ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 467 มีรอยร้าวยิ่งต้องประวิงเวลา-3
บทที่ 467 มีรอยร้าวยิ่งต้องประวิงเวลา-3
……….
นี่เป็นพัดสีขาวเล่มหนึ่ง
บนพัดนั้นว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น
หลังจากโขกหัวติดต่อกันเก้าสิบเก้าครั้ง แม้จะอยู่ในฤดูหนาวแต่บัณฑิตจางก็ยังรู้สึกว่าทั้งตัวรุ่มร้อนยากทนไหว
พอดีว่าในมือมีพัดอยู่เล่มหนึ่งจึงคลี่ออกพัดโบกลม
เคราะห์ดีที่เวลานี้เป็นยามดึกดื่นคนสงัดจึงไม่มีใครมองเห็น
หาไม่แล้วมาโบกพัดอยู่ข้างนอกในฤดูหนาวแสนเหน็บหนาวก็เลี่ยงจะถูกคนบอกว่าเป็นบ้าได้ยาก
เดิมทีเหนือศีรษะมีเมฆบดบังดวงเดือน
ในช่วงฤดูหนาว เดิมทีก็ครึ้มมากฟ้าใสน้อยอยู่แล้ว
คิดไม่ถึงว่าบัณฑิตจางโบกพัดไปมา ก้อนเมฆที่เคยหนาทึบอยู่บนท้องฟ้ากลับค่อยๆ แยกตัวออกกลายเป็นช่องช่องหนึ่ง
แสงเดือนสาดเอียงลงมา เริ่มสาดลงมาที่พัดในมือเขาก่อน
พัดที่โบกขึ้นลงกลับสว่างจ้าขึ้นมาทันใด ระหว่างที่พัดเคลื่อนไหว ทำให้มีแสงสว่างเรืองรอง
บัณฑิตจางต้องแสบตากับแสงสว่างจ้าตานี้
แต่แล้วจู่ๆ ก็มองเห็นว่าหน้าและหลังพัดต่างมีภาพอยู่หนึ่งภาพ
ด้านหน้าเป็นภาพขนนกสามก้าน
สองก้านวางไขว้อยู่ด้วยกัน และยังมีอีกก้านลอยในแนวขวางอยู่ข้างบน เนิ่นนานไม่อาจร่วงลง
อีกด้านหนึ่งเป็นรูปม้วนหนังสือที่แผ่ออกเล่มหนึ่ง ด้านซ้ายเขียนไว้ว่า ‘บ้านเมือง’ ด้านขวาเขียนว่า ‘ใต้หล้า’
มีเพียงยามมองอยู่ใต้แสงจันทร์จึงสามารถมองเห็นภาพนี้ได้ชัดเจน บัณฑิตจางยืนนิ่งไม่ก้าวต่อไป เริ่มไตร่ตรองขึ้นมาอย่างถี่ถ้วน
ว่ากันตามหลักแล้ว ตามนิสัยของท่านอาไม่ว่าอย่างไรก็ควรต้องเขียนคำว่า ‘ขงจื๊อว่าไว้’ หรือ ‘บทประพันธ์กล่าวว่า’ จึงจะถูก หรือต่อให้ไม่ใช่ก็ต้องเป็นถ้อยคำที่บอกให้ตั้งใจเรียน
จำพวก ‘หัวดำไม่รู้จักเร่งพากเพียรเขียนอ่าน หัวขาวต้องเสียใจสายเกินร่ำเรียน’ หรือไม่ก็ ‘ไม่สั่งสมฝีเท้า ไม่อาจถึงพันลี้ ไม่สั่งสมสายธาร ไม่อาจเป็นแม่น้ำแลทะเล’ ทำนองนั้น
ขนนกสามก้านกับม้วนหนังสือหนึ่งเล่มนี้มีความหมายว่าอย่างไรกัน
ไม่นานนัก ภายในหัวของบัณฑิตจางก็มีประกายแสงฉายวาบขึ้นมา
ขนนก (อวี่) และม้วนหนังสือ (ซู)
อวี่ซู
ก็เป็นนามของเขาพอดิบพอดีไม่ใช่หรือ
ทันใดนั้น บัณฑิตจางจึงเงยหน้าขึ้นมองจันทร์ น้ำตาหลั่งท่วมหน้า…
เมื่อเดินมาถึงมุมเลี้ยวตรงหน้าประตู ก็เห็นว่ามีร่างคนผู้หนึ่งอยู่ตรงที่ที่ตนยืนอยู่ยามกลางวัน
ซึ่งก็คือชายชรารับจ้างเขียนจดหมายนั่นเอง
ชายชรายื่นแท่นฝนหมึกอันหนึ่งให้บัณฑิตจาง
เป็นแท่นฝนหมึกที่เขาโยนทิ้งไปอันนั้นนั่นเอง
วันนั้นท่านอาถือไม้เรียวและแท่นฝนหมึกไล่ตามหลังเขาไป
หลังจากหมดสติและล้มลง สองมือกลับว่างเปล่า
ทั้งไม้เรียวและแท่นฝนหมึกล้วนไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด
นึกไม่ถึงว่ากลับถูกชายชรารับจ้างเขียนจดหมายเก็บได้
ชายชราส่งแท่นฝนหมึกคืนให้เขา จากนั้นก็หันหลังให้ ก่อนค่อยๆ เดินออกไปทีละก้าว
บนตัวเขายังคงเป็นชุดผ้านวมขาดๆ ที่หมื่นปีไม่เคยเปลี่ยนชุดนั้น
แต่เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว เขากลับหลังหันและเดินกลับมา
ขณะเดิน มือข้างหนึ่งก็ยังคงควานหาบางสิ่งในกระเป๋าเสื้อไม่ยอมหยุด
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ มือขวาก็หยิบผงออกมาหนึ่งหยิบมือ และวางลงบนแท่นฝนหมึกของบัณฑิตจาง
จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ ให้เขา เมื่อนั้นเองเขาจึงปลดเปลื้องเรื่องในใจและสามารถจากไปได้เสียที
จึงเอื้อมนิ้วชี้ออกไปราวกับถูกภูตผีสิงร่าง ก่อนออกแรงกดแต้มผงเล็กน้อยติดมือขึ้นมาแล้วเอาใส่ปาก
รสหวานเริ่มจากปลายลิ้นแล้วพุ่งตรงเข้าสู่สมอง
แม้แต่แสงจันทร์ก็ยังเหนียวข้นขึ้นมาในทันใด
นี่ก็คือคราวหน้าที่ชายชราผู้นั้นบอกเมื่อครั้งก่อน
………………………..
เวลานี้ บัณฑิตจางมองรอยสีขาวบนด้ามพัดของตน
กลับนึกถึงแสงจันทร์ ใบพัดและน้ำตาลทรายขาวในค่ำคืนนั้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
พัดซึ่งเป็นมรดกของอาจารย์ชำรุดเสียหายมานานนักแล้ว
แต่แท่นฝนหมึกนั้นยังอยู่
เพียงแต่เขาไม่เคยนำออกมาใช้
รอยที่เขาใช้นิ้วกดลงไปบนน้ำตาลทรายขาวหยิบมือนั้นถูกบัณฑิตจางใช้พลังวิชาผนึกเอาไว้บนแท่นฝนหมึกอย่างถาวร
เมื่อหลายสิบปีก่อน ในคืนวันแต่งงานของผู้ตัดสัมพันธ์ บัณฑิตจางมอบมันเป็นของกำนัลแต่งงาน
ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่ผู้ตัดสัมพันธ์ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์จึงได้มอบแท่นฝนหมึกราคาถูกทั้งรูปร่างเก่าแก่นี้ให้แก่ตนอย่างไม่มีเหตุผล
และบัณฑิตจางก็ไม่เคยบอกเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังแท่นฝนหมึกนี้ให้เขารู้
ทว่าแท่นฝนหมึกนั้นเดิมทีก็ไม่มีฝาครอบ
ก่อนที่บัณฑิตจางจะมอบให้เขา จึงได้ทำฝาครอบให้ด้วยมือตนเอง
ฝาครอบทั้งสองด้านใช้เส้นด้ายที่เย็บทับกันอย่างประณีตและมั่นคง เชื่อมไว้กับตัวแท่นฝนหมึก
เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ฝาครอบและแท่นฝนหมึกจะไม่พรากจากกันตลอดไป
ซึ่งนามเดิมของผู้ตัดสัมพันธ์คือ เสิ่นหลี (พรากจาก)
ไม่รู้เหมือนกันว่าท้ายที่สุดแล้วเขาเข้าใจเจตนาของบัณฑิตจางหรือไม่
“นั่นแสดงว่าพัดเล่มนี้ของท่านควรเปลี่ยนได้แล้ว”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
บัณฑิตจางยิ้ม
เมื่อคำพูดนี้กล่าวออกมาเขาก็รู้ว่าผู้ตัดสัมพันธ์ต้องไม่เข้าใจถึงเจตนาที่เขาทุ่มเทลงไปกับแท่นฝนหมึกนั้นเป็นแน่
แต่สิ่งที่ต้องพึ่งพาอาศัยในเวลานี้ก็คือวาสนา
เมื่อวาสนามาถึง หมื่นเรื่องคลี่คลายเอง
วาสนามาไม่ถึง ร้อยเรื่องไม่ราบรื่น
เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจฝืนอยู่แล้ว
บัณฑิตจางในครานั้นก็เป็นเช่นนี้
นั่นเป็นเพียงพัดธรรมดาเล่มหนึ่ง และบัณฑิตจางก็เป็นเพียงเด็กธรรมดาคนหนึ่ง
เด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้พัดธรรมดาเล่มหนึ่ง ย่อมไม่อาจพัดเอามวลเมฆดำเหนือศีรษะออกไปได้
หากไม่ใช่เพราะบังเอิญมีแสงจันทร์เล็กน้อยส่องลงมา บางทีชั่วชีวิตนี้ของบัณฑิตจางก็จะไม่มีวันได้รู้เห็นภาพที่อยู่บนพัดเล่มนั้น
“ที่เจ้าพูดมาอาจถูกต้อง”
บัณฑิตจางมองพัดกระดูกขาวของตนพลางเอ่ย
“พัดของท่านมีรอยร้าวแล้ว หรือว่ายังจะประวิงเวลากับข้าต่อไป”
ผู้ตัดสัมพันธ์ถาม
“เมื่อมีรอยร้าว ยิ่งต้องประวิงเวลาต่อให้มาก”
บัณฑิตจางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผู้ตัดสัมพันธ์ขมวดคิ้ว
เขารู้ดีว่าตนเองหาใช่คู่ปรับของบัณฑิตจาง แต่ก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าที่บัณฑิตจางยังคงเสียเวลากับตนเองต่อไปเช่นนี้มีจะมีความหมายใด
การเอาแต่ยื้อๆ ยุดๆ ต่อไปเช่นนี้ต่างกับวิถีปฏิบัติของอาจารย์ในความทรงจำเขาโดยสิ้นเชิง
“คนที่ไม่ดื่มสุราย่อมไม่มีวันรู้ว่าตนเองสามารถดื่มได้กี่มากน้อย เช่นเดียวกัน คนที่มีรอยร้าวหากไม่ประวิงเวลาต่อ ย่อมไม่รู้ว่ารอยร้าวของตนนั้นมีมากเท่าใด”
บัณฑิตจางกล่าว
เมื่อสิ้นคำนี้ เกาลัดคั่วน้ำตาลก็พาแม่นางน้อยผู้นั้นลงมาจากชั้นบนพอดี
ก่อนนี้นางทำตามคำสั่งของคุณหนูอย่างเคร่งครัด จึงอยู่แต่ภายในห้องส่วนตัวไม่เคลื่อนไหวใดๆ
เวลานี้ได้ยินว่าเสียงเอะอะที่ชั้นล่างและข้างนอกถนนสงบลงแล้ว ผู้คนที่เดินไปมาก็กลับมาเป็นปกติแล้ว จึงคิดว่าจะลงมาดูเหตุการณ์ข้างล่างสักหน่อย
นอกจากความอยากรู้อยากเห็นเรื่องครึกครื้นแล้ว ที่มากกว่านั้นคือความกังวลต่อความปลอดภัยของคุณหนู
“เป็นเจ้าอีกแล้ว! เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่คอยติดตามคุณหนูของข้าเป็นวิญญาณไม่ไปผุดไปเกิดเสียที!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเห็นผู้ตัดสัมพันธ์ก็โมโหขึ้นมาในทันใด…
พลันทิ้งแม่นางน้อยโดยไม่ไยดี แล้วปรี่ไปเข้าไปพูดทั้งชี้หน้าผู้ตัดสัมพันธ์
นิ้วมือน้อยๆ นวลเนียนเอาแต่สั่นไปมาอยู่ตรงหน้าผู้ตัดสัมพันธ์ จนผู้ตัดสัมพันธ์ถึงกับตาลายขึ้นมา
ได้แต่เบือนหน้าหนีเพื่อเคลื่อนสายตาออกไปที่อื่น
“มานี่ นั่งลงเสีย!”
เจ้าหมิงหมิงบอกเกาลัดคั่วน้ำตาล
เกาลัดคั่วน้ำตาลถลึงตาใส่ผู้ตัดสัมพันธ์หนหนึ่ง ยามนี้จึงเพิ่งมองเห็นบัณฑิตจางและอิ๋นซิงที่อยู่ข้างๆ พลันมีอาการขัดเขินขึ้นมาในทันใด….
บัณฑิตจางยิ้มให้เกาลัดคั่วน้ำตาล เขากลับรู้สึกชื่นชมแม่นางตัวน้อยที่มีนิสัยร้ายกาจผู้นี้
แต่เมื่อเขามองเห็นแม่นางน้อยที่ยืนเหม่ออยู่กับที่ รอยยิ้มกลับแข็งทื่อไปในทันใด
เจ้าหมิงหมิงเห็นความหวาดกลัวไม่น้อยในสายตาของเขา
“ท่านรู้จักนางหรือ”
เจ้าหมิงหมิงสอบถามหยั่งเชิงดู
“เหตุใดพวกเจ้าจึงได้อยู่ด้วยกัน”
บัณฑิตจางย้อนถาม
น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
เจ้าหมิงหมิงคิดสักพัก จึงบอกเล่าความเป็นมาทั้งหมดของแม่นางน้อยผู้นี้โดยละเอียดให้บัณฑิตจางฟัง
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างแม่นางน้อยกับพวกของจิ้งเหยาก่อนหน้านั้น นางไม่รู้เรื่องจึงไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดจากที่ใดเช่นกัน
เมื่อบัณฑิตจางฟังจบแล้วก็หันไปสบตากับอิ๋นซิงครั้งหนึ่ง
ทั้งสองคนล้วนมีความกังวลอยู่เต็มสีหน้า
“พวกเจ้าจะพานางไปที่ใด”
บัณฑิตจางถาม
“พวกเราจะไปดูเหมืองแร่รัฐหงในอาณาจักรของเจิ้นเป่ยอ๋องเจ้าค่ะ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“เหมืองแร่? เหตุใดต้องไปที่นั่น”
บัณฑิตจางถามอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่เคยเห็นมาก่อน จึงอยากไปดูสักคราวเจ้าค่ะ”
เจ้าหมิงหมิงตอบกลับอย่างผ่อนคลายเป็นที่สุด
บัณฑิตจางนิ่งอึ้ง…
ทว่าเมื่อคิดว่าทั้งเจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลต่างก็ไม่รู้ฐานะของแม่นางน้อยผู้นี้จึงเข้าใจขึ้นมาในทันใด
“แล้วหลังจากไปที่เหมืองแร่แล้วเล่า คิดวางแผนใดไว้หรือไม่”
บัณฑิตจางถามต่อ
“ทำไมหรือเจ้าคะ ท่านจะตามคุณหนูของข้าไปเช่นนั้นหรือ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดไปโดยไม่เกรงใจแต่อย่างใด
เพราะตลอดทางมานี้ ข้างหลังพวกนางมีหางติดตามมามากมาย…
ซึ่งทำให้นางรำคาญใจมานานแล้ว
เวลานี้ตาเฒ่านี่ก็เอาแต่ซักไซ้ไม่ยอมหยุด จะให้เกาลัดคั่วน้ำตาลปั้นหน้าดีๆ ใส่เขาได้อย่างไร
“เวลานี้ยังไม่รู้ อาจเดินทางต่อไปจนถึงตัวเมืองหลวงกระมังเจ้าคะ”
เจ้าหมิงหมิงคิดสักพักจึงพูด
เมืองหลวงในอาณาจักรฉิงจงอ๋อง
ที่นั่นเป็นจุดศูนย์กลางของใต้หล้า
หากยังไม่ได้ไปเมืองหลวงแล้วจะกล้าบอกว่าตนเองเคยมาแดนมนุษย์ได้อย่างไร
เจ้าหมิงหมิงไม่รู้ว่าภายหลังจะเกิดสิ่งใดขึ้น ทั้งไม่รู้ว่าเรื่องราวเหล่านี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจของนางอย่างไร
แต่เมืองหลวงเป็นที่ที่ต้องไป ไม่ไปไม่ได้
ในเมื่อบัณฑิตจางถาม เจ้าหมิงหมิงจึงไม่กล้าพูดส่งเดชกลบเกลื่อน
ได้แต่บอกสถานที่ที่นางมั่นใจว่าจะไปกับเขาเสีย
“ดี…ไปเมืองหลวงดีนัก!”
บัณฑิตจางเอาแต่พยักหน้าและพูดคำว่าดีถึงสองครั้ง”
“ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อเมืองหลวงเป็นศูนย์กลางของใต้หล้า จะต้องมีหมอฝีมือดียิ่งที่สามารถตรวจได้ว่านางมีปัญหาใดกันแน่”
เจ้าหมิงหมิงพูดต่อ
บัณฑิตจางได้แต่ยิ้มไม่พูด
ความลับบนตัวของแม่นางน้อยผู้นี้ ต่อให้เป็นตาเฒ่าเยี่ยหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงทั่วใต้หล้ามาด้วยตนเองก็ยังต้องจนปัญญากับเรื่องนี้….
แต่บัณฑิตจางก็ไม่ได้พูดความจริงออกไป
หลายเรื่องที่ไม่ได้บอก ไม่ได้เป็นการปิดบังหรือหลอกลวง
แต่ทำเพื่อปกป้อง
ยิ่งรู้น้อยเท่าใดก็ยิ่งปลอดภัย
นิ้วมือของบัณฑิตจางที่เคลื่อนไปมาบนพัดหยุดลงแล้ว
เสียงดัง ‘พึ่บ’ หนหนึ่ง พัดกระดูกขาวก็ถูกคลี่ออกทั้งหมด
จากนั้นพัดเบาๆ ไปทางผู้ตัดสัมพันธ์อย่างรวดเร็ว
ผู้ตัดสัมพันธ์เห็นว่าลมจากพัดพุ่งเข้าใส่ ในขณะที่กำลังคิดจะหวดดาบต้านเอาไว้ แต่กลับแข็งนิ่งไปทั่วร่างไม่อาจขยับได้
ทำได้เพียงยืนมองตาปริบๆ ให้ลมพัดเข้าหาตัว เป็นความเย็นวูบหนึ่งโชยเข้าหา จากนั้นเขาก็หงายหลังไปทั้งตัว ไม่รู้เดือนรู้ตะวันอีก
“พวกเจ้าไปเสียเถิด”
บัณฑิตจางหันหลังให้ขณะเอ่ยกับเจ้าหมิงหมิง
“เขา…ไม่เป็นอันใดกระมังเจ้าคะ”
บัณฑิตจางคิดไม่ถึงว่าเจ้าหมิงหมิงกลับยังเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้ตัดสัมพันธ์ด้วย
ในใจเขามองอสูรผู้สูงศักดิ์ผู้นี้สูงขึ้นอีกหลายส่วน
“เขาไม่เป็นอันใด ข้าแค่ไม่อยากให้เขาก่อเรื่องต่อไปอีก”
บัณฑิตจางกล่าว
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”
เจ้าหมิงหมิงคำนับบัณฑิตจางกับอิ๋นซิง แล้วกวักมือเรียกให้เกาลัดคั่วน้ำตาลให้พยุงแม่นางน้อยเดินออกไปจากประตูหอราชสีห์
“หอราชสีห์แห่งนี้ มาเสียเที่ยวจริงๆ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเบะปากพูด หลังจากกลับขึ้นไปบนรถม้าอีกครั้ง
“อย่างไรหรือ เหตุใดจึงพูดเช่นนี้”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“เจ้าจางเสี่ยวหยางนั่นสั่งของอร่อยมาเป็นกอง แต่พวกเราไม่ได้กินสักคำยังไม่ว่า ยังได้มาเจอกันเจ้าคนตามตื้อน่าขยะแขยงนั่นเข้าให้อีก!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
รถม้าก็แล่นออกมาไกลเป็นระยะทางหนึ่งแล้ว แต่นางกลับยังไม่ลืมแสดงบารมีข่มขู่ด้วยการพุ่งหมัดไปทางหอราชสีห์ที่อยู่ข้างหลัง
“ไว้พวกเราไปถึงเมืองหลวงแล้ว อยากจะกินสิ่งใดล้วนมีทั้งสิ้น! จำเป็นต้องโมโหโกรธาเพียงนี้ไปทำไมกัน”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยทั้งยิ้มบางๆ
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของคุณหนู เกาลัดคั่วน้ำตาลจึงค่อยๆ สงบอารมณ์ลงได้
หลังจากหาคนที่เดินผ่านมาเพื่อสอบถามทิศทางได้ชัดเจนแล้ว จึงตั้งอกตั้งใจบังคับรถม้าให้แล่นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ทั้งนางและเจ้าหมิงหมิงล้วนไม่มีใครพบเห็นว่าชายเสื้อของนางทั้งสองมีด้ายสีทองแสนบางเบาเส้นหนึ่งร้อยติดอยู่
ล่องลอยบางเบา ราวปุยเมฆอ่อน ทอดยาวไปตามทางที่พวกนางเดินทางไป
………………………..
บนเนินเขาข้างนอกเมือง
จิ้งเหยาเห็นว่าเจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลพาแม่นางน้อยขึ้นรถออกเดินทางอีกครั้งก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน
“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าจะไม่เป็นอันใด”
เกาเหรินเอ่ยอย่างร่าเริงอยู่ข้างๆ
จิ้งเหยาแค่นเสียงหนหนึ่ง ไม่ได้ใยดีเขา
เขาไม่จำเป็นต้องใช้ตามองก็รู้ว่าบนใบหน้าของเกาเหรินในเวลานี้กำลังมีสีหน้าเช่นใด
หากไม่ใช่ว่าเวลานี้คนทั้งสองยังนับว่าเป็นผู้ร่วมขบวนการ เขาก็จะต้องใช้ดาบโค้งที่เหน็บไว้ตรงบั้นเอวเฉือนจมูกของเกาเหรินลงมาให้จงได้
………………………………………
……….