ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 468 ราศีจอมยุทธ์ห้ามใช้พร่ำเพรื่อ-1
บทที่ 468 ราศีจอมยุทธ์ห้ามใช้พร่ำเพรื่อ-1
……….
เกาเหรินเห็นว่าจิ้งเหยาไม่สนใจตนก็ไม่ได้รู้สึกขัดเขินแต่อย่างใด
อาจเพราะในความคิดของเขาแล้ว ความหมายของคำว่าขัดเขินนี้ไม่เคยมีอยู่
สิ่งที่มีอยู่ ก็เพียงถูกและผิดเท่านั้น
ในเมื่อเขาพูดถูกแล้ว ต่อให้ไม่ถูกกาละเทศะอีกสักเท่าใด เขาก็จะไม่รู้สึกขัดเขิน
หากว่าพูดผิดแล้ว
มนุษย์หาใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะทำผิดไม่ได้เชียวหรือ
ทว่าเมื่อจิ้งเหยาเห็นว่ารถม้าของเจ้าหมิงหมิงออกเดินทางแล้ว เขากลับยังคงไม่เคลื่อนไหว เรื่องนี้ทำให้เกาเหรินไม่ค่อยเข้าใจนัก
“พวกเราไม่ต้องตามไปหรอกหรือ”
เกาเหรินถาม
“ก็แล้วเป็นผู้ใดพูดว่าไม่อยากตามก้นพวกแม่นางนั่นเล่า”
จิ้งเหยาเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะช้อนเปลือกตาขึ้นมา
สีหน้าแสนผ่อนคลายที่มีอยู่แต่เดิมของเกาเหรินกลับจางลงหลายส่วน…
คราวนี้เขากลับรู้สึกว่าขัดเขินยิ่งนัก
เพราะคำที่พูดออกไปก็คือน้ำที่สาดออกไปแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรก็เก็บกลับมาไม่ได้
เวลานี้จิ้งเหยาใช้คำพูดที่เกาเหรินเคยพูดไปก่อนหน้านี้ย้อนกลับมาเล่นงานเขา ให้เขาไม่มีหนทางโต้กลับแม้แต่น้อย…
ทว่าในเมื่อจิ้งเหยาก็ยังไม่ร้อนใจ เกาเหรินก็ไม่จำเป็นต้องร้อนใจด้วยเช่นกัน
จึงนั่งลงและเอนไปพิงข้างหลัง
ตัวเขาสั้นกว่าจิ้งเหยาไม่น้อย
ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปแล้ว
พื้นดินในฤดูกาลนี้ร่วนและอ่อนนุ่ม
หญ้ายังไม่งอกออกมาจนหมด แต่อยู่รวมกันเป็นผืนหนาๆ
ใบไม้กระจัดกระจาย ยามทาบอยู่ตรงท้ายทอยของเกาเหรินกลับทิ่มแทงจนรู้สึกคันเล็กน้อย ไม่ได้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความสบายแต่อย่างใด…
เเต่เขาก็ยังคงนั่งอยู่เช่นนั้น
นั่งลงเสีย อย่างไรก็ไม่เปลืองแรงเท่ากับยืน
หากไม่ใช่เพราะพื้นที่ตรงนี้มีไม่พอ อีกทั้งบนพื้นก็ค่อนข้างชื้น เขาก็คงนอนแผ่ลงไปแล้ว
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าชายและหญิงที่เข้าไปในภายหลังนั้นคือผู้ใด”
เกาเหรินถาม
ท้ายที่สุดเขาก็ทนความรู้สึกคันตรงท้ายทอยไม่ไหว จึงเอาสองมือรองคอ นอนหนุนบนฝ่ามือเพื่อกันความรู้สึกไม่สบายนี้เอาไว้
“ไม่รู้”
จิ้งเหยากล่าว
ดูจากวัยแล้ว บัณฑิตจางและอิ๋นซิงสูงวัยกว่าจิ้งเหยาไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นคนในอาณาจักรห้าอ๋อง
จิ้งเหยาจะรู้จักได้อย่างไร
เกาเหรินหัวเราะเหอะๆ แต่กลับไม่ได้เอ่ยต่อ
เรื่องนี้กลับทำให้จิ้งเหยาค่อนข้างประหลาดใจ
เกาเหรินชอบถามเองตอบเองมาโดยตลอด
หลังจากเขาโยนคำถามออกมา ไม่ว่าผู้อื่นจะตอบหรือไม่ เขาก็จะยังคงพูดต่อไป
อยู่ด้วยกันมานานเพียงนี้ ยังไม่เคยเห็นเขามีท่าทีประหลาดเช่นนี้มาก่อน
จิ้งเหยาคิดในใจว่าเจ้านี่เปลี่ยนนิสัยตั้งแต่เมื่อใดกัน
ถึงข่มใจไม่พูดได้
แต่เมื่อคิดดูอีกครั้งก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
จะได้ลดคนที่คอยพร่ำบ่นโอ้อวดตนอยู่ข้างๆ หูไปได้
หากเกาเหรินเป็นเช่นนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ จิ้งเหยากลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องผ่อนคลายสบายใจเรื่องหนึ่งเสียอีก
“ออกเดินทางกันเถิด”
จิ้งเหยาลุกขึ้นเอ่ย
พลางปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า
แม้ไม่ได้เปรอะเปื้อนคราบสกปรกอันใด แต่ยามนั่งอยู่ข้างนอกและลุกขึ้นมา ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องปัดสักสองสามครั้งทั้งนั้น
ความเคยชินประเภทนี้ กลับไม่ได้มีความหมายแท้จริงอันใด
แต่หากไม่ทำก็มักรู้สึกว่าขาดบางสิ่งไป ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ทำเป็นประจำ
หลังจิ้งเหยาลุกขึ้นก็มีเสียงปัดดังขึ้นต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ
ล้วนมาจากตัวผู้ติดตามของจิ้งเหยาทั้งสิ้น
มีเพียงเกาเหรินที่ไม่มี
หลังจากดีดตัวขึ้นมาแล้ว เขาก็เอามือไพล่หลังเดินอาดๆ ไปตรงหน้าสุด
จะว่าไปก็บังเอิญนัก
จิ้งเหยาเห็นว่าบนกางเกงของเกาเหรินมีรอยกลมๆ อยู่สองรอย
ซึ่งเป็นรอยที่เปื้อนมาตอนเขานั่งอยู่บนพื้นดินเมื่อครู่นี้นั่นเอง
นอกจากเขาแล้ว ผู้ติดตามของตนทุกคนล้วนสะอาดหมดจด
จิ้งเหยากลั้นหัวเราะเอาไว้ และเขาก็ไม่เข้าไปเตือนด้วย
รู้สึกแต่ว่าข้างบนหัวสามฉื่อมีเทพไท้ สวรรค์มีตาแท้ๆ!
คนที่มักโอ้อวดตนจะต้องถูกกฎเกณฑ์นี้ตามทันและเอาคืนสักแห่งที่เขามองไม่เห็น
“คุณหนู ไอ้เจ้าพวกหางสุนัขตามมาอีกแล้วเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ย
ด้วยความโมโหจึงหวดแส้เป็นวงให้สะบัดอยู่กลางอากาศจนเกิดเสียงดัง ระคายหูยิ่งนัก
ม้าข้างหน้ารถม้ารีบขยับเท้าทั้งสี่ให้วิ่งเร็วขึ้นทันใด
เส้นทางในตอนนี้นับว่าค่อนข้างราบเรียบ
หากเป็นถนนเล็กๆ ในป่าในดงก็จะมีหลุมใหญ่ต่อด้วยหลุมเล็กเหมือนหน้าขนมงาที่แตกออกไม่มีผิด
หากยังคงวิ่งต่อไปด้วยความเร็วระดับนี้ แม้แต่ตัวเจ้าหมิงหมิงก็ยังทนไม่ไหว…
แต่ผ่านไปไม่นาน ความเร็วของม้าก็กลับค่อยๆ ลดลงอีกครั้ง
มันหายใจหนักๆ
ฟองสีขาวคอยผุดออกมาที่มุมปาก
“คุณหนู…เหมือนว่ามันจะหิวแล้วเจ้าค่ะ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลหันหลังไปพูด
เจ้าหมิงหมิงยิ้มเจื่อน
อย่าว่าแต่ม้าเลย เวลานี้แม้แต่ท้องของนางก็ยังหิวโหยยากทนไหว
ก่อนหน้านี้ เพราะคิดแต่ว่าที่นั่นไม่น่าไว้วางใจ ไม่อาจพักอยู่นานและอยากออกมาให้เร็วๆ เท่านั้น
แต่พอรถม้าออกมาจากตัวเมืองแล้ว
ทางข้างหลังห้ามกลับไปเด็ดขาด
ส่วนทางข้างหน้าก็เป็นป่าเขาต้นไม้ใบหญ้าที่หมื่นปีไม่เคยเปลี่ยน แล้วจะหาอาหารได้จากที่ใด
“ก่อนหน้านี้เจ้าถามแค่เส้นทางออกจากเมือง เหตุใดจึงลืมถามว่าเมืองต่อไปห่างจากที่นี่อีกไกลเท่าใด”
เจ้าหมิงหมิงถาม
เกาลัดคั่วน้ำตาลก้มหน้าไม่พูด
สถานการณ์ในตอนนั้น ไหนเลยจะยอมให้นางเสียเวลาได้อีก
นางก็เหมือนกับคุณหนูของนางที่คิดแต่จะรีบไปเท่านั้น
แต่มาตอนนี้กลายเป็นว่ากลับไม่ได้ไปไม่ถึง
“เดินทางต่อไปเถิด…หากพบบ้านเรือนคนก็ให้เงินเขาเล็กน้อย ให้เจ้าของเรือนจัดหาอาหารให้เราสักหน่อยก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวทั้งถอนหายใจ
ความรู้สึกง่วงที่ไม่เคยมีมาก่อนคอยถาโถมใส่สติและร่างกายของนาง
เจ้าหมิงหมิงไม่รู้ว่าควรจัดการกับอาการเช่นนี้อย่างไร
เพราะเวลานี้ไม่ใช่เวลานอน
พอหลับไปคราวก่อนก็พบกับแม่นางน้อยแสนลึกลับที่อยู่ข้างกายผู้นี้
หากคราวนี้หลับไปอีกก็ยังไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องประหลาดแสนพิลึกใดขึ้นอีก
ด้วยเหตุนี้เจ้าหมิงหมิงจึงทำได้เพียงนั่งพิงกับตัวรถ หลับตาลงพักผ่อนสายตา
พอเกาลัดคั่วน้ำตาลหันไปเห็นจึงนึกว่าคุณหนูนอนหลับไปอีกแล้ว
จึงรีบบังคับม้าให้เดินช้าลงอีกหน่อย
ด้วยกลัวว่าความสั่นสะเทือนจากพื้นถนนจะทำให้คุณหนูหัวกระแทกโดยไม่ทันระวัง
เมื่อทำเช่นนี้นางก็รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
ทันใดนั้นเห็นว่าทางด้านขวามีต้นผลไม้อยู่ต้นหนึ่ง
ข้างบนนั้นมีลูกสีแดงทั้งเล็กทั้งใหญ่ มีผลอยู่ไม่น้อยทีเดียว
เกาลัดคั่วน้ำตาลประหลาดใจนัก เพราะในฤดูกาลนี้ดอกไม้ยังร่วงโรยไม่หมด แล้วต้นไม้จะมีผลได้อย่างไร
แต่ยังไม่ทันให้นางใคร่ครวญอย่างละเอียด ท้องกลับเริ่มร้องจ๊อกๆ ขึ้นมา
ฟังดูแล้วดังก้องยิ่งกว่าไก่ตัวผู้ขันบอกเวลาในตอนเช้าเสียอีก
พยายามต่อสู้กับความหิวโหยภายในท้องอย่างเต็มกำลัง
แม้นางจะหลับตาลงแล้ว แต่ก็ยังคงมองเห็นผลไม้ลูกแดงๆ เหล่านั้นอยู่
ภาพที่ยั่วยวนใจคนเช่นนี้ ไม่ยอมให้นางปล่อยวางลง
ยังคงวนเวียนในหัวสมองของเกาลัดคั่วน้ำตาลอยู่
ในที่สุดนางก็อดทนต่อไปไม่ไหว
เงื้อมมือขึ้นหวดแส้
เงารางๆ ของแส้ขยับไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว
เมื่อสะบัดดึงกลับมา ผลไม้ลูกแดงๆ ลูกหนึ่งก็มาอยู่ในมือของเกาลัดคั่วน้ำตาลแล้ว
นางขยับจมูกเข้าไปใกล้ๆ เพื่อสูดกลิ่นดูก่อน
ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมสดชื่นยิ่งนัก
คาดว่าต้องอร่อยเป็นแน่
นางไม่เอาไปล้างหรือปอกเปลือก
เพียงจับมันถูกับเสื้อของตน แล้วกัดลงไปคำโต
“ถุย…”
นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันกินผลไม้นี้ ความเปรี้ยวเฝื่อนก็ถูกส่งผ่านมาจากไรฟันและทำให้เกาลัดคั่วน้ำตาลต้องคายออกมาในทันใด
“ฮ่าๆๆ!”
มีเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจดังมาจากในตัวรถ
“คุณหนู ท่านไม่ได้หลับ?”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถามด้วยความประหลาดใจ
ยังมีน้ำของผลไม้นั้นติดอยู่บนริมฝีปาก
เจ้าหมิงหมิงส่ายหน้าแต่ก็ยังหยุดหัวเราะไม่ได้
นางยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้เกาลัดคั่วน้ำตาลเป็นการบอกให้นางรีบเช็ดน้ำผลไม้ที่ริมผีปากให้สะอาดเสีย
“เจ้าก็ไม่ใช้สมองดูเสียบ้าง!”
หลังจากหัวเราะจนพอแล้ว เจ้าหมิงหมิงจึงเอ่ยปากพูด
“ขะ…ข้าหิวแล้ว…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดอย่างเขินอายนัก
“ยังไม่ต้องบอกว่าผลไม้นี้อร่อยหรือไม่ ต้นไม้ที่มีผลในฤดูใบไม้ผลิ เจ้าไม่รู้สึกว่าประหลาดหรือไร”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“เมื่อครู่ข้าก็รู้สึกว่าค่อนข้างประหลาดเช่นกันเจ้าค่ะ…แต่เมื่อเห็นลูกสีแดงๆ พวกนั้นแล้วช่างยั่วยวนใจคนนัก…ข้าจึงอดไม่ได้”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“ยังดีที่พวกเราเป็นอสูรไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ ต้องรู้ด้วยว่าของในแดนมนุษย์นี้ใช่ว่าจะกินได้ทุกสิ่งไป”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
แม้จะเป็นตอนก่อนกลายร่าง เกาลัดคั่วน้ำตาลก็เป็นพวกที่ชอบกินเนื้อทุกชนิด
แล้วนางจะเข้าใจได้อย่างไรว่าผลไม้ใดบ้างที่กินไม่ได้เล่า…
เคราะห์ดีที่ผลไม้นี้ไม่มีพิษ หาไม่แล้วแม้เป็นร่างอสูรของเกาลัดคั่วน้ำตาลก็จะต้องลำบากขึ้นมาเช่นกัน
อย่างน้อยๆ คงหนีไม่พ้นอาเจียนและถ่ายท้องสักหน
“อีกประการ เจ้าดูสิต้นไม้เหล่านี้เกิดอยู่ข้างทาง แต่ยังคงมีลูกอยู่เต็มต้น นี่แสดงว่าผลไม้นี้ต้องไม่อร่อยแน่ๆ ไม่เช่นนั้นก็คงถูกคนกินไปจนหมดแล้วไม่ใช่หรือ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เกาลัดคั่วน้ำตาลพยักหน้า
เมื่อมาคิดดูในตอนนี้ก็เป็นตามเหตุผลที่ว่าจริงๆ
แต่เวลานั้นไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึง
ว่ากันให้ถ่องแท้แล้ว นางไม่อาจพิจารณาเหตุผลและมีปัญญาได้เท่ากับคุณหนู
“นิสัยซุ่มซ่ามของเจ้านี้ เมื่อใดจะเปลี่ยนได้เสียที”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ข้าก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นนี่เจ้าคะ ท่านก็รู้จักข้า…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดเสียงอ่อน
“เฮ้อ…ก็เพราะว่าข้ารู้จักเจ้า เจ้าจึงเอาแต่พึ่งพาอยู่เช่นนี้กระมัง”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“ที่ข้าทำนี้ไม่ใช่ซุ่มซ่าม แต่ทำตัวตามสบาย! ไม่ยึดติดกฎเกณฑ์ต่างหาก! ท่านดูเหล่าจอมยุทธ์ในแดนมนุษย์สิเจ้าคะ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้นหรอกหรือ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดเฉไฉ
“เจ้าหมายความว่าจอมยุทธ์เหล่านั้นเมื่อเห็นของใดก็กินทั้งหมด เห็นน้ำอยู่ในคลองก็ดื่มหรือ หากว่าเป็นเช่นนั้น ข้าว่ายังไม่ทันรอให้พวกเขาได้ออกไปผดุงคุณธรรมก็คงจะตายไปก่อนแล้ว…”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“คุณหนูเจ้าคะ ข้าจำได้ว่าครั้งอยู่บนเขาเรียงรันท่านก็ชอบฟังเรื่องเล่าของจอมยุทธ์เป็นที่สุด”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
เจ้าหมิงหมิงหัวเราะเบาๆ
นางไม่เพียงชอบฟังเรื่องของจอมยุทธ์เท่านั้นแต่ยังคลั่งไคล้ในการเล่นเป็นจอมยุทธ์อีกด้วย
ครั้งนั้นเพิ่งกลายร่าง เมื่อได้ฟังเรื่องของเหล่าจอมยุทธ์ก็ทำให้จิตใจเจ้าหมิงหมิงเตลิดไปไกล
แต่เรื่องเล่าอย่างไรก็คือเรื่องเล่า ไหนเลยจะเป็นจริงเป็นจังเท่ากับเมื่อตนเองได้กลายเป็นจอมยุทธ์เสียเอง
ในเมื่อคุณหนูอยากเป็นจอมยุทธ์ เช่นนั้นเกาลัดคั่วน้ำตาลก็ได้แต่ต้องเสียสละตนเองเป็นคนชั่ว
ไม่ผิด ในเรื่องเล่าของจอมยุทธ์ คนดีคนร้ายมักแบ่งแยกกันชัดเจนยิ่ง
คนร้ายย่อมต้องฉุดสตรีกลางถนน ทำร้ายคนชราคนอ่อนแอ
จากนั้นก็สั่งอาหารในเหลาสุรามาเต็มโต๊ะและหานางโลมสองสามคนมาร่วมดื่มสุรา
หลังจากกินอิ่มดื่มจนพอแล้วก็เอามือเช็ดปากและไม่จ่ายเงิน
หากได้พบกับเสี่ยวเอ้อร์ไม่รู้ความที่เข้ามาขอเก็บเงิน ย่อมต้องถูกชกไปหลายหมัดอย่างเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายทำเอาจนจมูกช้ำหน้าบวม น้ำมูกน้ำตาเต็มหน้า…
ในเวลานั้นเอง จึงถึงเวลาที่จอมยุทธ์ออกโรง
เขาหันหลังให้แสงอาทิตย์ ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเหลาสุราอย่างองอาจ กล่าววาจาแสนสง่างาม
และคนชั่วผู้นั้นย่อมไม่ยอมศิโรราบให้
………………………………………