ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 45 เก้าหยวนส่องเวหา-2
บทที่ 45 เก้าหยวนส่องเวหา-2
เวลานี้ ในเมืองหลวง
หากจะกล่าวถึงอาณาเขต ฉิงจงอ๋องมีพื้นที่เล็กที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เมืองหลวงแห่งนี้ กลับเอาชนะภูเขาและแม่น้ำที่ทอดยาว
‘ความงามในใต้หล้ามีสามส่วน เมืองหลวงยึดไปแล้วสองส่วน’
แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล แสงอาทิตย์และแสงจันทร์ส่องสว่างเคียงคู่กันเป็นอมตะนานนับพันปี เมืองหลวงสูงตระหง่าน ทอดยาวนับพันลี้ รวมขึ้นเป็นชาติ
หลังจากผู้เฒ่ากระบี่ดารานำความสงบมาสู่บ้านเมือง ถึงแม้จะรวมแผ่นดินตั้งราชวงศ์ กลับต้องจำใจยอมเหน็ดเหนื่อยทำแทนผู้อื่น เหมือนใบไม้ร่วงเมื่อต้องลมประจิม
จากนั้น วีรบุรุษรวมตัว แต่ประชาชนไม่อาจอยู่เป็นสุขได้ เกิดมหันตภัยขึ้นรอบด้าน
ใครจะคิดคิดว่าหลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องผู้ฉลาดหลักแหลมและเก่งอุบาย ได้กลายเป็นหนึ่งในอ๋องห้าพระองค์แรกที่นำความสงบมาสู่บ้านเมือง
ความสงบของเมืองหลวงในตอนนี้ เหนือใต้ไม่สู้รบกัน มีแต่ความสงบ จันทร์ส่องสว่างไม่สิ้นแสง
นอกเมืองหลวง ไม่มีใครต้องเฝ้าระวังภัยแต่อย่างใด
ประตูเมืองทั้งสิบหกบานตั้งอยู่รอบเมือง แต่กลับเปิดไว้ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
นี่คืออำนาจของเมืองหลวง เนื่องจากในใต้หล้านี้เกรงว่าไม่มีผู้ใดหรืออำนาจใดกล้าคุกคามเมืองหลวง
นอกเมืองหลวงทั้งทิศเหนือ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ทั้งสามมุมเมือง แบ่งเป็นสามกองทัพ
นี่คือการพึ่งพาที่ใหญ่สุดของฉิงจงอ๋องหนึ่งในห้าอ๋องในใต้หล้า ถือเป็นอาวุธชิ้นใหญ่สุดของเมืองหลวง…ทัพสามเกียรติคือ ทัพทะยานเกียรติ ทัพทลายเกียรติ และทัพสิ้นเกียรติ
ยามเกิดสงครามและความวุ่นวาย ชื่อทัพสามเกียรติจะสะเทือนไปทั่วปฐพี
เป็นกองทัพมังกรขดเสือหมอบ ทหารสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้
การจัดผังเมืองและโครงสร้างของเมืองหลวงล้วนยึดตามแกนสมมาตร ทั่วทั้งเมืองยึดตามเส้นแกนกลางทิศเหนือใต้ของฉิงจงอ๋อง ทิศตะวันตกและตะวันออกทั้งสองข้างสมมาตรกัน ส่วนถนนกับตลาดจัดจำนวนและพื้นที่เรียงแถวเป็นระเบียบ
ถนนสายตะวันตกและตะวันออกตัดกับถนนสายเหนือใต้ ทั้งหมดตัดสลับกันเป็นรูปตาราง เป็นการจัดแบ่งและวางผังเมืองรอบนอกจวนเจ้าเมืองทั้งหมดได้อย่างดี
แต่ละเขตจะถูกเรียกว่าผู่
นอกเมืองหลวงมีถนนเก้าพันเก้าร้อยแปดสิบเอ็ดสาย มีผู่ทั้งหมดสามร้อยยี่สิบสี่ผู่
จุดเริ่มต้นและจุดท้ายสุดของถนนทุกสายจะสร้างศาลาหนึ่งหลัง พร้อมทหารหัวเมืองประจำการสิบนาย พวกเขาขึ้นตรงกับจวนเจ้าเมืองของเมืองหลวง
แต่ละผู่จะสร้างค่ายทหารหนึ่งจุด มีทหารประจำการหนึ่งร้อยเอ็ดนาย และยังมีหอสูงสำหรับส่งสาร
หากเกิดเหตุร้าย ให้ตีฆ้องตอนกลางวัน ไฟไหม้ตอนกลางคืน หากผู่นี้เกิดเหตุทุกผู่ที่อยู่โดยรอบจะเชื่อมโยงกันทันที และจะยึดตามระดับความร้ายแรงของเหตุการณ์ ผู่แต่ละแห่งโดยรอบจะแบ่งทหารหัวเมืองเข้าไปสิบนาย ยี่สิบห้านาย มากสุดคือสามสิบห้านายเข้ามาช่วยเหลือ
จวนเจ้าเมืองของเมืองหลวงจะดูแลทุกเรื่องไม่ว่าน้อยใหญ่ภายในเมืองหลวง (นอกเมือง) เป็นหลัก และทหารหัวเมืองเป็นกำลังทหารที่คอยเฝ้าและปกป้องเมืองหลวง ขณะเดียวกันยังมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยมีเจ้าเมืองของเมืองหลวงเป็นผู้นำด้วยตนเอง
นอกจากนี้ เนื่องจากวังของฉิงจงอ๋องอยู่เมืองชั้นในของเมืองหลวง ดังนั้นทหารหัวเมืองจึงถูกเรียกว่าองครักษ์ของฉิงจงอ๋อง ซึ่งเป็นด่านป้องกันสุดท้ายของการปกป้องตนเอง
ทหารหัวเมืองตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมา ยังไม่เคยเข้าร่วมการสู้รบเลยสักครั้ง
ที่ผ่านมามีแต่เงียบกริบ กระทั่งไม่เคยเดินออกไปจากเมืองหลวงสักก้าว
กรมสอบสวนของเมืองหลวง ตั้งอยู่ทิศตะวันตกนอกเมืองพอดี มีโครงสร้างเป็นรูปสามเหลี่ยมเชื่อมกับโรงเตี๊ยมพูนโชคและจวนเจ้าเมืองพอดี เป็นสถานที่ที่ใหญ่ที่สุดสามแห่งนอกเมือง
นอกจากนี้ เมืองหลวงยังมีตลาดใหญ่สี่แห่งแยกเป็นทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้และทิศเหนือ
ตลาดทุกแห่งแบ่งหน้าที่กันชัดเจน ห้ามปะปนกันเด็ดขาด
ตลาดตะวันออกค้าขายข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าจะเป็นข้าวเม็ดสวยของอาณาจักรผิงหนานอ๋อง หรืออาหารทะเลของอาณาจักรอันตงอ๋อง ไม่ว่าของกินอะไรล้วนมีทุกอย่าง
ตลาดตะวันตกค้าขายสิ่งของงานมงคลและงานศพ
งานแต่งงานศพ พ่อสื่อแม่สื่อ ผ้าห่มคู่รัก เทียนหงส์คู่มังกร โลงศพไม้หนานมู่ กระดาษเงินกระดาษทอง ทุกอย่างล้วนเป็นสินค้าชั้นดี
ตลาดใต้ไม่ขายสินค้า แต่ขายร่างกายและขายศิลป์
อาชีพของคนชั้นต่ำ ล้วนรวมตัวอยู่ที่นี่ คึกคักไม่ขาดสายตั้งแต่เช้าจรดเย็น
มีทั้งร้องเพลงแสดงงิ้ว และช่างหัวโล้นนั่งดื่มเหล้าริมถนน และยังมีหมอดูคอยเรียกถามเพื่อดูดวง และยิ่งขาดไม่ได้คือเสียงหัวเราะออดอ้อนของหญิงสาวในหอนางโลมคอยเรียกลูกค้า
การชนไก่ ให้สุนัขกัดกัน การเล่นนกพิราบ เล่นแมลง คนอ้วนพ่นน้ำพ่นไฟ คนเตี้ยกลืนดาบ ไม่มีอะไรแปลกใหม่เท่าตลาดใต้แล้ว
ตลาดเหนือถูกเรียกว่าตลาดเบ็ดเตล็ด ขอเพียงหาของไม่เจอจากทั้งสามตลาด มาที่นี่แล้วจะเจอแน่นอน
นอกจากการซื้อขายปกติทั่วไปแล้ว คนที่มาเก็บตกสินค้าจากตลาดเหนือนั้นมีอยู่ไม่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นหมึกจีนหรือพู่กันที่นักปราชญ์เคยใช้มาก่อน เคล็ดลับการฝึกวิทยายุทธ์ที่สืบทอดต่อกันมาของผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ จริงหรือแท้ต้องดูด้วยตากับจิตสำนึกที่ดี
ส่วนเยาตันที่พูดถึงก่อนหน้านี้ สามารถซื้อขายได้ในโรงเตี๊ยมพูนโชคของเมืองหลวงเท่านั้น
ในฐานะโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดและมีร้านค้าปลีกมากที่สุดในปฐพี โรงเตี๊ยมพูนโชคเกือบจะมีอยู่ทั่วทุกมุมในแผ่นดินนี้ กระทั่งบนเรือที่ออกทะเลไปยังมีห้องส่วนตัวและห้องนอนของโรงเตี๊ยมพูนโชคโดยเฉพาะ
โรงเตี๊ยมพูนโชคตกแต่งหรูหรา รสชาติอาหารอร่อย บริการดีเยี่ยม รวมทั้ง…ชื่อเสียงเรื่องความปลอดภัยชั้นดีในใต้หล้า
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าขุนมูลนาย พ่อค้ารวยหรือลูกผู้ดีมีเงินมักจะแห่กันมารวมตัวในสถานที่แห่งนี้
เพราะฉะนั้น จึงมีคำพูดว่า ‘ในใต้หล้านี้หากได้พักในโรงเตี๊ยมพูนโชคก็เหมือนเดินเล่นอยู่บนเรือหรู’
นี่คือฐานะ ตำแหน่งและสัญลักษณ์
นับประสาอะไรกับภายในโรงเตี๊ยมพูนโชค ที่ยังมีบุคคลที่แม้แต่กระบี่ตกปลาของเริ่นหยางยังต้องเคารพเลื่อมใส…หม่าเหวินเชาผู้ที่บุกเขาเก้ายอดด้วยมีดทำครัวสองเล่ม
พ่อครัวเป็นหนึ่งในสายเลือดของศิลปะทั้งสามแขนง
หม่าเหวินเชาเป็นพ่อครัวที่ได้รับการยกย่องและเคารพในเรื่องการทำอาหาร
ที่เหลือเช่นร้านขายสุรา เหลาสุรา โรงน้ำชา ร้านเสื้อผ้า ร้านซาลาเปา ร้านผลไม้เชื่อม ธนาคาร ร้านขายเกลือ โรงรับจำนำ ร้านขายยา หมอ ตลาดม้าและอื่นๆ มีหมดทุกอย่าง ล้วนเรียงแถวตั้งอยู่นอกเมือง
และตัวเมืองชั้นในของเมืองหลวง นอกจากวังของหลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใด
บนประตูเมืองชั้นใน ถูกติ้งซีอ๋องใช้ปราณกระบี่สลักสองคำ คือยุติสงคราม ด้วยเหตุนี้ประตูเมืองชั้นในจึงถูกเรียกอีกชื่อว่าประตูยุติสงคราม
มีความหมายว่า หยุดสงครามในใต้หล้า คืนความสงบให้โลกนับร้อยปี
…………………………
เมื่อเข้าประตูยุติสงคราม ยังมีประตูชั้นในอีกหนึ่งบาน เมื่อมาถึงที่นี่ถึงจะนับว่าได้เข้าประตูหน้าของวังแล้ว
เห็นเพียงมังกรประดับอยู่บนประตูทุกบาน นอกประตูรั้วประดับด้วยดอกไม้ที่แกะสลักอย่างวิจิตร ไม่ทาสีฉูดฉาดเกินไป แต่กลับให้ความรู้สึกสง่างาม
ผนังสีน้ำหมึก บันไดทำจากหินอ่อนสีขาว สองข้างทางประดับด้วยหินลายเสือ
หลังจากเข้าประตูแล้ว ตรงกลางเป็นห้องโถงหลังประตูใหญ่ มีระเบียงขนาบสองข้าง
สิ่งที่เข้าม่านตาเป็นสิ่งแรกคือลานกว้างขนาดใหญ่
เมืองหลวงเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิมานานแล้ว เวลานี้มีดอกไม้งามบานสะพรั่งเต็มสวนไปหมด ต้นหลิวบนเนินหินนอกจากนี้ยังมีทางเดินเล็กเชื่อมต่อกับหินประหลาดบนดาดฟ้า ยอดสุดของหินประหลาด มีสายน้ำไหลลงรวมกันเป็นลำธารเล็ก มีสะพานหินพาดอยู่ด้านบน พร้อมกับปลาแหวกว่ายอยู่ด้านล่าง
ลำธารเล็กเลี้ยวลดคดเคี้ยว ต้นไม้ใบอ่อนพลิ้วไหว ดอกไม้ในสวนส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล หนึ่งก้าวหนึ่งทิวทัศน์ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนดั่งภาพวาด
ยิ่งเดินเข้าไปด้านใน พุ่มไม้เขียวชอุ่ม ดอกไม้ใบหญ้าแปลกตาละลานตา เถาวัลย์แตกแขนงกิ่งก้านปกคลุมซึ่งกันและกัน
ไม่เห็นระเบียงทางเดินแล้ว มีแต่ห้องโถงกว้างโอ่อ่า
อีกด้านหนึ่งของห้องโถง มีสะพานหินอีกหนึ่งสะพาน ทว่าใหญ่กว่าก่อนหน้านี้อยู่มากโข
บนสะพานมีศาลาแห่งหนึ่ง ในศาลามีคนนั่งอยู่สองคน
คนหนึ่งเหมือนเป็นวัยกลางคน
สวมชุดคลุมบางสีม่วงคราม รัดสายคาดเอวลายผลลี่จือสีฟ้าคราม เส้นผมพลิ้วราวสายลม แววตาลุ่มลึกเหมือนราชสีห์ ร่างกายกำยำ
อีกคนเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่ง
สวมเสื้อเรียบง่าย รัดสายคาดเอวนอแรดลายบุปผาสีน้ำตาลแดง เส้นผมสีเงินพลิ้วไหว นัยน์ตาเฉียบแหลมแต่ขุ่นมัว
รูปร่างไม่สูงใหญ่เหมือนชายวัยกลางคน แต่กลับมีสง่าราศี ท่าทางสงบเยือกเย็นในทุกอิริยาบถ
“จิ่งเฮ่า ข้ามีเรื่องไม่เข้าใจ”
ผู้อาวุโสท่านนั้นเอ่ย
ชายวัยกลางคนนี้ คือหลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องอ๋องทั้งห้าในใต้หล้าคนปัจจุบัน
“ผู้เฒ่าเฉินเชิญพูด”
หลิวจิ่งเฮ่ากล่าวอย่างถ่อมตน
“ในสวนของเจ้า มีดอกไม้หายากแปลกตานับไม่ถ้วน เหตุใดต้องเพิ่มรั้วให้ต้นสาลี่ ทั้งยังจัดคนดูแลเป็นพิเศษ”
“ฮ่าๆ นี่เป็นเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งของข้า”
หลิวจิ่งเฮ่ากล่าว
“ยินดีรับฟัง”
“ตอนนั้นข้าเพิ่งเริ่มสงคราม…หลังจากแพ้แล้วจึงหนี ไม่ได้กินข้าวกินน้ำสี่วันสามคืน…สุดท้าย ข้าวิ่งไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อหมู่บ้านน้ำแข็งย้อย ตอนนี้อยู่รัฐค่วงแห่งอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง ในภาวะสงคราม ทั่วทั้งหมู่บ้านไร้ผู้คน แม้แต่บ่อน้ำก็ยังเหือดแห้ง…หย่อนถังน้ำลงไป ตักขึ้นมามีแต่ดิน แต่ข้างๆ บ่อน้ำแห้ง ข้าพบต้นสาลี่ต้นหนึ่ง ตอนนั้นข้าพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้าย ปีนขึ้นไปไม่รู้ว่ากินลูกสาลี่หมดไปเท่าไร ไม่กลัวว่าท่านจะขำ ข้ากินจนรู้สึกว่าน้ำสาลี่จุกคอ ต้องก้มหน้าอาเจียนออกมาถึงจะหาย จากนั้น ข้านอนอยู่บนต้นสาลี่หนึ่งตื่นแต่กลับรอดชีวิตมาได้
ต่อมา บ้านเมืองสงบสุข ข้าได้เป็นฉิงจงอ๋อง ครั้งหนึ่ง เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซู่เหยาเชิญข้าไปเที่ยว ระหว่างที่เดินทางไปตามนัดหมายได้ผ่านหมู่บ้านนั้นพบว่าสาลี่ต้นนั้นยังอยู่! ข้ามองต้นสาลี่ ความรู้สึกประเดประดังเข้ามาพร้อมกันในทันใด…พลางคิดในใจว่าหากไม่มีสาลี่ต้นนี้ ข้าที่สร้างอาณาจักรได้เพียงครึ่งทางก็ต้องมาตายเสียก่อน นึกถึงไฟสงครามตอนนั้น นึกถึงพวกพ้องมากมายนับไม่ถัวนที่ตายกันไปทีละคน จนต้องลงจากหลังม้าร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดใจ ด้วยความโมโหจึงตั้งโต๊ะจุดธูป สาบานเป็นพี่น้องกับต้นสาลี่ต้นนี้ จากนั้นสั่งคนให้ย้ายกลับเมืองหลวง จะได้ดูแลง่าย และยังตั้งชื่อมันว่าเอ้าเสวี่ยโหว”
หลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องกล่าว
“สาบานเป็นพี่น้องกับต้นสาลี่และยังแต่งตั้งเป็นขุนนางโดยเฉพาะ ฟังดูไร้สาระอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ลองฟังเรื่องราวอย่างละเอียดกลับเป็นเรื่องราวที่น่าซาบซึ้ง…ทว่าดอกสาลี่สีขาวอ่อนสามารถเอาชนะหิมะได้ ช่างสมกับชื่อเอ้าเสวี่ยโหว”
ผู้เฒ่าเฉินกล่าว หยิบกระเป๋าผ้าป่านขนาดเล็กใบหนึ่งออกมา
หลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องมองกระเป๋าใบเล็ก ทันใดนั้นจึงถอยหลังสองก้าว โค้งคำนับหนึ่งที
“ถึงแม้เวลาจะเร็วไปสองสามวัน แต่ไม่เป็นไร”
ผู้เฒ่าเฉินกล่าว
“กลับเป็นข้าที่ประหม่าเกินไป”
หลิวจิ่งเฮ่ารู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาไม่เคยเก็บอารมณ์ไม่อยู่เช่นนี้มาก่อน
ดั่งหลักการที่ว่าคิดมากจิตใจจึงว้าวุ่น
ผู้เฒ่าเฉินไม่พูดอีก ปลดเชือกที่รัดปากกระเป๋าผ้าป่านใบเล็กออกช้าๆ เทแผ่นหยกที่มีลักษณะคล้ายเงินอีแปะออกมาเก้าแผ่น
มือเขาคำนวณน้ำหนักของแผ่นหยกทั้งเก้าเล็กน้อย จากนั้นจึงโยนขึ้นไปบนท้องฟ้า
“เฉียน ข่าน เกิ้น เจิ้น จง ซวิ่น หลี คุน ตุ้ย! เก้าหยวนส่องเวหา ขึ้น!”
จากนั้นเห็นเพียงเส้นสีทองจางๆ ตัดกันเป็นสามเส้นรางๆ อยู่บนท้องฟ้า ลักษณะคล้ายตารางแบ่งท้องฟ้าเป็นเก้าช่อง ทุกช่องมีแผ่นหยกวางอยู่บนนั้น
เก้าคือตัวเลขของความสุดยอด เชื่อมกับทุกสรรพสิ่ง สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด
เหมือนอย่างฉิงจงอ๋อง สามารถมองเห็นการแบ่งเก้าช่องแบบหยาบๆ เท่านั้น ทว่าในสายตาของผู้เฒ่าเฉิน ทุกช่องของเก้าหยวนจะแสดงทิศทางการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้า
จากนั้นแสงดาวแต่ละช่องจะค่อยๆ น้อยลง พลังแห่งดวงดาวยิ่งชัดเจนขึ้น
สุดท้ายเหลือเพียงดวงเดียว
ผู้เฒ่าเฉินใช้ปลายนิ้วแตะจุดเชื่อมกัน ปล่อยแสงแก้วเก้าสีเข้าไปในตาราง
แผ่นหยกเกิดเสียงในทันใด เริ่มสั่นไม่หยุด จากนั้นแสงแก้วเก้าสีสะท้อนกลับขึ้นท้องฟ้า แล้วเข้าสู่กลุ่มดาวที่เหลือเพียงช่องเดียว
กลุ่มดาวในแต่ละยุคที่ผ่านไป บันทึกการโคจรของสรรพสิ่งมากมายนับไม่ถ้วน และยังอยู่เหนือวัตถุ จิตใจความคิด และสติสัมปชัญญะ
เมื่อเทียบกับดวงดาวแล้วสสารทุกอย่าง เวลา และพื้นที่ล้วนเป็นภาพลวงตาที่มีค่าเพียงเล็กน้อย
นี่คือวิธีการเข้าใจวัฏจักรของธรรมชาติ
โดยเฉพาะในชนเผ่าป่าเถื่อนทางใต้ ซือมิ่งและเทียนกวนจะคอยสังเกตและมองการดำเนินไปของดวงดาว เพื่อให้ได้รับแรงบันดาลใจในการพัฒนาและความอยู่รอด
ด้วยสี่ฤดูกาลที่มีความแตกต่างกัน ท้องฟ้าทั้งสี่ทิศจึงผลัดกันเกิดดวงดาวที่ต่างกันออกไป
เมื่อถึงฤดูหนาว ทิศเหนือของท้องฟ้าจะปรากฏดาวสว่างดวงหนึ่ง ทุกครั้งที่ดาวดวงนี้ปรากฏก็คืออากาศที่หนาวเหน็บ หยดน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง
ดาวดวงนี้ เรียกว่าดาวชั่วยาม
ต้นฤดูใบไม้ผลิตอนเช้า ทิศตะวันออกของท้องฟ้าจะปรากฏดาวสว่างดวงหนึ่ง ทุกครั้งที่ดาวดวงนี้ปรากฏ ทุกสรรพสิ่งจะเริ่มฟื้นตัว ต้นไม้ใบหญ้าเติบโต แมลงงูแตกตื่น
ดาวดวงนี้ เรียกว่าดาวอายุ
ส่วนฤดูร้อน ทิศตะวันออกของท้องฟ้าจะปรากฏดาวสว่างดวงหนึ่งเรียกว่าดาวอังคาร
ทุกครั้งที่ดาวอังคารปรากฏ ทั่วทั้งแผ่นดินจะร้อนเหมือนถูกไฟแผดเผาซ้ำไปซ้ำมา
จากนั้นฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว พืชผักผลไม้และธัญพืชได้เก็บเกี่ยว สภาพอากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงพิลึก แต่เป็นเพราะความดีความชอบของดาวเสาร์
และในสี่ดวงดาวนี้ ยังมีอีกหนึ่งดวงที่ไม่เคยโดนขัดขวางจากสี่ฤดูกาล แต่ยังสว่างไสวอยู่ตลอด เต็มไปด้วยเจตนาแห่งการสังหาร เกิดสงครามทั่วสารทิศ เป็นเพราะฝีมือของดาวศุกร์
บุ๋น บู๊ ศิลปะ ในสามแขนงวิชา นักพรตอินหยางอยู่ในแขนงศิลปะ
และนักพรตอินหยางก็คือโหราจารย์ที่มีความพิเศษในหมู่มนุษย์
นักพรตอินหยาง แค่เรียนวิชาดูดวงอินหยาง อย่างการทำนายตัวหนังสือคลำกระดูก เสี่ยงเซียมซีดูโหงวเฮ้ง หลอกคนขี้กลัวสองสามคน พอได้เงินเลี้ยงปากท้อง
แต่โหราจารย์กลับศึกษาหลักการอันยิ่งใหญ่และแนวโน้มสถานการณ์ พวกเขาไม่สนใจว่ามนุษย์จะไปเมืองไหนอาณาจักรไหน พวกเขาสนใจแค่ทั่วทั้งท้องฟ้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
และผู้ที่ฝึกวิชานี้ถึงขั้นสุดยอด มีเพียงห้าคนในใต้หล้า ถูกผู้คนขนานนามว่าสี่ฤดูห้าดวงดาว
และผู้เฒ่าเฉินผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ติ้งซีผันแปร ผิดแปลกกะทันหัน แมลงตัวจ้อยร้องในคืนเดือนหงาย แปลงเป็นมังกรทะยานฟ้า”
ผู้เฒ่าเฉินมองเก้าหยวนเก้าช่องบนท้องฟ้าแล้วเอ่ย
จากคำวิเคราะห์นี้ กลับเล่าถึงสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกมนุษย์
……………………………………………………………………….