะทำเรื่องชั่วร้ายสักครั้ง ทว่าก็ยังถูกลอบทำร้าย อาการบาดเจ็บที่เขาได้รับไม่ได้อยู่ที่เนื้อหนังหรือกระดูก แต่อยู่ภายใน เขาถูกวางยาพิษ ซึ่งอันตรายถึงชีวิตยิ่งกว่าการถูกฟันด้วยกระบี่หรือแทงด้วยคมดาบเสียอีก
เพราะบาดแผลจากพิษนั้นไม่อาจมองเห็นได้ และการแก้พิษก็เป็นเรื่องยุ่งยาก
หากไม่รู้แน่ชัดว่าถูกพิษชนิดใด การจะหาทางรักษาก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ เว้นแต่ว่าจะมีเซียนมาช่วย ถ่ายลมปราณเซียนหรือป้อนยาวิเศษให้เขาถึงจะช่วยได้
……………………………………………………………………
…………….