ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 487 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-4
บทที่ 487 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-4
…………….
“คุยอะไรกันอยู่หรือ ดูตั้งอกตั้งใจเพียงนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งถือจอกสุราเดินเข้ามา ตบไหล่หวาหนงและถาม
ก่อนหน้านี้เขานั่งอยู่ที่ปลายโต๊ะอีกด้านกับนายท่านจิน ตรงกลางมีเสี่ยวจีหลิงคั่นอยู่ แม้ว่าเสี่ยวจีหลิงจะพูดไม่หยุด แต่เขาก็มักจะหลีกเลี่ยงเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนอื่นๆ ได้อย่างชาญฉลาด
ทุกคนคิดว่าเสี่ยวจีหลิงเป็นคนที่ใช้ปากหาเลี้ยงชีพ จนถึงขั้นเรียกเขาลับหลังว่าพ่อค้าข่าวลับ เสี่ยวจีหลิงคร้านจะอธิบาย แทนที่จะเสียเวลาอธิบายให้คนที่ไม่เข้าใจตนและตนก็ไม่อยากคบค้าอย่างลึกซึ้งด้วย สู้ประหยัดแรงไว้สำหรับการคบหาคนที่น่าสนใจ เช่นนายท่านจินหรือหลิวรุ่ยอิ่งยังดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ด้วยเรื่องราวลึกลับและตำนานที่เขามีอยู่ในหัวนี่เอง ทำให้เขาได้ดื่มสุราและกินอาหารฟรีไม่น้อย…หากว่ากันตามจริง เขาเป็นพ่อค้าข่าวก็นับว่าไม่เลวอยู่เหมือนกัน
“เขาเล่าเรื่องหนึ่งให้ข้าฟัง!”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าว
“เรื่องอะไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม ใคร่รู้เล็กน้อย
เขาทำหน้าที่ในฐานะอาจารย์อาได้ไม่สมบูรณ์นัก คนอื่นเห็นเพียงหวาหนงศิษย์หลานของเขาถือกระบี่เก่าชำรุด แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ดีว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหวาหนงเลย นอกจากรู้ว่าหวาหนงเติบโตในป่าเขาแล้ว สิ่งอื่นไม่ใช่ว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยคิดจะทำความเข้าใจ เพียงแต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาไม่เคยมีเวลาว่างพอที่จะทำเช่นนั้นได้
เรื่องราวเหล่านี้จำเป็นต้องให้ทั้งสองฝ่ายนั่งลงแล้วค่อยๆ พูดคุยกัน ไม่รีบร้อน และไม่วอกแวกด้วยเรื่องอื่น เมื่อพูดคุยจนกระหายน้ำก็ดื่มสุรา หิวก็รับประทานอาหาร ผ่อนคลายสบายๆ จึงจะสามารถเข้าใจกระบวนการเติบโตของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง จากนั้นจึงจะสัมผัสได้ถึงสภาพจิตใจที่แท้จริงของหวาหนง
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งได้ยินชิงเสวี่ยชิงบอกว่า หวาหนงเล่าเรื่องให้นางฟัง ในใจก็รู้สึกหดหู่…เดิมทีบทบาทผู้ฟังควรเป็นเขาจึงจะถูก แต่ผู้ฟังเรื่องราวหวาหนงคนแรกกลับกลายเป็นชิงเสวี่ยชิง
“เกี่ยวกับอะไรหรือ”
เขาลากเก้าอี้ของตนมานั่งข้างหวาหนง อีกอย่างผู้คนบนโต๊ะนี้ล้วนเป็นคนในยุทธภพที่จวนนายท่านจิน ไม่มีพิธีรีตองใดที่ต้องเคร่งครัด ทุกคนต่างปล่อยตัวตามสบาย ขอแค่สนุกสนานก็พอ
“เขาเล่าเรื่องหมาป่าตัวหนึ่งให้ข้าฟัง”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งตาเป็นประกาย
ก่อนหน้านี้เขาไม่มีความรู้สึกใดๆ เกี่ยวกับหมาป่า นอกจากคิดว่ามันเป็นสัตว์ที่อันตรายมากเท่านั้น
ทุกฤดูใบไม้ร่วงในเมืองหลวงจะมีพ่อค้ามากมายจากทางตะวันตกเฉียงเหนือมาขายของที่เรียกว่า ‘หินกระดูกข้อต่อหมาป่า’ ตอนแรกหลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด แต่เมื่อสอบถามจึงได้รู้ว่าหินกระดูกข้อต่อหมาป่าคือกระดูกส่วนหนึ่งจากต้นขาของหมาป่า
เนื่องจากรูปร่างสวยงาม เมื่อนำไปประดับด้วยทองหรือเงินจึงสามารถใช้เป็นเครื่องประดับได้ ได้รับความนิยมอย่างมากในทางตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ว่าจะเป็นชายหญิงหรือผู้สูงอายุ
แต่ในเมืองหลวงนั้น การค้าขายไม่ได้ดีนัก ผู้คนมักจะสนใจแค่ความแปลกใหม่ สอบถามแค่คำสองคำแต่ไม่ค่อยมีใครยอมควักเงินซื้อจริงๆ ทว่าเมื่อได้ยินพ่อค้าบอกว่าหินกระดูกข้อต่อหมาป่าสามารถขับไล่ปีศาจและหากแขวนไว้ที่คอ กระทั่งสุนัขร้ายยังถอยหนี หลิวรุ่ยอิ่งไม่สามารถตัดสินได้ว่าจริงหรือไม่ แต่เขาก็เริ่มเข้าใจเกี่ยวกับหมาป่ามากขึ้น
ต่อมาเมื่อไปอาณาจักรติ้งซีอ๋องก็เกิดเหตุการณ์ทหารหมาป่ารุกราน ทหารหมาป่าของราชสำนักทุ่งหญ้าแตกต่างจากหมาป่าทั่วไปอย่างมาก อย่างน้อยขนาดก็แตกต่างกันมาก
คืนหนึ่งที่เมืองจี๋อิง เขาเห็นทหารหมาป่ากลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในเมือง ตัวหน้าสุดที่เห็นจากไกลๆ ก็ไม่ต่างจากม้า นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นหมาป่ากับตา ขนสีเทาสว่าง หัวก้มต่ำ ตาสองข้างเป็นประกายดั่งดาวในคืนเยือกเย็น ดูน่าเกรงขาม
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกลัวหรือไม่ หลิวรุ่ยอิ่งในตอนนั้นแค่สบตากับหมาป่าตัวนั้นครู่เดียวก็พลันรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัว แม้จะไม่ถึงกับทำให้จิตใจของเขาตกอยู่ในภวังค์ แต่การโจมตีที่กะทันหันเช่นนี้ก็ทำให้เขารู้สึกหวาดระแวงอยู่ไม่น้อย…ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าหวาหนงพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับหมาป่า หลิวรุ่ยอิ่งจึงสนใจขึ้นมา
“เป็นเจ้าที่จะถูกหมาป่ากลืนกิน หรือท้ายที่สุดเจ้าต่างหากที่กินมัน?”
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มพลางเอ่ยถาม
“ข้าป่วย…ไม่รู้ว่าเป็นโรคใด บางครั้งตัวก็ร้อน บางครั้งก็หนาว…ข้าเคยป่วยเช่นนี้มาก่อนสองสามครั้ง แต่ไม่เคยรุนแรงเท่าครั้งนี้! แค่เดินไปเพียงสองก้าวก็ล้มพับลงกับพื้น”
หวาหนงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้ารับเมื่อฟังจบ โรคเช่นนี้พบได้บ่อย มักเป็นอาการของโรคไข้หวัด
หากอยู่ในตัวเมืองหรือหมู่บ้าน ย่อมไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร เพียงแค่ไปหาหมอที่ร้านยา ไม่จำเป็นต้องตรวจชีพจร แค่ดูสีหน้า อย่างมากก็ตรวจลิ้น ก็พอจะทราบว่าเป็นโรคใด
ยารักษาโรคไข้หวัดในช่วงเปลี่ยนฤดู ร้านยาทุกร้านก็ล้วนเตรียมไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงคาบเกี่ยวฤดูหนาวกับฤดูใบไม้ผลิ หรือฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาวจะแพร่หลายเป็นพิเศษ เคราะห์ร้ายที่หวาหนงอยู่กลางป่าเขาเพียงลำพัง…นอกจากจะไม่อาจเดินทางไปถึงตัวเมืองได้แล้ว แม้แต่คนช่วยปรุงยาก็ไม่มี กระทั่งอยากดื่มน้ำอุ่นสักถ้วย ก็ดูเป็นความหวังเลือนลาง
“หลังจากที่ล้มพับลงไป ข้าคงหมดสติไปนาน…เมื่อตื่นขึ้นมา กระบี่ในมือข้าก็หายไป และพบว่ามีหมาป่าออกฝูงตัวหนึ่งตามหลังข้าอยู่!”
หวาหนงกล่าว
เมื่อสิ้นคำ เขาหยุดชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะออกมา
หลิวรุ่ยอิ่งกำลังตั้งใจฟัง แต่กลับไม่รู้ว่าเหตุใดหวาหนงจึงหัวเราะขึ้นมากะทันหัน ทว่าไม่นานก็เข้าใจได้ทันที เขานึกถึงเมื่อครั้งก่อนที่ตนเองจะเข้าหอทรงปัญญา
ตอนนั้นเขาเผชิญหน้ากับมนุษย์แท่งน้ำแข็ง การต่อสู้นั้นดุเดือดจนแทบเอาชีวิตไม่รอด จนกระทั่งยามที่เขาวางกระบี่ลงในตอนท้าย หลิวรุ่ยอิ่งก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน ไม่ใช่เสียงหัวเราะที่ขมขื่น และไม่ใช่การเย้ยหยันตนเอง แต่เป็นความรู้สึกผ่อนคลายที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต
ชีวิตคนเราล้วนถูกพันธนาการไว้มากมาย ตั้งแต่วัยเยาว์อาจถูกบิดามารดาอบรมสั่งสอน ครูบาอาจารย์ให้คำชี้แนะ จวบจนแบกรับภาระในครอบครัว
เรื่องเหล่านี้หากมองในแง่ดี ก็คือความรับผิดชอบ แต่เมื่อความรับผิดชอบเหล่านั้นกดทับลงบนบ่าและหัวใจของคนเรา มันกลับแปรเปลี่ยนเป็นโซ่ตรวน เจ้ามองไม่เห็นมัน แต่มันมีอยู่จริงอย่างแน่นอน
ทุกลมหายใจและทุกย่างก้าวล้วนรู้สึกได้ถึงการดำรงอยู่ของมันตลอดเวลา เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งสังหารมนุษย์แท่งน้ำแข็งลงได้ ในตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงแว่วขึ้นข้างหู นั่นคือเสียงโซ่ตรวนขาด!
แม้จะยังมีพันธนาการอีกมากมายที่แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด แต่ในที่สุดเขาก็ได้ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ความรู้สึกเบาสบายที่ไม่เคยมีมาก่อนค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาจนปรากฏเป็นรอยยิ้มบนใบหน้า
เมื่อคิดเช่นนี้ มนุษย์ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ในยามที่รู้สึก ‘ผ่อนคลาย’ สิ่งที่ทำได้ก็แค่ไม่ทำอะไรเลย หรือไม่ก็แค่หัวเราะเท่านั้น แต่มีความสุขก็หัวเราะ และผ่อนคลายก็หัวเราะเหมือนกัน แล้วเราจะแยกแยะความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้ได้อย่างไร? น่าเบื่อเกินไปหน่อยจริงๆ…
ทว่าหวาหนงหัวเราะครั้งนี้กลับทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกถึงความเชื่อมโยงบางอย่าง…
“หมาป่าออกฝูงหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เขารู้ดีว่าหมาป่ามักอยู่รวมกันเป็นฝูง และมีลักษณะพิเศษอย่างมากในหมู่สัตว์ร้าย
“ไม่เพียงแค่ออกฝูงแต่มันยังป่วยอีกด้วย! สุดท้ายข้าพบว่าขาหลังข้างหนึ่งของมันได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเห็นกระดูก…คาดว่ามันคงไม่หายขาดเสียที มันคงกังวลว่าจะเป็นภาระของฝูงจึงเลือกที่จะลือกถอยออกมาเอง…แต่ความปรารถนาในการเอาชีวิตรอดนั้นมีอยู่ในทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือมัน หากยังไม่ถึงคราวตาย ใครบ้างจะยอมตายง่ายๆ? มีชีวิตต่ออีกวันก็ถือว่าได้กำไรอีกวัน! ในที่สุด หมาป่าที่บาดเจ็บมาพบข้าที่ป่วยก็ต้องมาวัดกันว่าใครจะอยากมีชีวิตอยู่มากกว่ากัน!”
หวาหนงกล่าว
“ในตอนนี้เจ้าสามารถนั่งเล่าเรื่องได้ บทสรุปย่อมชัดเจนแล้ว!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยขึ้น
“ถูกต้อง ท้ายที่สุดข้าก็ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่มากกว่ามัน แต่ข้าก็ต้องขอบคุณมันเช่นกัน…หากไม่ได้ดื่มเลือดหมาป่าอุ่นๆ จากมัน ข้าคงไม่มีทางรอดมาจนถึงตอนนี้”
หวาหนงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเคยร่วมทัพอีกาดำกับติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งในอาณาจักรติ้งซีอ๋อง ในกองทัพอีกาดำ หมวกเกราะของทุกคนจะมีสุราเลือดหมาป่า รสชาตินั้นยังคงตราตรึงอยู่ในใจเขาจนถึงทุกวันนี้ เพียงแค่คิดถึงเหตุการณ์นั้น ในปากก็มีกลิ่นคาวอีกครั้ง…
ยิ่งไปกว่านั้น เลือดหมาป่าที่พวกเขาดื่มยังผ่านการหมักเป็นสุราแล้ว แต่หวาหนงดื่มเลือดหมาป่าสดๆ หลิวรุ่ยอิ่งนึกไม่ออกจริงๆ ว่าตนจะกลืนมันลงคอได้หรือไม่…
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลิวรุ่ยอิ่งก็ส่ายศีรษะไปมา ราวกับต้องการสลัดความคิดออกไป ถึงอย่างไรเมื่อยังไม่ถึงคราวนั้น ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่าตนเองจะเลือกทำสิ่งใด
ชีวิตนั้นยิ่งใหญ่และสูงส่ง ไม่มีผู้ใดยอมละทิ้งชีวิตง่ายๆ ในใจของทุกคนล้วนเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าเขาจะป่วยไข้หรือพิการก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และจะต่อสู้อย่างหนักโดยไม่เสียใจ
ตราบใดที่คิดถึงการมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็อาจมีเรื่องราวที่งดงามอีกมากมายรออยู่เบื้องหน้า แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดอยากตาย
“เรื่องเช่นนี้เจ้าเคยประสบมากี่หน”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“มากทีเดียว…เกินจะนับได้ขอรับ!”
หวาหนงดื่มสุราอึกหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ
“เพราะการที่คนป่วยและหมาป่าบาดเจ็บมาเจอกันเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง ข้าจึงจำมันได้แม่นยำนัก!”
หวาหนงกล่าว
ทำให้คำถามที่หลิวรุ่ยอิ่งคิดจะถามได้รับคำตอบอย่างชัดเจน
“เหตุใดเจ้าถึงได้ประสบเรื่องราวเช่นนี้บ่อยนักเล่า”
ชิงเสวี่ยชิงเอียงศีรษะถาม
เรื่องราวที่หวาหนงเล่าฟังดูตื่นเต้นและเร้าใจสำหรับนาง แต่ด้วยประสบการณ์ที่นางมี สิ่งเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้เลย…
ในจวนชิงไม่ว่าจะผ่านไปกี่พันปี ก็ไม่มีทางพบเห็นหมาป่า และในหัวเมืองรัฐหง ต่อให้ผ่านไปอีกหมื่นปี ก็ไม่มีทางได้พบกับหมาป่าบาดเจ็บและคนป่วยที่มาพบกันเช่นนี้
ทว่าคำถามของชิงเสวี่ยชิง หวาหนงกลับไม่ได้ตอบ เขาเลือกที่จะเงียบแทน…ความเงียบนี้ไม่ใช่เพราะต้องการแสร้งทำเป็นลึกลับ แต่เขาเองก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไรดี
เหตุใดเขาถึงมักประสบกับเรื่องเช่นนี้เสมอ? สำหรับหวาหนงแล้ว คำถามนี้ไม่ต่างอะไรกับคำถามที่ว่าเหตุใดมนุษย์ต้องกินข้าวและดื่มน้ำ
ทุกสิ่งทุกอย่างในแต่ละสภาพแวดล้อมล้วนมีความเป็นปกติของมัน ซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เหมือนกับที่เหมืองแร่ย่อมมีพายุทรายรุนแรง เมืองหลวงย่อมมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ และในป่าเขาย่อมเต็มไปด้วยสัตว์ดุร้าย ทุกก้าวย่างล้วนเต็มไปด้วยอันตราย
“เมื่อก่อนข้ายังไม่รู้ความจึงวิ่งไปทั่ว แต่เมื่อเติบโตขึ้นจึงหยุดพฤติกรรมนั้น!”
หวาหนงครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้าอย่างพอใจ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หวาหนงก็มีพัฒนาการอยู่บ้าง อย่างน้อยเขาก็ได้เรียนรู้ที่จะปกปิดและแสร้งทำ
ความซื่อตรงนั้นเป็นสิ่งดี และอาจนับเป็นคุณธรรมที่ดีได้ แต่ในบางครั้ง ความซื่อตรงกลับคมกริบยิ่งกว่ากระบี่ในมือ ทำร้ายคนได้ลึกยิ่งกว่า
สำหรับคนอย่างหวาหนงที่เฉียบแหลมและเปิดเผยเกินไป การเรียนรู้ที่จะผ่อนปรนและอ้อมค้อมบ้าง กลับจะช่วยให้เขาก้าวเดินไปได้อย่างราบรื่นและไกลกว่าเดิม
จู่ๆ สุราที่หลิวรุ่ยอิ่งวางอยู่บนโต๊ะก็เกิดระลอกคลื่นเบาๆ ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง…โต๊ะไม่ได้สั่นไหวและจอกสุราก็วางอยู่อย่างมั่นคง เหตุใดจึงมีระลอกคลื่นได้?
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกถึงลมพัดผ่าน แต่ไม่อาจแยกแยะได้ว่าพัดมาจากทิศทางใด ราวกับว่าพัดมาจากทุกสารทิศแล้วล้อมรอบโต๊ะนี้ไว้ ยกเว้นนายท่านจินและเสี่ยวจีหลิงที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส พวกเขาไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติแต่อย่างใด แต่คนอื่นๆ ต่างพากันมองไปรอบๆ อย่างสงสัย
หากหลิวรุ่ยอิ่งจำไม่ผิด ที่จวนของนายท่านจินไม่เคยมีลมพัดเข้ามา ไม่ว่าด้านนอกจะมีลมทะเลทรายรุนแรงเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อก้าวผ่านประตูจวนเข้ามาก็จะสงบเงียบทันที
ครั้งก่อนที่เขามาที่นี่ก็เป็นเช่นนี้ ประกอบกับการกระทำที่แปลกประหลาดของผู้คนรอบข้าง หลิวรุ่ยอิ่งมั่นใจว่าเขาไม่ได้จำผิด
ใบอ่อนขนาดเล็กหล่นลงในจอกสุราของหลิวรุ่ยอิ่ง บดบังระลอกคลื่นที่ค่อยๆ แผ่กระจายอยู่ในจอกไปกว่าครึ่ง ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ไม่ใช่ฤดูที่ใบไม้จะร่วงหล่น และใบที่ตกลงมาในจอกของหลิวรุ่ยอิ่งนี้ก็ไม่ใช่ใบไม้แห้งเฉา แต่เป็นใบอ่อนที่ยังไม่เจริญเต็มที่
ใบเช่นนี้อยู่ระหว่างระยะที่เพิ่งผลิยอดและกำลังจะเติบโตเป็นใบสมบูรณ์ ในช่วงนี้เอง ใบอ่อนย่อมต้องการสารอาหารอย่างต่อเนื่องจากลำต้นเพื่อให้เจริญเติบโตเต็มที่
การที่ลมจะพัดใบอ่อนเช่นนี้ให้หลุดจากกิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าบัดนี้ ใบอ่อนกลับร่วงลงมาในจอกสุราของหลิวรุ่ยอิ่งอย่างสมบูรณ์ จึงจำต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นนี้
เมื่อใบไม้ร่วงลง เสียงสนทนาของนายท่านจินและเสี่ยวจีหลิงค่อยๆ เงียบลงเช่นกัน ทั้งคู่ก็รู้สึกได้ถึงสายลมและความผิดปกติในจวน
“เหตุใดถึงมีลมพัด”
เสี่ยวจีหลิงเอ่ยขึ้น
แม้จะเป็นคำถาม แต่กลับคล้ายพึมพำกับตนเองมากกว่า…
นายท่านจินขมวดคิ้วไม่เอ่ยวาจา ดวงตาจับจ้องไปยังเฉลียงเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่
เมื่อทั้งคู่หยุดสนทนา คนอื่นๆ ก็พลอยเงียบตามไปด้วย
“ฉึบ…ฉึบ…ฉึบ…”
เสียงแผ่วเบาแต่สม่ำเสมอดังมาจากนอกเฉลียง หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกคุ้นเคยเสียงนี้อย่างประหลาด แต่จำไม่ได้ในทันทีว่าเคยได้ยินที่ใดมาก่อน
………………………………………………..
…………….