ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 483 สายนทีและคีรีย่อมประจบกันใหม่-3
บทที่ 483 สายนทีและคีรีย่อมประจบกันใหม่-3
…………….
“ลมที่นี่ราวกับจะกลืนกินผู้คน…”
จิ้งเหยาพูดขึ้น
“ในทุ่งหญ้าของพวกเจ้าก็ลมแรงไม่ใช่หรือ”
เกาเหรินถาม
“หากในทุ่งหญ้ามีพายุทรายรุนแรงเช่นนี้ แม้แต่ฝูงวัวฝูงแกะยังไม่ย่างกรายเข้าไป! นับประสาอะไรกับคนเล่า…”
จิ้งเหยาตอบ
ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบอยู่นาน จนกระทั่งเกาเหรินไม่ได้กล่าวคำใดอีก
จิ้งเหยาจึงยกแขนขึ้นสะกิดร่างของเขาเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า
“พวกเรามาถึงเหมืองแล้ว เรื่องหลังจากนี้ เจ้าคงต้องเป็นคนตัดสินใจแล้ว!”
“ข้าคิดว่าพวกนางคงยังไม่จากไปในเร็วๆ นี้! พวกเราควรหาที่พักก่อนค่อยว่ากันต่อ จะยืนอยู่ท่ามกลางลมเช่นนี้คงไม่ได้กระมัง”
เกาเหรินตอบ
ความคิดนี้ตรงกับจิ้งเหยา
เขามองไปที่กระโจมข้างๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปที่นั่น
ไม่ว่าแผนต่อไปจะเป็นอย่างไร เมื่อใดจะเริ่มลงมือ สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือหาที่กำบังลมก่อน
…………………………..
ร้านของเถ้าแก่เนี้ย บนชั้นสอง
จิ้นเผิงเพิ่งแกะเมล็ดทานตะวันในมือเสร็จ ขณะเดียวกัน เยว่ตี๋ก็เขียนจดหมายถึงเว่ยฉี่หลินเสร็จพอดี
ตลอดเวลานั้น นางไม่ได้บอกจิ้นเผิงเลยว่าตนเขียนอะไรลงไป
“ว่าอย่างไรบ้าง หญิงสาวที่ลงมาจากรถม้านั่นงดงามหรือไม่”
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นหญิงสาว”
จิ้นเผิงถามด้วยความแปลกใจ
“หากไม่ใช่หญิงสาว เกรงว่าเจ้าคงไม่ชายตามองแม้แต่น้อย”
เยว่ตี๋ตอบ
“งามล่มเมือง!”
จิ้นเผิงหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้มีเวลาพักเสียบ้าง”
เยว่ตี๋กล่าว
“แต่คล้อยหลังพวกนางยังมีบุรุษอีกสิบกว่าคนตามมา…ท่านไม่คิดว่ามันแปลกๆ หรือ”
จิ้นเผิงพูดถึงประเด็นต่อไป
“ความแปลกประหลาดไม่ใช่สิ่งที่จะสัมผัสได้ง่ายๆ หากเจ้ากังวลนักก็ลงไปถามตรงๆ เสียเลยไม่ดีกว่าหรือ เจ้าอวดอ้างนักว่าตนเจ้าสำราญ คงไม่ยากเกินความสามารถที่จะเค้นคำพูดจากสาวน้อยเหล่านั้นใช่หรือไม่”
เยว่ตี๋ยักคิ้วถามด้วยน้ำเสียงเย้าหยอก
จิ้นเผิงมองเยว่ตี๋อย่างมีเลศนัย แต่กลับไม่ตอบคำถามนั้น เขาผลักประตูออกแล้วเดินจากห้องไป
ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเขาก้าวลงบันได
เมื่อจิ้นเผิงเดินลงมาถึงโถงหลัก กลับพบว่าจิ้งเหยาและเกาเหรินยืนอยู่ที่ประตูพอดี
สองฝ่ายสบตากันผ่านโถงกลาง ก่อนจะพยักหน้าให้กันเล็กน้อยเพื่อทักทายกันตามมารยาท
จิ้นเผิงสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา ทำให้จิ้งเหยาและคนอื่นๆ มองไม่เห็นฐานะที่แท้จริงของเขา
ขณะเดียวกัน จิ้งเหยาก็ซ่อนดาบโค้งที่เด่นสะดุดตาของเขาไว้ภายใต้เสื้อผ้าอย่างมิดชิด จนไม่เผยให้เห็นร่องรอยใดๆ
จิ้นเผิงไม่คิดว่าผู้ที่ทำให้อาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องวุ่นวาย และผู้ที่เขารอคอยมาอย่างยาวนานจะยืนอยู่ตรงหน้าเขาเช่นนี้
“ตลอดทางพวกเจ้าคงลำบากไม่น้อย!”
จิ้งเหยารู้ได้ทันทีว่านางกำลังเหน็บแนมเขาอยู่
“ไม่ลำบาก ทุกคนล้วนเหน็ดเหนื่อยเช่นกัน”
จิ้งเหยากล่าว
“อย่างน้อยรถม้าก็ยังมีห้องโดยสาร ย่อมดีกว่าการเดินเท้า”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
จิ้งเหยาหาที่นั่งได้แล้วจึงนั่งลง
เถ้าแก่เนี้ยกำลังยุ่งอยู่ที่ครัวหลังร้าน ส่วนหลี่จวิ้นชางก็ไม่อยู่ จิ้งเหยาจึงทำได้แค่นั่งรอเงียบๆ ไม่มีใครมาต้อนรับ
จิ้นเผิงที่เดิมทีคิดจะนั่งลงตรงข้ามกับเจ้าหมิงหมิงและหาเรื่องพูดคุย แต่เมื่อได้ยินนางเริ่มสนทนากับจิ้งเหยา เขาจึงล้มเลิกความคิดนั้น
นอกจากคนทั้งสามกลุ่มในห้องโถงที่ต่างก็มีเรื่องราวของตนเองแล้ว ยังมีอีกสองคนด้านบนที่นั่งไม่ติด!
“การมาที่เหมืองรัฐหงครั้งนี้ ไม่เสียเที่ยวจริงๆ!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่เอ่ยถาม
“ในบรรดาคนที่นั่งอยู่ข้างล่าง เจ้าพอมองออกหรือไม่ว่าพวกเขาเป็นใครกันบ้าง”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาย้อนถามพลางยกมือชี้ไปที่พื้นเบื้องล่าง
นอกจากจิ้นเผิง ซุนเต๋ออวี่ไม่รู้จักเจ้าหมิงหมิงและจิ้งเหยาเลย จึงทำได้เพียงส่ายหัว
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากลับรับรู้ถึงตัวตนของทุกคนที่อยู่ด้านล่างเป็นอย่างดี ไม่เพียงแต่มองออกว่าเจ้าหมิงหมิงไม่ใช่มนุษย์ เขายังสามารถมองออกว่าจิ้งเหยาเป็นคนจากทุ่งหญ้าอีกด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น เขากลับคำนวณพลาดไปสองคน
หลี่จวิ้นชางและเถ้าแก่เนี้ย
…………………………..
หลังจากที่หลี่จวิ้นชางนำรถม้าของเกาลัดคั่วน้ำตาลไปยังลานหลังร้านแล้ว เขาก็ไม่ได้กลับไปที่ห้องโถงหลักอีก แต่ไปหาเถ้าแก่เนี้ยแทน
“ด้านหน้าดูเหมือนจะมีคนมาอีกแล้ว!”
เถ้าแก่เนี้ยพูด
มือกำลังหั่นมันดิน
ที่นี่นอกจากเนื้อสัตว์แล้ว ก็แทบไม่มีผักสด
นอกจากมันดินก็มีเพียงผักกาดขาวเท่านั้น
“แล้วสิ่งที่ข้าพูดกับเจ้า เจ้าฟังอยู่หรือไม่”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยขึ้น
ก่อนที่เจ้าหมิงหมิงจะเข้ามา เขากำลังสนทนากับเถ้าแก่เนี้ย
แต่ระหว่างที่นางฟังไปก็เผลอหลับไปเสียอย่างนั้น
ทำให้เขารู้สึกจนปัญญา
เมื่อนางตื่นขึ้นมา ก็วุ่นวายกับการต้อนรับแขกที่เข้ามาไม่หยุด!
บางคำพูดต้องรีบพูด ไม่อาจรอช้า ในเมื่อได้เริ่มแล้ว วันนี้ก็ต้องพูดให้จบ
หากเป็นไปได้ หลี่จวิ้นชางอยากจะดื่มสุรากับเถ้าแก่เนี้ยไปทีละจอก พร้อมกับสนทนากันไปทีละประโยค
จนทั้งคู่เหมือนลืมเลือนเป้าหมายของตนเอง และลืมแม้กระทั่งเงื่อนไขของกาลเวลาและสถานที่
สนทนากันราวกับว่ามีเรื่องให้พูดไม่จบสิ้น
“ในเมื่อเจ้าบอกว่าเมื่อก่อนเจ้าไม่เคยคิดถึงผลลัพธ์ และความรู้สึกที่เจ้าพูดถึงก็เป็นเรื่องราวเมื่อหลายปีก่อน เช่นนั้นตอนนี้เจ้ายังชอบข้าอยู่หรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
หลี่จวิ้นชางคิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่เนี้ยจะตรงไปตรงมาเช่นนี้…
เขาเผลอเอามือแตะที่อกเบาๆ
ตรงนั้นมีภาพวาดซ่อนอยู่ และคนในภาพก็คือเถ้าแก่เนี้ย
“ชอบ!”
หลี่จวิ้นชางพูดออกมาในที่สุด
ผู้หญิงทุกคนล้วนแล้วแต่หวังว่าจะมีใครสักคนรักและปรารถนาตน เถ้าแก่เนี้ยก็เช่นกัน
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม คำถามนี้ก็มักจะเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว
แม้ในใจจะมีคำตอบอยู่แล้วก็ตาม
สิ่งที่นางยึดติด ไม่ใช่คำตอบที่ได้รับหรือการยืนยันความคิดในใจ แต่เป็นความรู้สึกที่ได้รับจากการได้ยินคำตอบด้วยปากของอีกฝ่ายโดยตรง
ความรู้สึกนี้สร้างความพึงพอใจไม่น้อย เพราะการมีคนชื่นชมและไล่ตาม ย่อมดีกว่าการมีศัตรูที่หมายเอาชีวิต
ทั้งสองรู้จักกันมานานแล้ว ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเยาว์วัย
บอกว่าเป็นคู่รักตั้งแต่วัยเด็กก็ดูจะเกินจริงไปบ้าง แต่ที่คุ้นเคยและรู้ใจกันนั้นเป็นความจริง
แท้จริงแล้ว คนที่รู้จักและคุ้นเคยกันตั้งแต่เนิ่นๆ มักจะเป็นคนที่ยากจะเดินไปด้วยกันจนถึงที่สุด
ก็เหมือนกับการเดินทางจากอาณาจักรอันตงอ๋องมายังอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง ระหว่างทางมีเมืองมากมาย ถนนยาวเหยียดนับไม่ถ้วน อาจทำให้คนเดินทางเหนื่อยล้าจนบางครั้งต้องเลือกเดินทางลัดหรือหยุดเดินต่อ
เช่นเดียวกับที่เถ้าแก่เนี้ยกล่าวไว้ ทุกคนต่างมีท้องฟ้าในใจที่ตนปรารถนา แต่ท้องฟ้านี้ไม่ได้เป็นท้องฟ้าเดียวกันกับของอีกฝ่ายเสมอไป
หลี่จวิ้นชางกับเถ้าแก่เนี้ยต่างก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับอดีตในบางแง่มุม ทั้งสองไม่ได้เป็นคนที่อยู่กับปัจจุบันอย่างแท้จริง
แม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะยังอยู่ในปัจจุบัน แต่ความคิดและความทรงจำของพวกเขากลับหยุดนิ่งอยู่ที่วันวานในอดีต
อาจเป็นวันที่ตระกูลหลี่ล่มสลาย หรืออาจเป็นวันที่เถ้าแก่เนี้ยรับรู้ว่าไม่มีใครในตระกูลหลี่รอดชีวิต
สิ่งเหล่านี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ นอกจากตัวพวกเขาเอง
“แล้วเจ้าเคยคิดถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากการมาครั้งนี้บ้างหรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยถาม
หลี่จวิ้นชางตอบ
“เจ้าคิดถึงสิ่งใดบ้าง”
เถ้าแก่เนี้ยถามต่อ
“มันมากเกินไปจนข้าจำไม่ได้แล้ว”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“ดูเหมือนเจ้าจงใจจะลืมมัน เจ้าจำความเกลียดชังได้ จำรูปร่างหน้าตาของข้าในอดีตได้ เรื่องราวระหว่างพี่ชายข้ากับเจ้าในวัยเด็ก แม้แต่การล้อเล่นเล็กๆ น้อยๆ เจ้าก็ยังไม่ลืม แต่กลับลืมไปว่าเจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับความรู้สึกนี้ แสดงว่าเจ้าจงใจลืม!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ก็คงจะเป็นเช่นนั้น…ท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้จดจำได้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด”
หลี่จวิ้นชางตอบ
“อันที่จริง เจ้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอย่างไรอยู่ใช่หรือไม่”
หลี่จวิ้นชางถามต่อ
“ข้าเพียงคิดว่าสิ่งที่ข้าทำทั้งหมดนั้นถูกต้องแล้ว ในเมื่อมันถูกต้อง เหตุใดต้องคิดมากกับสิ่งที่ถูกต้องเล่า”
เถ้าแก่เนี้ยตอบ
“แต่เมื่อเจ้าพูดประโยคนี้ เสียงของเจ้าสูงกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด”
หลี่จวิ้นชางบอก
“แล้วอย่างไร”
เถ้าแก่เนี้ยไม่เข้าใจ
“แสดงว่าเจ้ากำลังโกหก”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
นิสัยนี้ของนางมีมาตั้งแต่วันที่เขารู้จักนางครั้งแรก
หากเถ้าแก่เนี้ยเชื่อว่าตนเองบริสุทธิ์ใจ นางจะพูดซ้ำๆ อย่างใจเย็นและสงบ
คล้ายว่ากำลังพยายามทำให้คนอื่นเชื่อด้วยเหตุผล
แต่เมื่อใดที่ในใจนางขาดความมั่นใจ และไม่ต้องการโกหกกลบเกลื่อน นางมักจะยกเสียงให้สูงขึ้นเพื่อรีบยุติหัวข้อนั้นเสีย!
“ข้าเพียงต้องการคำตอบที่ตรงไปตรงมา”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ข้าคิดว่าข้าสามารถให้เจ้าได้”
หลี่จวิ้นชางตอบ
“ต้องใช้เวลานานเพียงใด เจ้าหายไปหลายปี แล้วจู่ๆ กลับมาบอกว่าคิดถึงจนแทบจะล้มป่วย ทั้งกินไม่ได้นอนไม่หลับ เจ้าว่าการกระทำเช่นนี้นับเป็นความจริงใจหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยถาม
“ฟังดูอาจจะไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไร แต่หากสิ่งที่ข้าพูดไร้ช่องโหว่ เช่นนั้นก็คงไม่จริงใจเสียยิ่งกว่าหรือ”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“อาจจะพรุ่งนี้ หรืออาจจะปีหน้า การมีเวลาคิดทบทวนสักระยะคงจะดีกว่า! แต่ในตอนนี้ ข้าต้องการคำตอบ ต้องการคำอธิบาย ต้องการความกระจ่าง และต้องการมันเดี๋ยวนี้!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
คำพูดเช่นนี้ฟังดูเหมือนจะเอาแต่ใจไปบ้าง…
แต่หากเจ้าพยายามใช้เหตุผลกับสตรีที่กำลังโกรธ เช่นนั้นย่อมไม่มีทางได้ผลแน่นอน
การออดอ้อนเอาแต่ใจนั้นเป็นสิทธิพิเศษและอาวุธลับของสตรีมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออายุเท่าใดก็ไม่ต่างกัน นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มออดอ้อนในวัยเยาว์ก็ได้ฝึกฝนทักษะนี้มาตลอด
“ตอนนี้ข้าไม่อาจให้เจ้าได้”
หลี่จวิ้นชางกล่าวอย่างเหนือความคาดหมาย
“เจ้าหมายถึงไม่สามารถให้ตระกูลหลี่หรือตัวเจ้าเอง?”
“ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจข้าและตระกูลหลี่ เพราะข้าคือหลี่จวิ้นชาง”
หลี่จวิ้นชางตอบ
“ตระกูลหลี่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้า ข้ารู้จักแค่เจ้าเท่านั้น หากให้ข้าเลือก ข้าย่อมเลือกเจ้า เจ้าที่ใสซื่อและอิสระ”
เถ้าแก่เนี้ยพูด
หลี่จวิ้นชางคิดไม่ถึงว่านางจะตัดสินใจได้เด็ดขาดถึงเพียงนี้
“ข้าพลาดโอกาสไปครั้งหนึ่งแล้ว แม้จะไม่เอ่ยว่ารู้สึกเสียใจ แต่ข้าก็ไม่สบายใจนัก ดังนั้น ข้าจึงไม่อยากพลาดเป็นครั้งที่สอง”
เถ้าแก่เนี้ยบอก
“ข้าได้ยินว่า ตอนข้ายังเด็ก ทุกปีจะมีคนผู้หนึ่งเดินทางกลับมาที่หัวเมืองรัฐหง เพื่อสืบถามข่าวคราวของข้า”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“คนผู้นั้นต้องเป็นสตรีโฉมงามแน่นอน!”
เถ้าแก่เนี้ยพูด
“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะคงไม่มีใครว่างมากถึงเพียงนั้น มีเพียงหญิงงามเท่านั้นที่มีเวลาว่างมากกว่าคนธรรมดา”
หลี่จวิ้นชางตอบ
“เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่าการมาพบข้าครั้งนี้จะเป็นอย่างไร”
เถ้าแก่เนี้ยถามขึ้นกะทันหัน
“นี่ช่างเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเกินคาด ข้าไม่เคยนึกมาก่อน เพราะข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าจะยังจำข้าได้หรือไม่!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
เถ้าแก่เนี้ยไม่ได้พูดอะไร
แต่มือที่กำลังหั่นมันดินอยู่กลับหยุดชะงักไปชั่วขณะ
“ช่วยข้าหั่นผักกาดขาวข้างๆ ให้เป็นเส้น”
เถ้าแก่เนี้ยสั่งหลี่จวิ้นชาง
แม้หลี่จวิ้นชางจะได้ยินคำสั่งนั้นชัดเจน แต่ไม่ได้ขยับเขยื้อน
ในใจเขา หั่นผักไม่ใช่งานที่บุรุษพึงกระทำ
ให้เขารินน้ำชา ดูแลม้าล้วนได้ทั้งสิ้น
หรือแม้กระทั่งทำหน้าที่เป็นเสี่ยวเอ้อร์ในร้านให้เถ้าแก่เนี้ยก็ยังได้ แต่หั่นผักทำครัวเช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกเสียเกียรติอยู่ไม่น้อย…
“เจ้าช่วยข้าสักหน่อยเถอะ จะได้ทำเสร็จเร็วขึ้น! เราจะได้มีเวลาเหลือมานั่งดื่มและพูดคุยกัน!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลี่จวิ้นชางได้ยินแล้วก็ดีใจขึ้นมาทันที
ความกังวลที่เคยครอบครองจิตใจของเขาก่อนหน้านี้ถูกโยนทิ้งไปจนหมดสิ้น หลี่จวิ้นชางหยิบมีดทำครัวที่แขวนอยู่บนผนังมาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะลงมือหั่นผักกาดขาวตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่ขณะที่เขาหมุนตัว เถ้าแก่เนี้ยก็ยื่นนิ้วสองนิ้วเข้าไปในอกเสื้อของเขาและดึงภาพวาดนั้นออกมา
“ข้าในตอนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนี้แล้ว! หากมีเวลาช่วยวาดให้ข้าใหม่สักภาพเถอะ!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
จากนั้นนางก็โยนภาพวาดที่หลี่จวิ้นชางหวงแหนมานานนับสิบปีเข้าไปในเตาผิง
ไฟลุกพรึ่บและภาพนั้นก็กลายเป็นเถ้าถ่าน
หลี่จวิ้นชางมองภาพนั้นค่อยๆ เลือนหายไป ราวกับช่วงเวลาที่ยากลำบากนับสิบกว่าปีของเขาถูกพัดพาไปด้วยมากกว่าครึ่ง…
………………………………………………………………