ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 490 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-7
บทที่ 490 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-7
…………….
ณ ร้านอาหารของเถ้าแก่เนี้ย
บนโต๊ะของจิ้งเหยามีจอกสุราวางอยู่สองสามใบ แต่เขากลับไม่ได้ดื่มแม้แต่อึกเดียว เวลานี้ความสนใจของเขาจับจ้องไปที่เกาเหริน เกาเหรินนั่งอยู่ข้างๆ แววตาเหม่อลอย ไม่พูดจา หัวของเขาก้มลงต่ำราวกับจะมุดลงไปในอกของตัวเอง
จิ้งเหยาประหลาดใจอย่างยิ่ง…กระทั่งเมื่อครู่ที่เขายกจอกสุราขึ้นมา ปากจอกเพิ่งจะแตะริมฝีปาก ก็ต้องวางกลับลงไปทันที หากเป็นเพียงท่าทีประหลาด จิ้งเหยาคงไม่ตกใจถึงเพียงนี้ เพราะแต่ไรมาเกาเหรินก็เป็นคนประหลาดและคนบ้า
ความบ้ามักคู่กับความแปลก การกระทำของคนบ้าย่อมไม่อาจใช้เหตุผลทั่วไปมาตัดสิน คนทั่วไปกินข้าว แต่คนบ้าอาจกินของสกปรก คนทั่วไปดื่มสุรา แต่คนบ้าอาจกอดไหปัสสาวะไว้เป็นของล้ำค่า
สิ่งเดียวที่แตกต่างคือ จิ้งเหยารู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวที่แผ่ออกมาจากตัวของเกาเหริน
ทุกคนล้วนมีความกลัว คนบ้าก็เช่นกัน
ตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีสติปัญญา และใช้สายตาของตนสำรวจโลกใบนี้ ความกลัวก็เกิดขึ้นตามมาและไม่เคยจากไป มันคอยอยู่เคียงข้างเราเสมอ
มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้กระทั่งตาย ความกลัวย่อมมีมากกว่าความสุข ความเศร้าก็ยิ่งมากกว่าความกลัว เป็นเรื่องที่จนปัญญาอย่างยิ่ง
ทว่าหากเศร้าถึงที่สุดแล้ว ก็อาจพบความสุขอีกครั้ง เพราะหลังทุกข์ย่อมมีสุข หรือไม่ก็กลายเป็นวังวนที่ดึงผู้คนให้จมลง เมื่อหลุดเข้าไปแล้วก็คือความหวาดกลัว
แม้ความหวาดกลัวจะไม่ใช่อารมณ์ที่ซับซ้อน แต่สิ่งที่แตกต่างจากอารมณ์อื่นๆ คือมันต้องใช้เวลานานในการก่อตัว ความสุขและความเศร้ามักเกิดขึ้นในชั่วพริบตา เพียงได้ลิ้มรสอาหารอร่อยหรือได้รับสิ่งที่ปรารถนา ก็จะมีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า แม้แต่คนตาบอดยังรับรู้ได้ถึงความสุขนั้น
ความเศร้าก็เช่นกัน เพียงแค่นึกถึงอดีตขึ้นมา น้ำตาก็สามารถไหลออกมาในทันที ไม่มีช่องว่างระหว่างความคิดและอารมณ์ บ่อยครั้งที่แม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดความรู้สึกเหล่านั้นถึงเกิดขึ้นฉับพลัน
แต่ความหวาดกลัวของเกาเหรินไม่มีเวลาให้ก่อตัว และไม่มีช่วงสะสมอารมณ์ใดๆ มันไม่เหมือนกับสายฝนต้นฤดูใบไม้ผลิที่ค่อยๆ หลอมละลายหิมะจนเผยให้เห็นพื้นดินและกิ่งไม้ที่มีแต่เดิม จากนั้นค่อยๆ ปกคลุมไปด้วยความเขียวชอุ่ม
แต่มันเหมือนเต้นรำบนพื้นน้ำแข็งที่แข็งตัวยิ่ง ทันใดนั้นพื้นน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าก็แตกออก ความหนาวเย็นทิ่มแทงกระดูกและรู้สึกอึดอัดราวกับกระแสน้ำจากทุกทิศทางไหลบ่ามาห่อหุ้มเขาไว้ ในขณะนั้นไม่ว่าจะดิ้นรนหรือร้องขอความช่วยเหลืออย่างไรก็ไร้ประโยชน์ มีเพียงความสิ้นหวังไม่รู้จบ
จิ้งเหยาพินิจพิเคราะห์ความรู้สึกของเกาเหรินอย่างละเอียด คิดว่า ‘หวาดกลัว’ อาจยังไม่เหมาะสมเท่าคำว่า ‘สิ้นหวัง’ แต่เกาเหรินที่ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ไร้กฎเกณฑ์ ไม่ใส่ใจเรื่องราวภายนอกมาแต่ไร จะพลันรู้สึกสิ้นหวังได้อย่างไร?
จิ้งเหยารู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล แต่คิดไม่ออกว่าปัญหาอยู่ที่ใด ทั้งที่ตอนก้าวเข้ามาในโรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้ เกาเหรินยังดูไร้กังวล และยังตะโกนสั่งให้เถ้าแก่เนี้ยนำสุรามาให้
“ดื่มสุรา?”
จิ้งเหยาถามขึ้น
เขาผลักจอกสุราของตนที่รินจนเต็มไปข้างหน้าเกาเหริน นอกจากสุราแล้ว เถ้าแก่เนี้ยยังนำกับแกล้มมาให้สองจาน จานหนึ่งเป็นเต้าหู้แห้ง ส่วนอีกจานหนึ่งจิ้งเหยาไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด เป็นของที่เขาไม่คุ้นเคยในอาณาจักรห้าอ๋องแห่งนี้
เกาเหรินไม่ตอบ และไม่ได้ยกจอกสุราขึ้นดื่ม ปล่อยมันวางอยู่บนโต๊ะ กลับกันเขาหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบเต้าหู้แห้งชิ้นหนึ่งใส่ปาก เคี้ยวไปได้เพียงเล็กน้อยก็พลันไออย่างรุนแรง
“แค่กๆ…”
เกาเหรินไอไม่หยุด เสียงไอแฝงไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน จิ้งเหยารีบสั่งให้ลูกน้องไปตักน้ำ เพื่อให้เกาเหรินจิบสักสองสามอึก บรรเทาอาการไอให้ทุเลาลง…แต่เกาเหรินกลับโบกมือปฏิเสธ
มือเขาสั่นรุนแรงเพราะไอ แต่เขายังคงฝืนตัวเอง ใช้ตะเกียบที่สั่นเทาคีบเต้าหู้แห้งที่ตกบนโต๊ะขึ้นมาใหม่ แล้วใส่ปากเคี้ยว
ในขณะที่มนุษย์เคี้ยวอาหาร ปากย่อมต้องปิด แต่อาการไอของเกาเหรินไม่ได้หยุดลงเพียงเพราะเขาปิดปาก ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเสียงอู้อี้…ราวกับจะพุ่งออกมาทางจมูกหรือหู
เขากลืนเต้าหู้แห้งลงไปอย่างยากลำบาก แต่เมื่อกลืนลงไป อาการไอกลับสงบลงทันที เกาเหรินตบที่หน้าอกเบาๆ พร้อมกับถอนหายใจยาว
สายตาของจิ้งเหยาฉายแววสงสัย เขาสัมผัสได้ว่าความหวาดกลัวและความสิ้นหวังบนตัวเกาเหรินคลายลงไปมาก
เขาเหลือบมองจานเต้าหู้แห้งบนโต๊ะ มีเพียงสามชิ้นเท่านั้น! แต่ตอนนี้จำนวนไม่ได้สลักสำคัญ และจิ้งเหยาก็ไม่มีแก่จิตแก่ใจไปตำหนิเถ้าแก่เนี้ยว่าเหตุใดจึงให้มาน้อยนัก เขากลับคิดว่าเต้าหู้แห้งธรรมดาบางๆ แค่สามชิ้นนี้ ไฉนถึงมีพลังขับไล่ความกลัวและสิ้นหวังได้?
คิดไปคิดมา จิ้งเหยาก็หยิบตะเกียบขึ้นมา เตรียมจะคีบเต้าหู้แห้งเพื่อลองชิมดูว่ามันมีอะไรพิเศษ แต่ทันทีที่ตะเกียบของเขายื่นออกไปได้เพียงสามชุ่น เกาเหรินกลับเร็วปานสายฟ้า คว้าเต้าหู้แห้งสามชิ้นที่เหลือบนจานใส่ปากทันที
เมื่อเห็นภาพนี้ จิ้งเหยารู้สึกขบขันอย่างบอกไม่ถูก…มุมปากของเขาพยายามจะยกขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถยิ้มออกมาได้
ตลอดการเดินทาง เกาเหรินล้วนเกียจคร้านและเฉื่อยชา ครั้งเดียวที่เขาดูตื่นตัวก็คือเมื่อได้พบกับชายชุดฟางสามคนที่สำนักปากสอบ นอกเหนือจากนั้น ถ้าไม่พูดจาเพ้อเจ้ออยู่คนเดียว ก็ทำตัวราวกับเด็กน้อย สนใจต้นไม้ใบหญ้าริมทาง แต่ส่วนใหญ่ เขามักจะหรี่ตาลงเหมือนคนเมา เดินเซไปเซมาตามถนน
ความว่องไวเหมือนเมื่อสักครู่นี้ไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้ จิ้งเหยาก็ยิ่งสนใจเต้าหู้แห้ง เขาคิดจะตะโกนเรียกเถ้าแก่เนี้ยในโถงด้านหลังให้ทำเต้าหู้แห้งมาเพิ่ม แต่กำลังจะเอ่ยคำ เกาเหรินกลับยกมือมาปิดปากเขาไว้
“ไม่อร่อย”
เกาเหรินพูดขึ้น
คราวนี้จิ้งเหยาหัวเราะออกมาเต็มเสียง หัวเราะสดใสยิ่ง
คนบ้าก็คือคนบ้า!
สามารถลืมความหวาดกลัวที่ไร้เหตุผลเพียงเพราะกินเต้าหู้แห้งไปชิ้นเดียว และแม้จะรู้ดีว่าไม่อร่อย ก็ยังพยายามใช้ตะเกียบแย่งกับจิ้งเหยาอย่างเอาเป็นเอาตาย
เกาเหรินย่อมรู้ดีถึงรสชาติของเต้าหู้แห้ง ก่อนที่เขาจะไอเสียอีก มีเพียงคนบ้าเท่านั้นที่จะฝืนกินสิ่งที่ตนไม่ชอบและไม่อร่อยจนหมดเกลี้ยง…
ทว่าจิ้งเหยาโล่งใจเล็กน้อยที่เกาเหรินยังยื่นมือมาห้ามเขาไว้ ทำให้เขาหลีกเลี่ยงการต้องกินสิ่งที่ไม่อร่อยได้ แม้จิ้งเหยาจะเป็นชาวทุ่งหญ้า มีชีวิตเรียบง่ายและตรงไปตรงมา แต่ตราบใดที่เป็นมนุษย์ ย่อมไม่ชอบกินของรสชาติแย่
ความชอบของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน แต่ทุกคนล้วนรู้ว่า ข้าวหอมอร่อย สิ่งสกปรกรสชาติแย่
“ไม่อร่อย แล้วเหตุใดเจ้าถึงกินไปตั้งสี่ชิ้น”
จิ้งเหยาถามขึ้นหลังจากหัวเราะจนพอใจแล้ว
อารมณ์ของเขาดีขึ้นมาก เขายกจอกสุราที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ดื่มแล้วส่งให้เกาเหรินขึ้นมาใหม่ แล้วดื่มจนหมดจอก
“ข้ากินถึงชิ้นที่สี่จึงรู้ว่ามันไม่อร่อย”
เกาเหรินตอบ
จิ้งเหยาบุ้ยปาก เขาไม่เชื่อคำพูดของเกาเหริน
ถึงอย่างไร เขาก็ยัดเต้าหู้สามชิ้นสุดท้ายเข้าปากพร้อมกัน จะรู้ได้อย่างไรว่าชิ้นไหนเป็นชิ้นที่สอง สาม หรือสี่? แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเกาเหริน จิ้งเหยาก็เริ่มลังเล…
“ไม่อร่อยก็อย่าฝืนกิน พวกเรากินอะไรที่มันอร่อยๆ กันดีกว่า!”
จิ้งเหยาพูดอย่างผ่อนคลาย
“อืม…ควรจะกินให้มากหน่อย ยิ่งกินมากยิ่งดี ยิ่งอร่อยยิ่งดี!”
เกาเหรินพยักหน้ากล่าว
คำพูดนี้ทำให้จิ้งเหยาไม่คุ้นชินอย่างยิ่ง ว่ากันตามหลักเวลานี้เกาเหรินควรจะพูดจาเหน็บแนมจึงจะถูก ไม่มีทางเห็นด้วยกับเขาอย่างแน่นอน แต่เกาเหรินก็ทำเช่นนี้จริงๆ ทั้งน้ำเสียงและท่าทางทำให้จิ้งเหยานึกถึงบางอย่าง…
จิ้งเหยาจำได้ดีว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิตมารดา ขณะที่สั่งเสียเรื่องราวต่างๆ ก็มีท่าทีเช่นนี้ แม้กระทั่งในวาระสุดท้าย มารดาของเขาก็ไม่สามารถเอ่ยคำใดกับจิ้งเหยาได้ นางเพียงให้เขานั่งอยู่ข้างเตียง ใช้มือค่อยๆ ลูบศีรษะเขา ไล่ลงมาตามไหล่ และลูบไปจนถึงแผ่นหลังอย่างแผ่วเบา ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งมือนางไร้เรี่ยวแรง และร่วงหล่นลงบนเตียงอย่างแรง
สายตาเมื่อครู่ตอนเกาเหรินพูดถึงการกินมากๆ และการกินของอร่อยเหมือนกับสายตาของมารดาจิ้งเหยาในวาระสุดท้ายไม่ผิดเพี้ยน ไม่อยากจากลาแต่ก็แฝงความแน่วแน่ มีแต่ความห่วงใยและความสับสน…
ตั้งแต่ที่จิ้งเหยายกจอกสุราขึ้นดื่มจนถึงเวลานี้ ผ่านไปเพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น แต่เกาเหรินกลับเปลี่ยนแปลงไปมากมาย จิ้งเหยาไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร ทำได้เพียงเรียกเถ้าแก่เนี้ยจากโถงด้านหลัง
“ต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่”
เสียงของเถ้าแก่เนี้ยดังมาก่อนที่ตัวจะเดินออกมา ทว่าเสียงตอบรับของนางฟังดูเย็นชา แตกต่างจากท่าทางที่เถ้าแก่เนี้ยควรมี ตอนแรกจิ้งเหยารู้สึกตกใจ จากนั้นก็คิดได้ว่าร้านนี้คงเป็นเพียงร้านเดียวที่อยู่ใกล้กับเหมืองแร่ มีชื่อเสียงจนไม่ต้องกังวลเรื่องบริการ กลิ่นสุราหอมย่อมดึงดูดแขกได้ไม่ว่าร้านจะอยู่ลึกเพียงใด ไม่ว่าท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยจะเป็นเช่นไร พวกเขาก็ยังคงต้องอาศัยร้านนี้กินดื่มอยู่ดี
เมื่อคิดได้ดังนี้ จิ้งเหยาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น
“ที่นี่มีอะไรอร่อยบ้าง”
จิ้งเหยาถาม
“ของอร่อยล้วนราคาแพงทั้งนั้น!”
เถ้าแก่เนี้ยตอบพลางเดินออกมาจากโถงด้านหลัง
สีหน้าแดงระเรื่อ นางกับจิ้งเหยาห่างกันเกือบหนึ่งจั้ง แต่ทันทีที่นางเอ่ยปาก จิ้งเหยาได้กลิ่นสุราที่อบอวลมาในทันที
ตอนนี้จึงเข้าใจท่าทีไม่ใยดีของเถ้าแก่เนี้ยเมื่อครู่ คนที่กำลังดื่มสุราอยู่ ย่อมไม่อยากให้ใครมาขัดจังหวะ นางคงกำลังดื่มกับหลี่จวิ้นชางอยู่ในโถงด้านหลัง เพิ่งจะเริ่มเมา ยังไม่ทันได้ดื่มเต็มที่ก็ถูกเสียงเรียกของจิ้งเหยาขัดจังหวะ ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่มีสีหน้าหรืออารมณ์ดีในสถานการณ์เช่นนี้
เมื่อได้ยินคำตอบของเถ้าแก่เนี้ย จิ้งเหยาไม่ได้ตอบกลับทันที แต่ล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อแล้วหยิบตั๋วเงินออกมา ท่าทางของเขาดูเก้ๆ กังๆ…แม้จะสวมเสื้อผ้าของอาณาจักรห้าอ๋องมาเกือบเดือนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่คุ้นชิน โดยเฉพาะไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนในอาณาจักรห้าอ๋องจึงนิยมเย็บกระเป๋าไว้ในแขนเสื้อ แล้วใส่ของมีค่าไว้ในนั้น
ตอนแรกที่สวมใส่เสื้อผ้าเช่นนี้ จิ้งเหยายังคงยึดติดกับนิสัยเดิมของตน เอาของใส่ไว้ในสาบเสื้อตรงหน้าอกหรือเหน็บไว้ที่เข็มขัด แต่การทำเช่นนั้นทำให้เสื้อผ้าเสียทรง…โดยเฉพาะตรงหน้าอกที่พองโต มักจะดึงดูดสายตาของผู้คนให้มองด้วยความประหลาดใจ ในที่สุดก็ต้องยอมทำตามธรรมเนียม เรียนรู้ที่จะใส่ของทุกอย่างลงในกระเป๋าเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ
ตั๋วเงินใบนี้แม้จะไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีราคาถึงหนึ่งร้อยตำลึง จิ้งเหยารู้สึกภาคภูมิใจอยู่บ้าง เพราะไม่ว่าอยู่ที่ใดเงินย่อมมีค่าเสมอ!
นับตั้งแต่เขาออกจากทุ่งหญ้ามายังอาณาจักรห้าอ๋อง ทุกครั้งที่หยิบตั๋วเงินออกมา เสี่ยวเอ้อร์ที่คอยวิ่งรับใช้ หรือแม้กระทั่งเจ้าของร้านมักจะให้ความเคารพและดูแลอย่างใกล้ชิด ความยินดีที่ได้จากสิ่งนี้อาจดูหยาบคายไปบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าความทุกข์จากการไม่มีเงิน
สิ่งที่ทำให้บุรุษปวดหัวมีเพียงสองอย่างเท่านั้น คือเงินและผู้หญิง เมื่อไม่มีเงิน ก็ไม่มีอาหารกิน ไม่มีสุราดื่ม และย่อมไม่มีผู้หญิง แต่เมื่อมีผู้หญิงมากขึ้น เงินก็ไหลออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลับไปสู่วันที่ไม่มีเงินพอจะกินข้าวและดื่มสุราอีกครั้ง
เถ้าแก่เนี้ยเป็นสตรีที่ครอบครองทั้งสองสิ่งนี้ แต่สิ่งที่จิ้งเหยาคาดหวังกลับไม่เกิดขึ้น เถ้าแก่เนี้ยไม่สนใจตั๋วเงินร้อยตำลึงแม้แต่น้อย นางเพียงเหลือบมองอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเบนสายตากลับไปมองจิ้งเหยาอย่างสงบ
จิ้งเหยากระอักกระอ่วนเล็กน้อย…และวิธีเดียวที่จะคลี่คลายความรู้สึกนี้ได้ก็คือการหยิบตั๋วเงินอีกใบออกมา นอกจากวิธีนี้แล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นอีก
เมื่อวางตั๋วเงินร้อยตำลึงใบที่สองลงบนโต๊ะ จิ้งเหยายังไม่ทันเอ่ยปากพูด เถ้าแก่เนี้ยก็ไปยังตู้ที่ตั้งอยู่ข้างกำแพงราวกับสายลมพัดพา ในมือนางมีกุญแจที่ไม่รู้ว่าปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด
กุญแจยังผูกเชือกสีแดงถักเป็นปมหรูอี้งดงาม ทุกการเคลื่อนไหวของเถ้าแก่เนี้ยลื่นไหลราวกับสายน้ำ ไม่ติดขัดแต่อย่างใด มองแล้วรู้สึกสง่าน่ามอง
……………………………………………………………………
…………….