ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 484 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-1
บทที่ 484 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-1
…………….
เถ้าแก่เนี้ยมองดูหลี่จวิ้นชางทำเช่นนั้นแล้วกลั้นยิ้มไม่อยู่
หั่นผักไม่ใช่ฆ่าคน ผักกาดขาวไม่ใช่ศีรษะมนุษย์ ไฉนจึงหั่นขาดครึ่งตรงกลางเช่นนี้? ผักกาดขาวหัวนี้ก็เสียเปล่าแล้ว…ไม่มีประโยชน์อีก
อย่างไรก็ตาม เถ้าแก่เนี้ยไม่ได้เอ่ยตำหนิ แต่กลับอ่อนโยนอย่างยิ่ง หมายจะดึงมีดทำครัวออกจากมือของเขา
หลี่จวิ้นชางไม่เข้าใจเจตนาของนางจึงออกแรงจับไว้แน่น เถ้าแก่เนี้ยเอื้อมมือไปจับใบมีดแล้วออกแรงดึง แต่ก็ไม่อาจดึงออกได้ นางจึงตบหลังมือของหลี่จวิ้นชางเบาๆ หวังให้เขาผ่อนแรงลง
ทันทีที่ปลายนิ้วของเถ้าแก่เนี้ยสัมผัสหลังมือของหลี่จวิ้นชาง เขาก็สะดุ้งหดมือกลับและรีบปล่อยมือออกจากมีด
เมื่อไม่มีแรงค้ำยัน มีดก็เอนเอียงไปทางด้านข้าง แต่เถ้าแก่เนี้ยคว้ามีดไว้ได้ทัน ก้าวเท้าไปข้างหน้าสองฉื่อกว่าจนเข้าใกล้โต๊ะและผักกาดขาวที่ถูกผ่าครึ่งบนโต๊ะมากกว่าหลี่จวิ้นชาง
หลี่จวิ้นชางสูงกว่าเถ้าแก่เนี้ยไม่น้อย เขาจึงอยู่ตรงท้ายทอยของนางพอดี กลิ่นหอมบางเบาจากเส้นผมและร่างกายของนางโชยมาแตะจมูก
แม้ว่าน้ำที่นี่จะเป็นสิ่งมีค่า แต่เถ้าแก่เนี้ยก็ยังคงเป็นคนที่รักความสะอาดมาก แม้จะต้องใช้เงินมากสักเพียงใด นางก็ยังคงรักษาหน้าตาและเครื่องแต่งกายให้ดูสะอาดสดใส
หลายปีมานี้ หลี่จวิ้นชางเดินทางรอนแรมไปทั่วสารทิศ ไม่ได้เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องผู้หญิงหรือเรือนร่างของสตรีเสียทีเดียว แน่นอนว่าเขาก็ย่อมมีความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้อยู่บ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถอยู่ใกล้ชิดกับสตรีอย่างสงบและจิตใจไม่ว้าวุ่น
ในอดีตล้วนแต่เพื่อระบายอารมณ์เท่านั้น เปรียบดั่งฟืนแห้งกับไฟแรง ต่างคนต่างสนองความต้องการของตนเอง สนใจเพียงความอ่อนนุ่มของผิวกาย ไหนเลยจะมีความรู้สึกเช่นนี้ได้?
ยิ่งกว่านั้น กลิ่นหอมจากร่างของเถ้าแก่เนี้ยมีความพิเศษไม่เหมือนใคร
หลี่จวิ้นชางจำไม่ได้ว่าในวัยเด็ก ตอนที่เขากับนายท่านจินยังใช้ชีวิตอยู่ในหัวเมืองรัฐหงแห่งอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง เถ้าแก่เนี้ยมีกลิ่นหอมเช่นไร แต่กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เพิ่งลอยมาเมื่อครู่นี้ ทำให้เขารู้สึกได้ทันทีว่าเถ้าแก่เนี้ยแตกต่างจากสตรีงามที่เขาเคยสัมผัสมาก่อนอย่างสิ้นเชิง
บรรดาสตรีงามล่มเมืองเหล่านั้น ส่วนมากอาศัยอาภรณ์และเครื่องประทินโฉมแต่งเติม แม้จะมีเสน่ห์น่าหลงใหลและเย้ายวนใจ แต่ก็เป็นเพียงความงามที่ฉาบไว้ภายนอก ปกคลุมอยู่บนผิวกายเท่านั้น
แม้ว่าเถ้าแก่เนี้ยจะเผยเสน่ห์ยั่วยวนในบางครั้ง แต่ความงามอันอ่อนหวานของนางกลับมาจากภายในและไหลลื่นออกมาอย่างธรรมชาติโดยไม่ต้องปรุงแต่ง
สิ่งที่แฝงอยู่ในความไม่ใส่ใจนั้นกลับเป็นความสง่างามที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร
แม้สายตาเย้ายวนจะงดงามเพียงใด ก็ยังเทียบไม่ได้กับเสน่ห์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด และเสน่ห์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดก็ยังเทียบไม่ได้กับอารมณ์ที่แปรปรวนยากจะคาดเดา เพราะทำให้ผู้คนยากจะคาดเดาและจับต้องไม่ได้
สิ่งที่เปิดเผยให้เห็นอย่างชัดเจนแต่แรกเห็น มักจะขาดเสน่ห์ดึงดูดบ้างเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับในวัยเยาว์ที่ชื่นชอบกินพุทราหวาน แต่หากกินมากไปจนทำให้ร้อนในและเลือดกำเดาไหล เมื่อเห็นพุทราหวานอีกครั้งก็จะเกิดความหวั่นใจ…
ทว่าก่อนที่จะได้ลิ้มรส แม้จะรู้ว่าผลลัพธ์จะร้ายแรงเพียงใด ก็แทบไม่มีใครที่สามารถต้านทานเสน่ห์เย้ายวนของพุทราหวานได้
ตั้งแต่หลี่จวิ้นชางติดตามนายท่านจินเข้ามาในโรงเตี๊ยมนี้ เถ้าแก่เนี้ยก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทีที่ไม่ร้อนไม่หนาว ไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนเจอสหายเก่าในต่างแดน แต่ก็ไม่ได้เย็นชาจนเกินไป
หากให้หลี่จวิ้นชางสรุป ก็คงราบเรียบราวกับดื่มน้ำเปล่าที่ไร้รสชาติ
สุราร้อนแรง ตั้งแต่แตะริมฝีปาก ปลายลิ้น ลำคอ ไปจนถึงกระเพาะ ล้วนแต่จู่โจมประสาทสัมผัสของผู้ดื่มอยู่ทุกขณะ ทำให้ผู้ดื่มไม่สามารถสนใจสิ่งใดอื่นได้เลย
ในขณะที่น้ำชามีรสชาติอ่อนละมุนและสดชื่น ค่อยๆ ซึมซับเข้าสู่ร่างกาย ดื่มไปเพียงไม่กี่ถ้วย ร่างกายก็ผ่อนคลาย รสชาติตราตรึงอยู่ในใจอย่างล้ำลึก
มีเพียงน้ำเท่านั้นที่เข้าไปอย่างไร ก็ออกมาอย่างนั้น นอกจากสีที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน
หลี่จวิ้นชางเคยคิดอยู่ช่วงหนึ่งว่าการดื่มน้ำเป็นเรื่องยุ่งยากเหลือเกิน…ทั้งที่มันไม่ได้ให้ประโยชน์ชัดเจน แต่กลับขาดไม่ได้ ความรู้สึกหิวโหยยังพอทนไหว บางครั้งเมื่อหิวจนถึงจุดหนึ่ง ร่างกายกลับเบาสบาย แต่ความกระหายน้ำนั้นต่างออกไป เมื่อถึงขีดจำกัด หากยังไม่ได้ดื่มน้ำ สุดท้ายดวงตาก็จะพร่ามัว ร่างกายทรุดลงกับพื้น ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ
เมื่อคิดไปคิดมาเช่นนี้ หากเปรียบความราบเรียบของเถ้าแก่เนี้ยเป็นดั่งน้ำ เช่นนั้นก็ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญที่นางมีต่อเขาไม่ใช่หรือ
“เจ้าบอกให้ข้าหั่นไม่ใช่หรือ”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยขึ้น
เขาถอยไปด้านหลังเล็กน้อย ระยะใกล้เพียงนี้ย่อมทำให้จิตใจว้าวุ่น คิดฟุ้งซ่าน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่นักบุญ และก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ
หลี่จวิ้นชางเองก็ไม่ใช่คนดีเด่ ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะทำตัวเป็นนักบุญหรือเสแสร้งเป็นสุภาพบุรุษ
“เดิมคิดว่าเจ้าช่วยข้าน่าจะเร็วขึ้น…แต่ดูจากท่าทางเมื่อครู่ ข้าทำเองดีกว่า!”
เถ้าแก่เนี้ยปรายตามองหลี่จวิ้นชางพลางเอ่ยขึ้น
นางหยิบส่วนล่างของผักกาดขาวที่ถูกหลี่จวิ้นชางผ่าออกเป็นสองซีกขึ้นมา พลันหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วก็เริ่มตัดรากผักกาดขาวออก ส่วนล่างนี้เต็มไปด้วยก้านใบขาวโพลน อาจเป็นเพราะถูกทิ้งไว้ในเหมืองแร่ที่แห้งแล้งนานเกินไปจนผิวเปลือกเหี่ยวย่นและเริ่มเฉา
เถ้าแก่เนี้ยสั่งให้หลี่จวิ้นชางไปตักน้ำมาใส่ในภาชนะ แล้วแช่หัวมันดินที่ยังหั่นไม่เสร็จไว้ในน้ำ
“มันดินนี่ต้องแช่น้ำด้วยหรือ”
หลี่จวิ้นชางถามพลางยิ้ม
“หากคนเราไม่อาบน้ำจะเป็นอย่างไร”
เถ้าแก่เนี้ยย้อนถาม
“คนไม่อาบน้ำก็คงสกปรกมอมแมม…”
หลี่จวิ้นชางตอบ
“มันดินก็เช่นกัน! แม้จะไม่สกปรกมอมแมม แต่ก็คงจะดำคล้ำแน่นอน!”
เถ้าแก่เนี้ยตอบ
เมื่อหลี่จวิ้นชางได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
คนเราไม่สะอาด เพราะเดินทางและตรากตรำอยู่ข้างนอก แต่มันดินที่ไม่มีทั้งขาและพูดไม่ได้ เหตุใดจึงสกปรกและดำคล้ำขึ้นมาได้? เขาคิดว่านี่เป็นเพียงคำพูดล้อเล่นของเถ้าแก่เนี้ยที่ตั้งใจหยอกเขาเล่นเท่านั้น
เสียงหัวเราะของหลี่จวิ้นชางดังลั่นจนทะลุผ่านโถงด้านหลัง เล็ดลอดเข้าไปในห้องโถงหลักด้านหน้า จากนั้นยังลอยไปตามบันไดขึ้นไปชั้นบน แทรกซึมเข้าไปในทุกห้อง
ผู้ที่ได้ยินเสียงหัวเราะล้วนหยุดชะงัก ตั้งแต่มาที่นี่ก็นับว่าเป็นเวลาไม่น้อยทีเดียว แต่ไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสบายใจ ผ่อนคลาย และไร้พันธนาการเช่นนี้มาก่อน
หลังจากที่ทุกคนได้ยินเสียงหัวเราะนี้ จิตใจของพวกเขาก็พลันปลอดโปร่งขึ้น เพราะพวกเขาต่างสัมผัสได้ว่าผู้ที่หัวเราะนั้นมีความสุขอย่างแท้จริงในขณะนั้น ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเคยผ่านความลำบากมามากเพียงใด หรือในอนาคตต้องเผชิญกับความทุกข์ทนแค่ไหน เสียงหัวเราะนี้กลับสามารถทำลายความลำบากลงได้อย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าเมื่อหัวเราะจบแล้วเขาอาจต้องกลับไปพบกับความเปล่าเปลี่ยว ทนทุกข์ หรือฝ่าฟันความยากลำบากอีกครั้ง แต่ในเวลานี้เขาได้หัวเราะอย่างสุดหัวใจ เคยเบิกบานใจ และเคยมีความสุขอย่างแท้จริง และนั่นเป็นขอบเขตที่หลายคนเฝ้าปรารถนาไปชั่วชีวิตแต่ยากจะสัมผัส
มีหลายคนที่รู้สึกเช่นนี้ โดยเฉพาะเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาที่อยู่บนชั้นสอง
เขาดูเป็นคนสงบเสงี่ยม เยือกเย็นดุจสายน้ำ ไม่ยึดติดสิ่งใด จึงไม่เคยมีความรู้สึกที่พลุ่งพล่านหรือปั่นป่วน
เมื่อคืนวาน
ใช่แล้ว ยังคงเป็นยามราตรี
สำหรับผู้ที่หัวเราะอย่างเบิกบานแล้ว กลางวันและกลางคืนไม่ได้แตกต่างกันมากนัก และยิ่งไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่ากัน แต่สำหรับผู้ที่สงบเงียบแล้ว ยามราตรีมักเป็นช่วงเวลาที่ยากจะผ่านพ้น
เสียงอึกทึกในยามกลางวันจะจางหายไปในยามค่ำคืน
ความเงียบสงัดยามค่ำคืนก็ไม่หลงเหลือถึงรุ่งอรุณ
แม้บางครั้งจะดึกดื่นแล้ว แต่ในโถงหลักด้านล่างยังคงมีเสียงหัวเราะและเสียงโวยวายดังมาอยู่เสมอ ทว่าเพียงแค่รออย่างอดทน ไม่นานเสียงเหล่านั้นก็จะเลือนหายไปเอง
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็อยู่ในการรอคอยนี้จนลืมจุดตะเกียง นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสงบ จนกระทั่งความวุ่นวายในค่ำคืนนั้นมลายหายไป
ราตรีเงียบสงบ คนก็เงียบสงบ
ความเงียบสงบของมนุษย์มีแนวโน้มที่จะอยู่หนือความเงียบสงัดยามราตรี แต่ก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากไร้ความเงียบสงัดของค่ำคืน
ก็เหมือนกับคนที่มีจิตใจสงบเยือกเย็นสามารถสวมเสื้อหนาๆ เดินผ่านตลาดที่แออัดท่ามกลางฤดูร้อนได้โดยไม่หลั่งเหงื่อ แต่เมื่อตกค่ำ แม้จะเป็นฤดูร้อนเช่นกัน ต่อให้สวมเสื้อหนาๆ ตัวนั้นอยู่ก็ยังสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บ
ลมพัดผ่านอยู่ด้านนอก แต่ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่าง ห้องพัก โต๊ะตรงหน้าของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา หรือเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ของเขา แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นของเขาเช่นกัน
จะบอกว่าไม่ใช่ เพราะที่นี่ไม่ใช่วังเจิ้นเป่ยอ๋อง แต่เป็นโรงเตี๊ยม ร้านอาหาร และร้านขายของชำของเถ้าแก่เนี้ย แต่หากจะบอกว่าใช่ โรงเตี๊ยม ร้านอาหาร และร้านขายของชำนี้ก็ตั้งอยู่ในรัฐหงแห่งอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง และเขาคือเจิ้นเป่ยอ๋อง สิ่งเหล่านี้ย่อมถือเป็นของเขาด้วย
สุดท้ายเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา ก็ยังคงจุดตะเกียงในห้องที่ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นของใครกันแน่
ตอนนี้เขากลับมีสิ่งหนึ่งที่เป็นของเขาอย่างแท้จริง
นั่นคือแสงจากตะเกียงที่เขาจุดขึ้น
ในยามค่ำคืน แสงจากตะเกียงกลับอบอุ่นหัวใจยิ่งกว่าแสงอาทิตย์จ้าที่สาดส่องในยามกลางวันเสียอีก เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเปิดหน้าต่างเล็กน้อยให้แสงจากตะเกียงอ่อนๆ สาดส่องผ่านช่องว่างนั้นออกไป
การทำเช่นนี้ไม่ได้มีเจตนาจะเปรียบเทียบหรือท้าทายกับแสงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่ด้านนอกหน้าต่าง ไม่มีใครรู้ว่าเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาทำเช่นนี้ไปเพื่อสิ่งใด เขาไม่เพียงทำเช่นนั้น แต่ยังขยับตะเกียงเข้าใกล้หน้าต่างอีกด้วย
จันทราลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า แสงจันทร์สาดส่อง
ว่ากันว่าแสงจันทร์เหมือนม่านบางๆ ลอยลงมาช้าๆ ห่อหุ้มทุกสรรพสิ่งบนโลกมนุษย์ให้เข้าสู่ความเงียบสงบ คล้ายกำลังบอกเป็นนัยว่า ‘ควรนอนได้แล้ว’
ทว่าการปรากฏของแสงตะเกียงกลับทำลายความเคยชินอันยาวนานนี้
เมื่อเปรียบกับแสงจันทร์ที่อ่อนโยนและบางเบา แสงตะเกียงกลับให้ความรู้สึกหนักแน่นมั่นคง
หากเปรียบกับความนุ่มนวลของแสงจันทร์ แสงตะเกียงกลับเปี่ยมไปด้วยความเร่งรีบ
เมื่อทุกสิ่งบนโลกมนุษย์ถูกแสงจันทร์ปกคลุมจนเข้าสู่ความเงียบงันและค่อยๆ หลับใหล มีเพียงแสงตะเกียงที่ยังคงเคลื่อนไหวอย่างไม่รีบร้อน ทาบลงบนผู้คนและสิ่งของที่มันต้องการปกป้อง
แม้จะดูหนืดเหนียว ไม่สดใสและสะอาดตาเหมือนแสงจันทร์ แต่ในราตรีนี้ ความหนืดนี้กลับกลายเป็นพลังเดียวที่สามารถท้าทายและต่อกรกับแสงจันทร์ได้ และยังกลายเป็นพลังต่อต้านความสงบของคนที่สงบนิ่งเช่นเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาท่ามกลางความเงียบสงัด
แค่ตะเกียงเล็กๆ ดวงหนึ่งก็สามารถทำให้เขาไม่ต้องสวมใส่เสื้อคลุมหนักๆ และไม่ต้องหนาวจนตัวสั่น
เสียงหัวเราะของหลี่จวิ้นชางที่ดังก้องมาก่อนหน้านี้ คล้ายกับแสงตะเกียงเมื่อคืนของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา แต่ต่างกันที่เสียงหัวเราะนั้นลื่นไหลและเป็นอิสระยิ่งกว่า
ในตอนที่ซ่างกวนซวี่เหยายังไม่ได้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋อง เขาก็มักจะหัวเราะเช่นนี้อยู่เสมอ เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่เรียกกันว่า ‘ชนบท’ ซึ่งเป็นคำที่แฝงนัยของความต่ำต้อยอย่างประหลาด เพราะส่วนใหญ่ผู้คนมักจะเรียกสถานที่เช่นนั้นว่าบ้านเกิด แต่การเรียกขานว่าชนบทกลับแฝงความรู้สึกดูแคลน
เมื่อซ่างกวนซวี่เหยาจาก ‘ชนบท’ มา เขาไม่ได้จากไปอย่างยิ่งใหญ่ดั่งที่เคยจินตนาการไว้ มีเพียงสตรีผู้หนึ่งที่ใบหน้าอาบน้ำตาและน้ำมูกที่ไหลเพราะร้องไห้เช็ดใบหน้าเขา ซ่างกวนซวี่เหยาไม่ได้ร้องไห้ ตั้งแต่ต้นจนจบเขาแค่หัวเราะ หัวเราะไม่มีเสียง บ่อยครั้งกลับทรงพลังยิ่งกว่าการหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน
เขายืนหัวเราะอยู่เช่นนั้น ปล่อยให้หยาดน้ำตาและน้ำมูกค่อยๆ แห้งเหือดและแข็งตัวบนใบหน้า
ซ่างกวนซวี่เหยาไม่เคยเข้าใจเลยว่าเหตุใดสตรีผู้นั้นถึงร่ำไห้ และสตรีผู้นั้นก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องการจากไปอย่างแน่วแน่เช่นนั้น
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายปี
เมื่อซ่างกวนซวี่เหยาหัวเราะได้ยากขึ้น เขาจึงตระหนักถึงความหมายของน้ำตาและน้ำมูกของสตรีนางนั้นในยามที่ต้องจากลากัน
ครั้งแรกที่ซ่างกวนซวี่เหยาหัวเราะไม่ออกคือตอนที่เขาถูกกระบี่แทงเข้าที่ท้อง
ส่วนเหตุการณ์ในตอนนั้นเป็นเช่นไร หรือด้วยเหตุใด เขาก็จำไม่ได้แล้ว
ถูกกระบี่แทงก็คือถูกกระบี่แทง เขาเป็นเพียงคนธรรมดา หาใช่เซียนอมตะ
การออกเดินทางตามลำพัง ย่อมมีบาดแผลจากการกระทบกระทั่ง มือเปื้อนเลือดเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ทว่าในครั้งที่เขายังฝึกกระบี่อยู่ที่ ‘ชนบท’ สตรีผู้เคยใช้ทั้งน้ำตาและน้ำมูกเช็ดใบหน้าเขาได้กล่าวไว้ว่า หากกระบี่รวดเร็วพอ แม้แต่ตอนที่ปลายกระบี่แทงทะลุเนื้อหนังก็ไม่อาจเกิดเสียงใดได้ ทว่าซ่างกวนซวี่เหยากลับไม่เห็นด้วย เขาต่อต้านอย่างยิ่ง เพราะตามความรู้สึกของเขา ขอเพียงกระบี่ออกจากฝัก ย่อมมาพร้อมกับเสียงลมหวีดหวิวเสมอ
บางคนกล่าวว่า เสียงนั้นเป็นเสียงไว้อาลัยแก่ชีวิตที่กำลังจะสิ้นไป แต่ซ่างกวนซวี่เหยากลับได้ยินเป็นเสียงแห่งความปรารถนาอันแรงกล้ามากกว่า
เมื่อคมกระบี่ทะลุผ่านเนื้อหนังและโลหิตไหลซึมออกมาจากบาดแผล ก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบงัน
ปลายกระบี่กลับส่งเสียง ‘ฉัวะ’ ในยามที่ทะลุผ่านผิวเนื้อ เสียงนั้นแจ่มชัด จากนั้นตามมาด้วยเสียง ‘แกร๊ง’ แผ่วเบาราวกับกระทบสิ่งใดบางอย่าง เลือดสดๆ เริ่มไหลพรั่งพรูออกมา
เสียงใสนั้นคล้ายเสียงกระดิ่งลมที่แขวนอยู่ตามชายคาในหน้าร้อน เมื่อกระทบกันเบาๆ จะส่งเสียงดังกังวาน
……………………………………………………………………
• เมื่อเหรียญทองหมด สามารถเติมเงินแล้วอ่านต่อได้เลย ไม่สะดุด
• …………….จะเป็นการตั้งค่ารายเรื่อง และปิดโหมด อัตโนมัติเมื่อออกจากหน้าการอ่านนิยายเรื่องนั้น
…………….