ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 488 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-5
บทที่ 488 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-5
…………….
เมื่อเสี่ยวจีหลิงได้ยินเสียงนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที รีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
ที่มุมทางเดินของเฉลียง ปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนของจวนนายท่านจิน คนผู้นั้นสวมหมวกงอบ ดาบยาวพาดอยู่ข้างเอว มือขวาวางบนด้ามดาบและดึงออกจากฝักหนึ่งชุ่นกว่าๆ แล้วดันกลับเข้าที่
เสียงที่ได้ยินเกิดจากการที่เขาทำเช่นนี้ซ้ำไปมา เสียงคมดาบที่กระทบกับฝักประสานกับจังหวะย่างก้าวได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ เขายังสวมเสื้อคลุมยาวมากจนลากไปตามพื้น ปิดบังขาและเท้า ทำให้ดูราวกับว่าลอยมา
เพียงเห็นการแต่งกายเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งก็จดจำได้ทันทีว่าคนผู้นั้นคือใคร
“รับใหม่ขายเก่า เสียงเล่าพิฆาตทางสายเก่า!”
นี่ไม่ใช่นักเล่าเรื่องที่ทังจงซงพาเขาไปฟังที่โรงเรืองขวัญ หัวเมืองรัฐติงในอาณาจักรติ้งซีอ๋องผู้นั้นหรอกหรือ
“เขามาหาข้า”
เสี่ยวจีหลิงบอกกับทุกคน
จากนั้นเขาเดินออกจากโต๊ะ อ้อมไปอีกด้าน ก่อนจะมายืนเผชิญหน้ากับนักเล่าเสียงพิฆาต
“พวกเขาล้วนเป็นสหายของข้า”
เสี่ยวจีหลิงกล่าวพลางชี้ไปยังคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง
นักเล่าเสียงพิฆาตพยักหน้ารับ
“สหายก็คือสหาย ความสัมพันธ์ย่อมไม่ต้องอธิบายให้มากความ แต่ถึงสหายจะสนิทเพียงใด ก็ไม่อาจแทนที่ข้าได้ เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่”
เสี่ยวจีหลิงเอ่ยถาม
นักเล่าเสียงพิฆาตพยักหน้าอีกครั้ง
“เช่นนั้นก็ดี…”
เสี่ยวจีหลิงถอนหายใจยาวแล้วกล่าว
“ผู้ใดพอจะให้ข้ายืมดาบสักเล่มได้บ้าง หรือกระบี่ก็ได้”
ปกติเขามักจะพึ่งพาท่าร่างท่องไปทั่วยุทธภพ แต่ทำไมวันนี้กลับขอดาบกระบี่ซึ่งผิดแผกไปจากเดิมเสียได้? ตามหลักแล้ว สายลมที่พัดมาเมื่อครู่ เสี่ยวจีหลิงควรจะรู้สึกตัวและตามลมนั้นหนีไป ทำให้นักเล่าเสียงพิฆาตยังไม่ทันได้เห็นหน้าเสี่ยวจีหลิงด้วยซ้ำ
“ใช้ของข้าเถอะ!”
เหวินฉีเหวินยื่นดาบของตนให้เสี่ยวจีหลิงพร้อมเอ่ย
“หากข้าใช้จนเสียหาย เจ้าจะเสียดายหรือไม่”
เสี่ยวจีหลิงรับดาบของเหวินฉีเหวินมา ชักออกเพียงครึ่งหนึ่งแล้วถาม
ดาบเล่มนี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก
เมื่อดาบพ้นฝัก แสงเย็นยะเยือกสาดประกาย
ตัวดาบประดับลวดลายวิจิตร
เหมาะจะตั้งไว้บนหอร้อยสมบัติเป็นของบูชามากกว่าจะใช้ในการต่อสู้หรือสังหารคน
“ไม่เสียดาย! แค่ดาบเล่มหนึ่งเท่านั้น เป็นเพียงของนอกกาย!”
เหวินฉีเหวินกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ
หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่เชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง
จะมีมือดาบคนใดไม่รักดาบของตน?
โดยเฉพาะดาบประจำตัว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ผู้ใดยืมง่ายๆ
ในยุทธภพมักมีคำกล่าวเล่นๆ ว่า ‘เจ้าจะขอยืมเงินจากข้า ยืมชีวิตจากข้า หรือแม้แต่ยืมลูกและภรรยาจากข้าก็ย่อมได้ แต่เจ้าจะไม่มีวันขอยืมดาบจากมือดาบ หรือขอยืมกระบี่จากมือกระบี่ได้’
เสี่ยวจีหลิงเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่เหวินฉีเหวินใจกว้างถึงเพียงนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าไม่คิดมาก เขาก็ยอมรับไปตามนั้น
“พวกเจ้าดื่มกันไปก่อน ข้าขอไปจัดการธุระส่วนตัวสักครู่แล้วจะกลับมา”
เสี่ยวจีหลิงเอ่ยขึ้น
จากนั้นถือดาบ และเดินนำนักเล่าเสียงพิฆาตออกไปข้างนอก
นั่งดื่มสุราโดยไม่ขยับเขยื้อนยังพอทน แต่หากต้องชักดาบสู้กันจริงๆ นอกจากจะขยับตัวไม่สะดวกแล้ว ยังจะพลาดพลั้งทำร้ายผู้อื่นได้ง่าย
ในเมื่อเสี่ยวจีหลิงเอ่ยว่าพวกเขาคือสหาย ย่อมหมายความว่าเขาจะไม่ปล่อยให้สหายของตนต้องมาพัวพันกับเรื่องยุ่งยาก
“หรือว่าครั้งนี้เขาจะชักดาบจริงๆ”
หลิวรุ่ยอิ่งหันไปถามนายท่านจิน
“เจ้าเคยเห็นเขาชักดาบหรือไม่”
นายท่านจินยิ้มพลางย้อนถาม
“ข้าไม่เคยเห็น…และข้ารู้ว่าเขามักจะหลบหนีมาตลอด ไม่ชักดาบออกมา”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ครั้งที่แล้วที่เสี่ยวจีหลิงมาเยือนในยามค่ำคืน แม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็อาศัยท่าร่างหลบหนีไปได้ ไม่ได้ลงมือสู้
“ตามปกติแล้ว เขาจะไม่ชักดาบจริงๆ”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
เมื่อคนเราพูดว่า ‘ตามปกติ’ บ่งบอกได้ชัดเจนว่าสถานการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นข้อยกเว้น
“ยกเว้นคนผู้นั้นพัวพันเสี่ยวจีหลิงมานานจนเขาเบื่อหน่ายสุดทน จึงคิดจะลงมือเพื่อให้เรื่องจบสิ้นอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพาหวาหนงเดินตามออกไปข้างนอก
เขาไม่ได้จะช่วยเหลือ แต่เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะให้หวาหนงได้เรียนรู้และฝึกฝนประสบการณ์เพิ่มเติม
อีกทั้งเขาก็อยากเห็นฝีมือของเสี่ยวจีหลิงเช่นกัน
คนที่เต็มไปด้วยความลับ หากมีแต่ความสามารถในการวิ่งหนีอย่างเดียวก็ดูน่าอับอายเกินไป…
หลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสได้ว่า เสี่ยวจีหลิงต้องมีวิถียุทธ์ที่ไม่ธรรมดา แต่จะถึงขั้นใดนั้น คงต้องได้เห็นด้วยตาตนเอง
นางจ้องมองพี่ชายของตนด้วยสายตาเว้าวอน ราวกับขอความเห็นชอบจากเขา
นายท่านจินยักไหล่ รู้สึกจนใจต่อน้องสาวของตน แต่เมื่อนึกถึงนิสัยของเสี่ยวจีหลิงและหลิวรุ่ยอิ่งก็อยู่ด้วย สุดท้ายก็ยังคงพยักหน้าอนุญาต
เหวินฉีเหวินให้ยืมดาบของตนไปแล้ว ก็รู้สึกใจโหวงเหวงเล็กน้อย…แต่เมื่อเห็นชิงเสวี่ยชิงดื้อดึงจะไปดูความครึกครื้น เขาจึงต้องตามไปด้วย
ทว่าเหมือนเหวินฉีเหวินไม่รู้จะวางมือขวาไว้ที่ใดดี กำแล้วคลายออกซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
“เอาที่นี่ก็แล้วกัน!”
เสี่ยวจีหลิงเอ่ยขึ้น
เขากับนักเล่าเสียงพิฆาตเดินตามกันมาจนถึงลานกว้างที่อยู่หน้าจวน เสี่ยวจีหลิงก็หยุดฝีเท้าลง
หลิวรุ่ยอิ่งและหวาหนงเดินตามมาติดๆ แล้วพบว่ามีคนจากจวนของนายท่านจินนอนเกลื่อนกลาดอยู่เต็มลาน
“พวกเขาคงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
เสี่ยวจีหลิงชี้ไปยังผู้คนที่นอนอยู่บนพื้นแล้วถาม
นักเล่าเสียงพิฆาตส่ายศีรษะ
“เช่นนั้นก็ดี ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นคนมีหลักการ ดูท่าจะจริงดังว่า!”
เสี่ยวจีหลิงยิ้มพลางกล่าว
คำพูดนี้ของเสี่ยวจีหลิงมีความหมายสองนัย ไม่เพียงแต่บอกว่านักเล่าเสียงพิฆาตไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แต่ยังหมายถึงว่าในฐานะมือสังหาร นักเล่าเสียงพิฆาตจะไม่มีวันละทิ้งภารกิจที่ได้รับมา
ตั้งแต่ที่ทั้งสองพบกันครั้งแรกในหัวเมืองรัฐติงแห่งอาณาจักรติ้งซีอ๋อง เขาไล่ตามเสี่ยวจีหลิงมาจนถึงเหมืองรัฐหงในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง แต่นักเล่าเสียงพิฆาตก็ยังไม่ยอมเลิกรา แค่ความมุ่งมั่นและความอุตสาหะนี้ก็อยู่เหนือคนธรรมดาแล้ว
“ข้าอยากถามเจ้าสักอย่าง แม้ข้ารู้ว่าเจ้าอาจจะไม่ตอบ แต่ข้าก็ยังอยากถาม”
เสี่ยวจีหลิงเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เมื่อนักเล่าเสียงพิฆาตได้ยินก็พลันชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้า
“ผู้ใดกันที่ต้องการให้ข้าตาย”
เสี่ยวจีหลิงถาม
คำถามนี้สำหรับมือสังหารแล้ว การบอกชื่อผู้ว่าจ้างเป็นสิ่งที่ต่อให้ตายก็ไม่อาจพูดได้
เสี่ยวจีหลิงเป็นคนในยุทธภพ ย่อมรู้กฎพื้นฐานข้อนี้ดี
แต่เขาก็ยังอดที่จะถามไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าความสงสัยในใจเขานั้นใหญ่หลวงเพียงใด
“เมื่อสิบปีก่อน มีคนนับไม่ถ้วนต้องการสังหารข้า หากจะเปรียบว่าดุจปลาที่ว่ายข้ามแม่น้ำก็ไม่เกินจริงนัก พวกเขาไล่ล่าข้าตลอดสามปีเจ็ดเดือนสิบสามวัน สุดท้ายก็ไร้ผลต้องถอยกลับ แต่ข้าเป็นคนที่ปากแข็งยิ่งนัก แม้จะล่วงรู้ความลับใดๆ เข้า ข้าก็ไม่ใช่คนที่จะพูดจนหมดเปลือก คนใจคับแคบพวกนั้นย่อมรู้ถึงข้อนี้ จึงเลิกไล่ล่าข้าให้เสียแรงเปล่า หลังจากนั้น ชีวิตข้าก็สงบสุขเรื่อยมา จนกระทั่งได้พบกับเจ้า”
เสี่ยวจีหลิงกล่าวต่อ
“ไม่มีผู้ใด”
นักเล่าเสียงพิฆาตตอบ
นี่คือคำพูดแรกที่เขาเอ่ยตั้งแต่ปรากฏตัว
เสียงของเขาแหบแห้งราวกับมีทรายเต็มปาก หรือบางทีอาจเพราะไม่ได้พูดจามานาน พอต้องพูดจากะทันหันเช่นนี้ จึงรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคย ทว่านอกจากนักเล่าเสียงพิฆาตจะเป็นมือสังหารแล้ว เขายังมีอีกสถานะหนึ่ง…นักเล่าเรื่อง
นักเล่าเรื่องหากไม่พูด แล้วจะเล่าเรื่องได้อย่างไร? ทั้งไม่ใช่การแสดงหุ่นเงาที่ใช้การแสดงเป็นหลัก…การเล่าเรื่อง สุดท้ายก็ตกอยู่ที่คำว่า ‘เล่า’
ทุกคนล้วนรู้จักเรื่องราวในตำนานต่างๆ มากมาย แต่คุณภาพของนักเล่าเรื่องจะดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับฝีปากและการควบคุมจังหวะ
“ไม่มีผู้ใดต้องการชีวิตของเจ้า ข้าแค่ต้องการสังหารเจ้าก็เท่านั้น”
นักเล่าเสียงพิฆาตอธิบาย
คำว่า ‘ไม่มีผู้ใด’ เพียงประโยคเดียว ทำเอาคนฉลาดหลักแหลมอย่างเสี่ยวจีหลิงยังไม่เข้าใจแน่ชัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลิวรุ่ยอิ่งและชิงเสวี่ยชิง
เสี่ยวจีหลิงถาม
“เจ้ารู้เรื่องราวมากมาย ข้าก็เช่นกัน แต่เจ้าใช้เรื่องราวเหล่านั้นทำสิ่งใด”
นักเล่าเสียงพิฆาตย้อนถาม
คำถามนี้ทำเอาเสี่ยวจีหลิงตอบยาก…
เพราะเรื่องราวของเขาก็ไม่ได้ถูกใช้ในทางที่ถูกต้องนัก
เขาเล่าเพื่อความบันเทิงของตนเอง และเพื่อโอ้อวดในบางครั้ง แต่ทั้งสองเหตุผลนี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่สามารถพูดออกมาได้อย่างเปิดเผย
……………………
นักเล่าเสียงพิฆาตเกิดในหมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขา ในหมู่บ้านนั้น คนที่มีความรู้มากที่สุดคือนักเล่าเรื่องชราผู้หนึ่ง สมัยที่นักเล่าเสียงพิฆาตยังเด็ก สิ่งที่เขาชอบทำที่สุดก็คือรีบไปฟังเรื่องเล่าจากท่านนักเล่าเรื่องในยามเย็น ทว่านักเล่าเรื่องชราผู้นั้นได้ละทิ้งอาชีพของตนมานานแล้ว
เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนเส้นทางสำคัญ เขาจึงเปิดเพิงน้ำชาที่ปากทางหมู่บ้าน นอกจากขายชาแล้วยังขายสุราอีกด้วย ผู้คนที่ผ่านทางมาจะแวะดื่มชา ส่วนเขาจะดื่มสุรา ในเพิงน้ำชายังมีสุนัขเฒ่าตัวหนึ่งที่ตาบอดหนึ่งข้าง มันไม่ขยับตัวตลอดทั้งวัน และมักจะนอนเอื่อยเฉื่อยอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ราวกับเคยชินกับคนแปลกหน้า ไม่ว่าผู้ใดจะเข้าใกล้ มันก็ไม่มีปฏิกิริยาใด
สุนัขเฒ่าตัวนี้เป็นคู่หูเพียงหนึ่งเดียวของนักเล่าเรื่องชรา อย่างน้อยก็จนกระทั่งนักเล่าเสียงพิฆาตเริ่มตามรบเร้าให้นักเล่าเรื่องให้ฟัง แม้คนและสุนัขจะต่างกันมาก แต่คนเลี้ยงสุนัขก็แค่ต้องการสหายคอยอยู่เคียงข้างเท่านั้น ทว่าสุนัขเฒ่าตัวนี้กลับมีความผูกพันกับนักเล่าเรื่องชราเป็นพิเศษ ไม่เพียงเพราะทั้งคู่ต่างก็แก่ชรา แต่ยังเพราะร่างกายของพวกเขาต่างไม่สมบูรณ์เหมือนกัน
สุนัขตัวนั้นตาบอดหนึ่งข้าง ส่วนนักเล่าเรื่องก็ขาซ้ายขาด เดิมทีนักเล่าเรื่องผู้นี้เกิดและเติบโตในหมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อยังเยาว์ บิดาล้มป่วยหนักจนสิ้นชีวิต มารดาก็โหดร้ายทิ้งเขาไว้แล้วไปแต่งงานใหม่
การเป็นหญิงหม้ายย่อมมีชีวิตที่ลำบาก แต่หากทิ้งลูกตนเองย่อมถือว่าไม่มีจิตสำนึก ชาวบ้านรู้สึกสงสารจึงช่วยเหลือเกื้อกูลเป็นประจำ เขาจึงเติบโตด้วยข้าวปลาอาหารของทุกบ้าน เมื่อเติบใหญ่ เขาก็จากหมู่บ้านไปเพื่อผจญภัยโลกภายนอก
เมื่อเขากลับมาอีกครั้ง เขาก็ชราลงมากแล้ว คนที่เคยรู้จักกันเกือบทั้งหมดต่างล้มหายตายจากไปแล้ว คำกล่าวที่ว่า ‘สำเนียงเสียงภาษาหาได้เปลี่ยนเพียงผมบาง เด็กน้อยยามพบหน้าไม่รู้จักคนแปลกต่าง’ นั้น เป็นสิ่งที่ผู้ท่องใต้หล้าทุกคนต้องประสบ เมื่อหวนคืนสู่บ้านเกิดหลังจากผ่านไปหลายปี
ในฤดูใบไม้ร่วงปีที่สองหลังจากที่เขากลับมา นักเล่าเรื่องชราได้สร้างหอเล็กๆ ขึ้นบนเพิงน้ำชา ใช้เป็นที่พักอาศัยของตนเอง ส่วนสุนัขเฒ่าตัวนั้นก็จะขึ้นไปนอนบนหอนั้นในยามค่ำคืน ตอนที่เขาเพิ่งกลับมา เขาตัวคนเดียว ไม่มีสหายและไม่มีสุนัข ก็ไม่รู้ว่าสุนัขตัวนี้โผล่มาตั้งแต่เมื่อใด แต่มันก็อยู่เคียงข้างเขาเรื่อยมา
นักเล่าเรื่องชราหยุดเล่าเรื่องไปนานแล้ว แต่เมื่อทำงานนี้มาตลอดชีวิต จะทิ้งไปง่ายๆ ได้อย่างไร? บ่อยครั้งที่เขาห้ามปากตัวเองไม่ได้ เมื่อเล่าบ่อยครั้งเข้า ชื่อเสียงก็เริ่มแพร่กระจายออกไป ผู้คนในรัศมีสิบลี้ต่างได้ยินว่าในเพิงน้ำชาที่หมู่บ้านแห่งนี้มีนักเล่าเรื่องชราผู้มากประสบการณ์อยู่ ทำให้เพิงน้ำชาค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
นักเล่าเสียงพิฆาตเติบโตในหมู่บ้านนั้นย่อมได้เปรียบเป็นธรรมดา ตอนอายุยังน้อย เขามักจะเบียดขึ้นไปข้างหน้าไม่ทัน ได้แต่ยืนฟังอยู่ด้านหลังเงียบๆ แต่ด้วยความเฉลียวฉลาด ฟังนานเข้า ก็สามารถจดจำเรื่องราวเหล่านั้นได้ทุกคำ
ทุกครั้งที่นักเล่าเรื่องชราหยุดเล่าเพราะไอหรือลุกไปเติมสุรา นักเล่าเสียงพิฆาตก็จะมาเล่าต่อ นานวันเข้าตำแหน่งของเขาก็ขยับจากท้ายสุดไปอยู่ข้างๆ นักเล่าเรื่องชรา จนในที่สุด นักเล่าเรื่องชราเพียงคอยเสริมให้เท่านั้น แต่เรื่องราวส่วนใหญ่กลับกลายเป็นนักเล่าเสียงพิฆาตที่เล่าต่อจนจบ
แม้เสียงของเขายังดูเยาว์วัย และบางช่วงสำคัญก็ยังไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้สมบูรณ์ แต่เด็กน้อยคนหนึ่งมาเล่าเรื่องก็นับว่าแปลกใหม่อย่างยิ่ง อีกทั้งการร่วมมือกันระหว่างนักเล่าเรื่องชราและเด็กน้อยก็เข้าขากันได้ดี
เมื่อดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ผู้คนถึงค่อยๆ ทยอยจากไป ขณะที่นักเล่าเสียงพิฆาตช่วยนักเล่าเรื่องชราเก็บถ้วยชาและเปลือกถั่วลิสงที่เกลื่อนอยู่บนพื้น นี่เป็นฤดูร้อน แม้ดวงอาทิตย์จะคล้อยต่ำทางทิศตะวันตกแล้ว แต่ก็ยังคงลอยอยู่บนฟ้าอีกหนึ่งชั่วยามกว่าๆ เมื่อนักเล่าเรื่องชราจัดการธุระในเพิงน้ำชาเสร็จ ก็เริ่มสอนนักเล่าเสียงพิฆาตให้รู้หนังสือ
สิ่งแรกที่เขาสอนคือสี่คำที่ว่า ‘จงเซี่ยวเจี๋ยอี้’[1] และบอกกับเขาว่า คำเหล่านี้คือรากฐานที่มนุษย์ควรยึดถือ โดยเฉพาะนักเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยเรื่องราว ต้องจดจำคำเหล่านี้ให้ดี
ตัวร้ายในเรื่องเล่ามักจะละเมิดหลักการทั้งสี่นี้ ในขณะวีรบุรุษผู้กล้า ต่างก็ใช้ชีวิตและเลือดเนื้อของตนเพื่อแสดงความหมายอันลึกซึ้งของคำเหล่านี้อย่างชัดเจน
………………………………………………..
[1] จง (忠) หมายถึง ความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์
เซี่ยว (孝) หมายถึง ความกตัญญูต่อบิดามารดา
เจี๋ย (节) หมายถึง ความซื่อตรง
อี้ (义) หมายถึง คุณธรรม ความมีน้ำใจ หรือความชอบธรรม
…………….