ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 482 สายนทีและคีรีย่อมประจบกันใหม่-2
บทที่ 482 สายนทีและคีรีย่อมประจบกันใหม่-2
…………….
“มัวยืนบื้ออยู่ทำไมกัน ยังไม่ไปรินชาอีก?!”
เถ้าแก่เนี้ยหันกลับมาตวาดใส่หลี่จวิ้นชางด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
หลี่จวิ้นชางตกใจเล็กน้อยก่อนจะรีบรับคำ แล้วเดินไปที่โต๊ะคิดเงินเพื่อชงชา
แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความสงสัย…
ชาหนึ่งกา ในร้านเถ้าแก่เนี้ยอย่างน้อยต้องขายยี่สิบถึงสามสิบตำลึงเงิน
เหตุใดวันนี้ถึงได้เต็มใจให้เขาชงชาง่ายดายเช่นนี้
หรือเห็นว่าหญิงสาวสองคนนี้ดูอ่อนแอ จึงอยากจะฟันราคาหนักๆ?
แต่นี่ก็ไม่ใช่นิสัยของเถ้าแก่เนี้ย…
นางรักเงินเป็นชีวิตจิตใจก็จริง
แต่ยังไม่ถึงขั้นไม่เลือกวิธีการเช่นนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างในร้าน ไม่ว่าจะเป็นสุรา ชา อาหาร หรือห้องพัก แม้จะแพง แต่ก็ปิดป้ายราคาไว้ชัดเจน และบอกไว้ล่วงหน้าแล้ว
หากมีเงินก็จ่ายตามราคาที่ตั้งไว้
หากไม่มีเงิน นางก็ไม่บังคับหรือเรียกร้องมากจนเกินควร
“ท่านทั้งสองมาจากที่ใดหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยหยิบตะเกียงจากที่อื่นมาจุดแล้ววางลงบนโต๊ะพร้อมเอ่ยถาม
“มาจากที่ใดสำคัญด้วยหรือ”
เจ้าหมิงหมิงย้อนถาม
ใบหน้าเปื้อนยิ้ม น้ำเสียงแฝงความเป็นมิตร
ทว่าคำตอบนั้นทำให้เถ้าแก่เนี้ยต้องสะดุดไปเล็กน้อย
เถ้าแก่เนี้ยพูดทิ้งท้ายแต่กลับไม่พูดต่อให้จบ
เจ้าหมิงหมิงรู้ดีว่านี่เป็นกลอุบายของเถ้าแก่เนี้ย แสร้งทำเป็นปูทางให้ตนเองติดกับดัก
แตแผนการที่ชัดเจนเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็หลบเลี่ยงไม่ได้
คำพูดที่พูดไม่จบลงนี้ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องอดใจไม่ไหว อยากถามต่อเพื่อหาคำตอบให้ได้
“เถ้าแก่เนี้ยพูดมาเถอะ เวลาเดินทางไปต่างถิ่น ก็ไม่มีกฎเกณฑ์ห้ามมากมายนัก”
เจ้าหมิงหมิงพูด
“เพียงแต่ช่วงนี้ที่นี่ไม่ค่อยสงบ…วุ่นวายพอสมควร เกรงว่าจะทำให้แม่นางหมดสนุก ท่านอุตส่าห์เดินทางมาไกล หากไม่ได้รับความสุขสบาย ข้าก็คงล่วงเกินอย่างใหญ่หลวง ร้านเล็กๆ ของข้าน้อยคงรับผิดชอบไม่ไหว…”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
นี่ไม่ใช่การหลอกลวง หรือมองว่าเจ้าหมิงหมิงเป็นเพียงแกะอ้วนที่รอเชือดแต่อย่างใด
คำเตือนนี้มาจากใจจริง
การค้าขายย่อมเปิดประตูต้อนรับแขกจากทุกสารทิศ
หากไม่อยากทำการค้าต่อ ก็แค่ปิดประตูลงกลอนให้แน่นหนา
แต่ในเมื่อลูกค้าเดินเข้ามาแล้วกลับไม่มีเหตุผลใดที่จะไล่ออกไป
แม้ดูเผินๆ จะเป็นการไล่แขกเพียงไม่กี่คน แต่สิ่งที่ตามติดไปด้วย กลับเป็นโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองของร้านนี้
แม้ว่าเถ้าแก่เนี้ยจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่นางกลับเชื่อในเรื่องโชคลางอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น บางเรื่องก็ไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ได้!
นางไม่รู้ว่าเจ้าหมิงหมิงเป็นใคร
ย่อมไม่อาจบอกออกมาตรงๆ ได้ว่าคนของกรมสอบสวนกลางรวมถึงคนจากรัฐหงและจวนผู้ควบคุมรัฐล้วนอยู่ที่นี่ เพื่อรอตรวจสอบคดีเบี้ยหวัด
ดังนั้นจึงทำได้เพียงพูดเป็นนัยๆ อ้อมๆ กล่าวเตือนสองสามประโยค
ส่วนเจ้าหมิงหมิงจะสามารถเข้าใจได้หรือไม่ และจะเข้าใจมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของนางเอง
“ความวุ่นวายก็ทำให้ที่นี่ดูครึกครื้นดีไม่ใช่หรือ ที่นี่เงียบสงัดไร้ผู้คน หากจะมีสถานที่ที่วุ่นวายบ้างก็นับว่าเป็นเรื่องที่หายากจริงๆ!”
เจ้าหมิงหมิงพูดขึ้น
เถ้าแก่เนี้ยเงียบลง นางรู้ดีว่าแขกทั้งสองคงไม่คิดจะจากไป
แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าใจมากนัก
หากจะไปก็มีวิธีการของมัน หากไม่ไปก็มีหนทางให้เจรจา
พ่อค้าแม่ขายที่ใดจะปฏิเสธเงินทองกันเล่า?
ในขณะนั้นเอง หลี่จวิ้นชางก็ชงน้ำชาเสร็จและยกมาตรงหน้า
แต่ดูก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่คนที่ถนัดงานประเภทนี้ เขาถือมาเพียงกาน้ำชา แต่กลับไม่มีถ้วยชา
จะให้ดื่มน้ำชาร้อนๆ จากกาด้วยมือเปล่าก็คงไม่ได้กระมัง
“เถ้าแก่เนี้ย เสี่ยวเอ้อร์ของท่านช่างน่าสนใจจริงๆ!”
เจ้าหมิงหมิงมองหลี่จวิ้นชางพลางเอ่ยขึ้น
ทำเอาเขาต้องก้มหน้าด้วยความกระดาก
“ร้านเล็กๆ เช่นนี้จะมีเสี่ยวเอ้อร์ที่ไหนกัน! เขาเป็นสหายของข้า เขาไม่มีการมีงานจึงมาเยี่ยมเยียนถามไถ่ ข้าจึงถือโอกาสใช้งานเขาแบบไม่ต้องจ่ายค่าจ้างเท่านั้นเอง”
เถ้าแก่เนี้ยป้องปากหัวเราะเบาๆ พลางกล่าว
“อยู่ในที่ห่างไกลเช่นนี้ แต่ยังมีสหายแวะเวียนมาเยี่ยมเยียน แสดงว่าเถ้าแก่เนี้ยคงเป็นที่รักของผู้คนอยู่ไม่น้อย!”
เจ้าหมิงหมิงพูดต่อ
นางรินน้ำชา ก่อนจะเป่าไล่ความร้อน จากนั้นค่อยๆ วางถ้วยชาลงในมือแม่นางน้อยข้างกายอย่างระมัดระวัง
แม่นางน้อยถือถ้วยน้ำชาไว้ ท่าทีเหม่อลอย ไม่รู้จะดื่มอย่างไร
เจ้าหมิงหมิงเห็นว่าแม่นางน้อยจ้องมองตน นางจึงรีบรินชาให้ตัวเอง แล้วทำท่าดื่มให้ดูเป็นตัวอย่าง
“นี่คือน้องสาวของข้า…เมื่อไม่นานมานี้นางป่วยหนัก จนบัดนี้ก็ยังมีอาการสะลึมสะลือ ไม่ค่อยมีสติ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายราวกับเป็นเรื่องทั่วไป
นางเองก็คิดไม่ถึงว่าวันนี้ตนจะสามารถแต่งเรื่องได้เป็นธรรมชาติเช่นนี้!
คงเป็นเพราะโอกาสและสถานการณ์ที่เหมาะเจาะ
พอทุกอย่างลงตัว เรื่องราวก็ลื่นไหลไปเองโดยไม่จำเป็นต้องคิดมากหรือประดิดประดอยให้ซับซ้อน
“ไม่เป็นไรๆ…แต่ไม่รู้ว่าจำเป็นต้องเตรียมอะไรพิเศษหรือไม่ หากต้องต้มยา ที่นี่ก็คงไม่มีหม้อต้มยา”
เถ้าแก่เนี้ยพูดขึ้น
“ยาที่ต้องกินก็กินไปหมดแล้ว หมอให้พักฟื้นและให้ร่างกายฟื้นตัวเอง ข้าจึงพานางออกมาเดินเล่น เพื่อผ่อนคลายใจ!”
เจ้าหมิงหมิงตอบ
นางไม่คิดเลยว่าการพูดโกหกเพียงประโยคเดียวจะไหลลื่นขึ้นเรื่อยๆ ได้เช่นนี้!
ตอนนี้ไม่เพียงแต่อธิบายได้ว่าเหตุใดแม่นางน้อยน้อยถึงทำตัวผิดปกติ แต่ยังอธิบายเหตุผลว่าเหตุใดนางจึงมาปรากฏตัวในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้
“เป็นเช่นนี้นี่เอง…ข้าก็ว่าเหตุใดแม่นางทั้งสองจึงนั่งรถม้ามาที่นี่ แต่ที่นี่ไม่ใช่สถานที่เที่ยวชมความงามของธรรมชาติ เกรงว่าคงจะทำให้สองท่านผิดหวัง”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ย
“ได้ยินมาว่าใกล้ๆ นี้มีเหมืองแร่หรือ”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
ใจของเถ้าแก่เนี้ยพลันกระตุก
พลางคิดในใจว่าสองคนนี้ก็มุ่งหน้ามายังเหมืองแร่ด้วยเช่นกัน ไม่รู้ว่ามาจากอำนาจฝ่ายใด
คนเราไม่ควรฉลาดเกินไปนัก…
พอฉลาดเกินไปแล้วก็มักจะคิดเล็กคิดน้อยขึ้นมา
เจ้าหมิงหมิงไม่รู้เรื่องราวใดๆ นางเพียงแค่อยากมาเหมืองแร่เพื่อเปิดหูเปิดตา แต่คำถามธรรมดาในสถานการณ์เช่นนี้ กลับทำให้เถ้าแก่เนี้ยต้องตื่นตัวเป็นพิเศษ
“ไม่ไกลจากที่นี่นัก…ไม่ทราบว่าแม่นางถามถึงเหมืองแร่ด้วยเหตุใดหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยถามหยั่งเชิง
“ข้ามาที่นี่เพราะอยากเห็นเหมืองแร่ ไม่เช่นนั้นจะยอมทนพายุทรายเหล่านี้ไปทำไมกันเล่า”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ฮ่าๆ…หากพูดถึงพายุทรายแล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นที่ใดมีพายุทรายแรงกว่าที่นี่! หากแม่นางต้องการความแปลกใหม่ ที่นี่ก็ถือว่าหายากทีเดียว!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวตอบ
“ไม่ทราบว่าที่นี่มีโรงเตี๊ยมหรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงไม่ได้รับคำของเถ้าแก่เนี้ย แต่กลับถามในสิ่งที่ตนเองสนใจต่อ
“แม่นาง ที่นี่มีเพียงร้านข้าร้านเดียวที่ทำการค้าขาย…ในแต่ละวันแค่ขายของใช้ อาหารเล็กๆ น้อยๆ กับสุราอีกไม่กี่ชามให้เหล่าคนงานเหมือง หากพูดถึงโรงเตี๊ยม ชั้นสองพอมีห้องอยู่บ้าง แต่ทั้งแคบทั้งสกปรก…”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวด้วยความลำบากใจ
จนถึงตอนนี้ นางยังไม่ละความพยายามที่จะโน้มน้าวให้เจ้าหมิงหมิงออกจากที่นี่
เพียงแต่วิธีการของนางนั้นแยบยลนัก
เถ้าแก่เนี้ยไม่ได้เอ่ยปากไล่แขกออกไปตรงๆ แต่คำพูดที่หลุดออกมานั้นล้วนแฝงความหมายให้เจ้าหมิงหมิงรู้สึกท้อใจทีละน้อย
นางคิดว่าหญิงสาวเช่นนี้ พอได้ยินคำว่า ‘แคบและสกปรก’ คงต้องขมวดคิ้วและล้มเลิกความคิดที่จะอยู่ต่อ
ตนลงทุนเพียงน้ำชากาเดียวก็เลี่ยงปัญหาใหญ่ได้ เหตุใดจะไม่ยินดีเล่า?
แต่เจ้าหมิงหมิงกลับบอกว่านางไม่ใส่ใจ อยู่ข้างนอกไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันให้มากความ
“คุณหนู ประตูด้านหลังลงกลอนไว้ รถม้าไม่สามารถเข้าไปได้เจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลตะโกนมาจากทางประตู
เถ้าแก่เนี้ยถึงได้รู้เอาป่านนี้ว่ายังมีอีกคน
ปกติร้านของนางมักมีแต่ชายฉกรรจ์กลิ่นเหม็นเปรี้ยวคอยวนเวียนไปมา
ครั้นเมื่อเยว่ตี๋มาถึง นางก็เคยประมือกับอีกฝ่ายไปครั้งหนึ่งแล้ว
บัดนี้มีเพิ่มมาอีกสามคน
หน้าตาดูอ่อนเยาว์กว่าเยว่ตี๋และตนเสียอีก ไม่รู้ว่าจะนำปัญหาใหม่อะไรมาอีก
เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจเบาๆ…
เหมืองแร่รกร้างแห้งแล้งแห่งนี้ ตลอดทั้งปีไม่มีแม้แต่หญ้าสักต้น แต่เหตุใดฤดูใบไม้ผลิปีนี้จึงเต็มไปด้วยสาวงามราวกับดอกท้อบานสะพรั่ง?
แม้จะได้ยินเกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวเช่นนั้น เถ้าแก่เนี้ยยังคงรักษาความสุภาพ พลางส่งสัญญาณให้หลี่จวิ้นชางด้วยสายตา
มือดาบ ‘คืบศอกขอบฟ้า’ ผู้นี้ได้กลายเป็นเสี่ยวเอ้อร์อีกครั้ง เขาหยิบกุญแจจากโต๊ะคิดเงินและเดินไปรับบังเหียนรถม้าจากมือเกาลัดคั่วน้ำตาล ก่อนจะนำรถม้าไปจอดหลังร้าน
“ดูท่าแม่นางไม่เพียงแค่มาแวะพัก แต่คงจะค้างแรมด้วยกระมัง!”
เถ้าแก่เนี้ยพูดขึ้น
เจ้าหมิงหมิงพยักหน้า
“จะทานอะไรหรือไม่ ที่นี่ไม่มีของดีเลิศนัก แต่เพราะทางไกลม้าอ่อนแรง ราคาอาหารก็จะแพงกว่าข้างนอกอยู่ไม่น้อย”
เถ้าแก่เนี้ยถูมือแล้วกล่าว
“อาหารที่รสไม่จัดก็พอ ข้าเดินทางมานานจนรู้สึกอ่อนเพลีย อาหารที่หนักท้องคงทานไม่ลง!”
เจ้าหมิงหมิงตอบ
เถ้าแก่เนี้ยตอบรับ แล้วเดินไปยังห้องครัวด้านหลังเพื่อเตรียมอาหาร
ก่อนจากไปยังเติมน้ำร้อนลงในกาให้เจ้าหมิงหมิงอีกด้วย
“คุณหนู ร้านนี้ช่างทรุดโทรมจริงๆ เจ้าค่ะ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวขณะมองสำรวจรอบๆ
“เจ้าคิดว่าเหตุใดสองยอดฝีมือดาบถึงเลือกมาเปิดร้านซอมซ่อเช่นนี้เล่า”
เจ้าหมิงหมิงย้อนถาม
เกาลัดคั่วน้ำตาลขมวดคิ้วมองคุณหนู นางไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น
เจ้าหมิงหมิงก็ไม่ได้ตั้งใจจะอธิบาย เพียงแต่จัดชายกระโปรงของตนให้เข้าที่ เผยให้เห็นด้ามกระบี่ที่ติดตัวมา หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน นางจะได้ชักกระบี่ออกมาได้โดยง่าย
นางมองปราดเดียวก็รู้ว่าเถ้าแก่เนี้ยผู้นี้ไม่ใช่เจ้าของร้านธรรมดา
ในทะเลทรายโกบีที่แห้งแล้งเช่นนี้ เถ้าแก่เนี้ยที่แต่งตัวหรูหราฉูดฉาดเช่นนี้ ช่างดูไม่เข้ากับสถานที่เอาเสียเลย
ไหนจะกำไลหยกบนข้อมือของนางตอนที่เติมน้ำให้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลี่จวิ้นชาง ‘คืบศอกขอบฟ้า’ ที่ห้อยอยู่ข้างเอวนั้นชัดเจนเกินไป
แม้จะดูทึ่มทื่อเหม่อลอยเฉกเช่นแม่นางน้อย
แต่เจ้าหมิงหมิงรู้ดีว่าคนเช่นนี้ หากจำต้องลงมือ ย่อมไร้ความปรานีอย่างแน่นอน
“ตึกๆๆ…”
เสียงฝีเท้าก้าวเดินบนพื้นไม้จากชั้นบนดังขึ้น
ทำให้เจ้าหมิงหมิงรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นขึ้นมากะทันหัน
ทว่าเพียงครู่เดียว นางก็นึกขึ้นได้ว่าที่นี่คงไม่ใช่สถานที่ธรรมดาเช่นที่เถ้าแก่เนี้ยได้กล่าวไว้
แม้ในใจของนางจะปั่นป่วนไม่สงบ แต่ยังคงดื่มชาอย่างเงียบเชียบ
เกาลัดคั่วน้ำตาลยกถ้วยชาขึ้นดื่มเช่นกัน
เดินทางมาเนิ่นนานเพียงนี้ คอของนางแห้งผากจนแทบจะติดไฟ
ทว่าพอดื่มชาไปได้เพียงครึ่งถ้วย นางกลับหัวเราะ ‘พรูด’ ขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนชาในถ้วยกระฉอกออกมาเต็มใบหน้า
“นึกถึงเรื่องใดถึงได้ดูเบิกบานใจเช่นนี้”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“คุณหนูเจ้าคะ พวกเขายังคงตามหลังเรามา…แต่ที่นี่กลับไม่มีแม้แต่ที่กำบังลมสักแห่ง! ข้าอดขำไม่ได้เมื่อคิดถึงภาพที่พวกเขาถูกลมพัดจนลืมตาไม่ขึ้น พออ้าปากก็เต็มไปด้วยเม็ดทรายเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดขึ้น
เจ้าหมิงหมิงฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
เดินทางมาถึงที่นี่แล้ว จิ้งเหยาและพรรคพวกคงไม่ราบรื่นนัก นับว่าลำบากไม่น้อย…
ทว่าที่เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดก็ไม่ผิด!
จิ้งเหยาและพรรคพวกกำลังยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนทะเลทรายโกบี หันหลังให้กับพายุทราย ไร้ที่พึ่งพิงและไร้จุดหมาย
ไม่ว่าจะพยายามหลบไปทางใด พายุทรายกลับเปลี่ยนทิศทางพัดมาปะทะใบหน้าอยู่เสมอ
เกาเหรินถึงกับถอดเสื้อคลุมออกมาพันศีรษะ ปิดบังทั้งตาและจมูกจนไม่เหลือช่องว่างให้ทรายพัดเข้า
ด้วยรูปร่างที่เล็กจึงหลบอยู่หลังจิ้งเหยาที่ตัวสูงใหญ่กว่า ก้มศีรษะชิดเอวของจิ้งเหยาเพื่อหลบซ่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้จิ้งเหยาจะรู้สึกอึดอัด แต่เกาเหรินก็เกาะหนึบอยู่ราวกับแผ่นแปะที่ไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเผชิญลมพายุเพียงลำพัง
จิ้งเหยาไม่มีทางเลือก จำต้องละทิ้งความพยายามและนั่งลงกับพื้นเสีย
………………………………………………………………
…………….