ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 430 รู้ตื่นจากความโลภ-2
บทที่ 430 รู้ตื่นจากความโลภ-2
……….
“พี่สาวข้าเป็นคนเช่นไรหรือ”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
นี่ทำให้นายท่านจินลำบากใจ…
แม้การแนะนำคนคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก
แต่เถ้าแก่เนี้ยยากใช้คำว่า ‘เช่นไร’ มาจำกัดความจริงๆ
“ตอนเด็กท่านพ่อน่าจะเคยเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟังกระมัง”
นายท่านจินครุ่นคิดอยู่นานพลันเอ่ยถาม
“ท่านพี่หมายถึงเรื่องไหนเจ้าคะ”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
“เกี่ยวกับคฤหาสน์บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่มีแม่นางอาศัยอยู่ แต่คฤหาสน์ของนางกั้นดวงอาทิตย์ตกดินของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง”
นายท่านจินกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น!
นี่ถือได้ว่าเป็นเรื่องเล่าที่นางชอบที่สุดแล้วจริงๆ
แต่จนถึงตอนนี้ชิงเสวี่ยชิงฟังเรื่องเล่าเรื่องนี้แค่ครึ่งเดียว ไม่เคยรู้เลยว่าบทสรุปคืออะไร
ว่ากันว่าในส่วนลึกของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องมีลานกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ในลานนั้นมีหอคอยสูงกว่าเรือนหลักจวนชิงไม่น้อยอยู่แห่งหนึ่ง
หอคอยนี้ตั้งตระหง่านอยู่แนวหิมะบนยอดเขา ทุกยามพลบค่ำในทุกฤดูกาล อาทิตย์อัสดงจะสาดเข้ามาในแนวนอน ส่องใบหน้าด้านข้างของแม่นางผู้นี้
และข้างล่างภูเขาก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งอาศัยอยู่ในลานบ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งเช่นกัน
เดิมเรื่องที่เด็กหนุ่มชอบทำที่สุดก็คือการเฝ้ามองอาทิตย์อัสดงเงียบๆ
แต่หลังจากหอคอยนี้สร้างขึ้น เขาก็ไม่เห็นอาทิตย์อัสดงอีกเลย…
หลังจากว้าวุ่นมาพักใหญ่ เขายังคงตัดสินใจลองไปดูคฤหาสน์บนยอดเขานั้น ต่อให้กลับมามือเปล่าก็ต้องขอร้องเจ้าของหอคอยให้ตนได้มองอาทิตย์ตกดินอีกสักครั้ง
เห็นเขาตรงหน้าขี่ม้าตาย[1] นับประสาอะไรกับเด็กหนุ่มที่เดินเท้า
ในที่สุด เขาก็ยืนอยู่หน้าคฤหาสน์แห่งนี้แล้ว
ท่ามกลางอากาศเย็นเหนือแนวหิมะ เขาได้กลิ่นหอมจางๆ ลอยมาเป็นระยะ
กลิ่นหอมนี้ไม่เหมือนดอกไม้ใดที่เขาเคยพบ ไม่เหมือนอาหารจานใดที่เขาเคยกิน
ความทรงจำของชิงเสวี่ยชิงก็หยุดลงตรงนี้
“ท่านพี่ หลังจากเด็กหนุ่มได้กลิ่นหอมแล้วล่ะ กลิ่นหอมนั้นคือกลิ่นอะไรกันแน่ เขาได้พบแม่นางคนนั้นหรือไม่ สุดท้ายอาทิตย์ตกดินเป็นของใคร”
ชิงเสวี่ยชิงถามคำถามรวดเดียวติดกันเป็นพวง
“รอเจอพี่สาวเจ้าแล้วให้นางบอกเจ้าดีกว่า”
นายท่านจินกล่าว
“น้องชิง ทำไมพี่ไม่รู้เลยว่ายังมีเรื่องเล่าที่ทำให้เจ้าเฝ้านึกถึงเช่นนี้ด้วย”
เหวินฉีเหวินเอ่ยถาม
“นอกจากดาบตัดเงา เรื่องเล่านี้เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าอันดับสองของจวนชิง!”
นายท่านจินกล่าวล้อเล่น
“ไม่มีคนอื่นรู้เลยหรือ”
เหวินฉีเหวินเอ่ยถาม
“ตอนข้ายังเด็ก ท่านแม่ก็เคยเล่าให้ข้าฟัง นางบอกว่านี่เป็นเรื่องที่ท่านย่าข้าเล่าให้นางฟังหลังจากนางออกเรือนไม่นาน”
นายท่านจินกล่าว
“หากเรื่องเล่าหนึ่งถ่ายทอดในจวนชิงมาได้นานขนาดนี้ คิดว่ามันต้องมีความหมายลึกซึ้ง!”
“ข้ามองความหมายลึกซึ้งไม่ออก…ความจริงเหตุที่ข้าตอบคำถามหลายต่อหลายข้อของเสวี่ยชิงไม่ได้เป็นเพราะข้าเองก็ไม่รู้บทสรุปของเรื่องนี้ ตอนเด็กมักคิดว่าเรื่องเล่านี้น่าเบื่อเกินไป ฟังๆ อยู่ก็หลับแล้ว เด็กชายย่อมชอบเรื่องยุทธภพเหล่านั้นมากกว่า”
นายท่านจินกล่าว
“แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพี่สาวข้า”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
“ข้าก็ไม่แน่ใจ…เพียงแค่รู้สึกว่าแม่นางในเรื่องนั้นคล้ายนางมาก ตั้งแต่ตอนข้าฟังเรื่องเล่านี้ครั้งแรก ข้าก็มีความรู้สึกนี้ และผ่านมาหลายปีขนาดนี้ความรู้สึกนั้นก็ไม่ลดลงเลย”
นายท่านจินกล่าว
นี่คือสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง
สัญชาตญาณมักนำมาซึ่งการคาดเดาและภาพจินตนาการที่เชื่อถือไม่ได้
เกรงว่าสิ่งที่นักพนันชอบใช้ที่สุดก็คือสัญชาตญาณของตัวเอง
นายท่านจินไม่ใช่นักพนัน แต่กลับยอมเชื่อฟังและมั่นใจสัญชาตญาณของตนในเรื่องนี้
ความจริงสัญชาตญาณกับภววิสัยก็ไม่ใช่ศัตรูที่ขัดแย้งกันอยู่แล้ว กลับจะส่งเสริมกันและกันไม่น้อย
สิ่งใดที่ตั้งใจทำสิ่งนั้นย่อมมีเหตุผล
แต่ก็เหมือนทั้งสามคนที่ดื่มสุราตอนนี้ การดื่มสุราคือสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง
สิ่งที่ทำด้วยเหตุผลมักต้องมีเป้าหมาย
แต่สิ่งที่ทำด้วยสัญชาตญาณส่วนใหญ่ล้วนทำเพื่อให้ตัวเองมีความสุขเท่านั้น
หากต้องพิจารณาอันไหนหนักอันไหนเบา เกรงว่าสัญชาตญาณจึงจะเป็นรากฐานของบุคคล
ไม่จำเป็นต้องสอนสิ่งใด แค่เป็นไปตามธรรมชาติ
เหวินฉีเหวินได้ยินคำพูดของนายท่านจินแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
นอกจากเขาจะไม่คิดว่าการทำตามความรู้สึกเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ยังถึงขั้นพยายามละทิ้งความรู้สึกของตัวเองทุกวิถีทาง
ดื่มหมดหนึ่งจอก มีอีกสามจอก
ผ่านไปสามจอก มีอีกหลายไห
บุญคุณความแค้น ความป่วนปั่นในวิถีทางโลกไม่มีวันถูกทำลายด้วยกระบี่ ฟันด้วยดาบหรือใส่ลงในจอก
จะยึดมั่นในตนตลอดเวลาได้อย่างไร
ตอนเป็นหนุ่มเพียงสวมชุดงามขี่ม้าดีชายตาแลสถานการณ์
แต่เมื่อช่วงเวลานี้ผ่านไป ไม่ว่ากลายเป็นคนแบบไหนล้วนต้องอาศัยสัญชาตญาณในใจ
“ตอนนี้เจ้าสองคนโตพอแล้ว ได้คิดไว้หรือไม่ว่าวันหน้าอยากทำอะไร”
นายท่านจินเอ่ยปากถาม
“พวกเรามีตัวเลือกด้วยหรือ”
ชิงเสวี่ยชิงเบิ่งตาถาม
นี่ทำให้นายท่านจินหดหู่จริงๆ…
ใช่แล้ว เกิดมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้าย…
คนอื่นเห็นเกียรติยศสูงส่งเป็นหมื่นจั้ง แต่พอมองใกล้ๆ กลับเปี่ยมด้วยการละทิ้งตัวตน
เล่าเรียนเป็นปัญญาชน ย่อมเมาสุรา สง่าผ่าเผย คิดถึงหญิงงาม
หากเดินเส้นทางยุทธภพพยัคฆ์คำรนมังกรคำรามเช่นนายท่านจิน ย่อมมีอำนาจทะลุฟ้า ราบรื่นไม่มีอุปสรรค
เป็นเช่นสนหิมะยืนต้นเขียวขจีท่ามกลางฤดูหนาว
หักได้แต่ไม่มีวันโน้มเอียง
ตั้งแต่ออกจากบ้านถึงตอนนี้ ชิงเสวี่ยชิงกับเหวินฉีเหวินได้สัมผัสความยากลำบากบนถนนสายนี้บ้างแล้ว
เมืองกันดารมักเงียบเหงาวังเวง แม้มือจับคมดาบไว้มั่นตลอดเวลา แต่ใช่ว่าจะมีความน่าเกรงขามทัดเทียมศัตรู
“เจ้าเล่าเรื่องเหล่านี้ให้พวกเขาฟังทำไม”
เสียงสายหนึ่งดังทอดมาจากประตู
นายท่านจินเงยหน้ามอง เป็นหลี่จวิ้นชางถือดาบเดินมา
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเราอยู่นี่”
นายท่านจินเอ่ยถาม
“ได้กลิ่นหอมสุราก็รู้แล้วว่าพวกเจ้าอยู่นี่”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
นั่งลงแล้วจัดการหยิบกาสุราขึ้นมาเงยหน้าดื่มเต็มคราบ
นายท่านจินเห็นสีหน้าเขาผ่อนคลาย ให้อารมณ์เหมือนย้อนกลับไปอดีตหลายส่วน ในใจพลันเบิกบานหาใดเปรียบ
“ตอนนี้ดื่มสุราสี่คนแล้ว…”
นายท่านจินกล่าว
“ข้าเคยได้ยินแค่มีคนคิดเรื่องดื่มมากดื่มน้อย แต่เพิ่งจะได้ยินการนับจำนวนคนดื่มเช่นนี้ ในนั้นมีพิธีรีตองอะไรหรือเจ้ากังวลว่าตัวเองจ่ายค่าสุราไม่ไหว”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“ข้านึกว่าเจ้าจะใช้เวลานาน”
นายท่านจินไม่ได้ตอบคำถามของหลี่จวิ้นชาง กลับพูดเปลี่ยนประเด็น
“ไม่จำเป็นต้องนาน เรื่องในความทรงจำสั้นเท่าไรยิ่งดี”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“เพราะถ้าเกิดขึ้นซ้ำเป็นเวลานาน นั่นก็ไม่ใช่ความทรงจำแล้ว จำได้ แสดงว่าต้องมีส่วนที่ฝังลึกในใจ เก็บไว้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องไปทำซ้ำ ข้าไม่อยากแก้ไขส่วนใดในความทรงจำ และไม่อยากจำอะไรซ้ำอีก”
หลี่จวิ้นชางกล่าวต่อ
นายท่านจินพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยคำใด
เหมือนบางครั้งอยากไปพบคนคนหนึ่งมาก หรืออยากทำเรื่องบางเรื่องมาก ไม่ใช่เพราะยังชอบหรือยังคิดถึงคนคนนั้น และไม่ใช่เพราะปรารถนาในเรื่องนั้นเหลือเกิน
แต่เป็นเพราะตนยังผูกติดกับตัวตนตอนอยู่กับอีกฝ่ายในยามนั้น รวมถึงท่าทีตอนทำเรื่องดังกล่าวในยามนั้นด้วย…
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ย้อนแย้งมากอยู่แล้ว ทั้งยังเห็นแก่ตัวที่สุดเช่นกัน
สิ่งที่คิดถึงมีแต่ตัวเองในตอนนั้น
สิ่งที่ทอดถอนใจมักเป็นสถานการณ์ปัจจุบันเสมอ
ในขั้นตอนนี้ มักจะมีคนคนหนึ่งมอบความรัก ความเอาใจใส่ ความทะนุถนอมและความเอ็นดูให้เจ้าโดยไม่คิดถึงผลลัพธ์ เพียงเพื่อทำให้เจ้าเป็นผู้ใหญ่ในวันหนึ่ง
มองดูทิวทัศน์รอบตัวถอยถดออกไป เห็นเค้าโครงกำแพงเมืองแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลได้รางๆ
สำหรับหลี่จวิ้นชาง ตระกูลหลี่ในอดีตก็คือ ‘คน’ คนนี้
เมื่อเทียบกันแล้ว จวนชิงก็ปฏิบัติกับนายท่านจินด้วยหลักการนี้เช่นกัน
แม้หลี่จวิ้นชางกล่าวคำพูดนี้ไม่ตรงประเด็น แต่นายท่านจินรู้ว่าการพูดคำเหล่านี้ออกมาได้ต้องใช้พลังกายใจและเวลาสิบห้าปีเต็มๆ ของเขา
ไม่มีคนอื่นคนใดเข้าใจความลำบากในนั้นได้
บนเส้นทางนี้ ทุกคนล้วนรีบร้อนยิ่งนัก
เพื่อประโยชน์ร่วมกันต่างฝ่ายก็นับพี่นับน้องได้ทั้งนั้น
แต่เมื่อกลองรบดังขึ้น คงมีแต่เข่นฆ่ากันเอง
สุดท้ายความห้าวหาญ ความหัวแข็ง ความขมขื่น ความลำบากและความเปลี่ยนแปลงในนั้นล้วนไม่พ้นคำว่าเห็นแก่ตัว
นายท่านจินกับหลี่จวิ้นชางก็เคยจินตนาการตัวเองเป็นคนเสเพลถือดาบเดินท่องแหล่งกามารมณ์เหมือนกัน
วสันต์ชาดสุราแรง รักปรารถนาชิงชัง ข้ายั้งอยู่เจ้าลาจาก หาข้องแวะเกี่ยวพันไม่
บทเพลงบรรเลงกู่ฉิน หญิงงามแย้มยิ้มพริ้มพราย ยลดูน้ำตาหลั่งริน ความรักมั่นทั่วผืนหล้า สนธยาพลันมาเยือน
มื้อนี้นายท่านจินกับหลี่จวิ้นชางเมาหนักตั้งแต่อาหารยังไม่ขึ้นโต๊ะ…
สุราสิบกว่ากาบนโต๊ะเพิ่งดื่มไปครึ่งหนึ่ง
นายท่านจินกับหลี่จวิ้นชางคนหนึ่งฟุบไปข้างหน้า คนหนึ่งหงายไปข้างหลัง
แต่สิ่งที่ทั้งสองเหมือนกันคือมือขวาจับด้ามดาบไว้แน่น แม้เมาพับอยู่กับพื้นก็ไม่เคยปล่อย
…………………………………………
[1] เห็นเขาตรงหน้าขี่ม้าตาย หมายถึง ระยะทางเหมือนใกล้แต่ที่จริงไกลมาก
……….