ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 426 ดอกไม้งามทำหลงใหล ดวงจันทร์ชำระสะสาง-6
บทที่ 426 ดอกไม้งามทำหลงใหล ดวงจันทร์ชำระสะสาง-6
……….
“ข้าก็ใช้ดาบเป็น เดิมการใช้ดาบควรมุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวเกรง ไม่มีหยุดชะงักเด็ดขาด แต่ตอนนี้ดาบนี้หยุดเสียแล้ว…แม้หน้าพี่หลี่ยิ้มอยู่ แต่ในใจเขาอาจกำลังหลั่งเลือด”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าวต่อ
“ใจของเขาหลั่งเลือดจนแห้งเหือดไปนานแล้ว ตอนนี้ต่อให้อยากหลั่งเลือดก็ไม่มีเลือดให้หลั่ง รอยยิ้มของเขาในตอนนี้คือความยินดีอย่างแท้จริง”
นายท่านจินกล่าว
“พี่หลี่ยินดีเรื่องอะไรหรือ”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
“ข้าไม่รู้ ข้าไม่เข้าใจตัวเขาในตอนนี้เลย”
นายท่านจินกล่าว
“แต่เขาเป็นสหายสนิทของท่านไม่ใช่หรือ”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
“เคยเป็น ตอนนี้ระหว่างข้ากับเขาบอกว่าเพิ่งเป็นสหายกันยังจะดีกว่า”
นายท่านจินกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงฟังไม่เข้าใจ…
ระหว่างทางสองคนนี้คุยเรื่องในอดีตไม่น้อย
ในสายตาชิงเสวี่ยชิง สหายวัยเด็กสองคนที่เคยสนิทชิดเชื้อเช่นนี้ ต่อให้ไม่เจอหลายปี ตอนมาเจอกันอีกก็ควรสนิทกันมากกว่าเดิมถึงจะถูก
แต่นางกลับไม่รู้ว่าวันเวลานั้นเพียงพอให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
ไม่ว่าหน้าตา รูปร่างหรือความคิดและจิตใจ
ล้วนไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
หลี่จวิ้นชางในตอนนี้ นายท่านจินคุ้นเคยแค่ชื่อของเขาเท่านั้น
ส่วนที่เหลือไม่รู้จักเลยสักอย่าง
แน่นอนว่าพวกเขายังยกจอกสุราคุยกันสนุกสนานและยังหวนนึกถึงวันวานได้
อย่างไรนั่นก็เป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองใช้ร่วมกัน แม้ดาวเคลื่อนดาราย้ายเท่าไรก็ไม่อาจลบเลือนมันหมดสิ้น
หลี่จวิ้นชางเก็บคมดาบกลับมา ยังยิ้มมองเถ้าแก่ดังเดิม
“เจ้าคิดจะหยอกเย้าข้า?”
เถ้าแก่กล่าวเฉยชา
“การที่เรื่องไม่เป็นไปตามที่เจ้าคาดคิดคือการหยอกเย้าหรอกหรือ”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
เถ้าแก่เงียบไม่เอ่ยคำ
เขาไม่มีอะไรจะโต้แย้งจริงๆ
“ดาบอยู่ในมือข้า”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“ข้ารู้ ข้าไม่ใช่คนตาบอด ข้ามองเห็น! และยังเห็นประจักษ์ตาชัดเจนแจ่มแจ้ง!”
เถ้าแก่กล่าว
ประโยคนี้ใช้คำว่า ‘ข้า’ สามครั้งติดกัน
เห็นได้ว่าอารมณ์แปรปรวนในใจเถ้าแก่สะสมมาถึงขั้นหนึ่งแล้ว
คนคนหนึ่งจะย้อนกลับมาที่ตัวเองก็ต่อเมื่อกังวลใจไม่เป็นสุขเท่านั้น
ไม่มีสิ่งใดกระทบเขาได้นอกจากเรื่องทั้งหมดของตัวเอง
“ข้าอยากให้ดาบของข้าหยุดเมื่อไร หยุดตรงไหนก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
หลี่จวิ้นชางพลันเปลี่ยนประเด็นกล่าวต่อ
ยกแขนซ้ายขึ้น ยื่นมือซ้ายออกชี้ลำคอและหัวใจของตน
เถ้าแก่สีหน้าเขียวคล้ำ เพียงจ้องหลี่จวิ้นชางตาเขม็ง ปากพูดไม่ออกสักคำ
ยามนี้รอยแผลบนหน้าเขาโดยเฉพาะบริเวณหนังตาเริ่มสั่นไม่หยุด
แม้ไม่ได้สั่นรุนแรง ความถี่ก็ไม่เร็วนัก แต่สั่นก็คือสั่น ไม่ต่างอะไรกับการสั่นของหลี่จวิ้นชางก่อนหน้านี้
ในสายตาคนอื่น ตอนนี้บนหนังตาที่สั่นเทาของเถ้าแก่เหมือนมีหนอนตัวหนึ่งไต่ขึ้นไป กำลังเสือกตัวดิ้นไปข้างหน้าไม่หยุด
แต่ไม่ว่าหนอนตัวนี้พยายามเท่าไรก็ขึ้นไปไม่ได้แม้เพียงก้าว
หลี่จวิ้นชางห้อยแขนขวาลงจนสุด
ปลายดาบชี้พื้น
สายตาของเถ้าแก่สาดมาบนหน้าเขาอย่างเดือดดาล
แต่ศีรษะของเขากลับเงยขึ้นฝั่งขวาบนเล็กน้อย ปลายจมูกขยับสองสามครั้งไปพร้อมกัน
“ที่นี่มีดอกไม้ของจวนชิงด้วย!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“ดอกไม้อะไร”
นายท่านจินเอ่ยถาม
นอกจากรู้สึกไม่คุ้นเคยกับอดีตสหายสนิทของตนแล้ว เขายังไม่คุ้นเคยกับจวนชิงบ้านของตนด้วย
“ไม่รู้จักชื่อ แต่กลิ่นนี้ข้าจำได้แม่นนัก เหมือนกลิ่นเนื้อย่างบนตัวเขา ล้วนเป็นกลิ่นที่ลืมไม่ลง ตอนนั้นบนตัวพวกเจ้าสองคนพี่น้องก็มี เพียงแต่ของนางกลิ่นแรงกว่าเจ้ามาก”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
น้องสาวที่หลี่จวิ้นชางเอ่ยถึงย่อมไม่ใช่ชิงเสวี่ยชิง
นายท่านจินก็มีน้องสาวแค่คนเดียว เถ้าแก่เนี้ยในเหมืองแร่
ไม่ว่าเด็กผู้หญิงโตมาอายุเท่าไร ไม่ว่าแต่งงานมีบุตรหรือไม่ล้วนชอบดอกไม้
ยิ่งเป็นดอกไม้บอบบางสวยสดยิ่งชอบ
เถ้าแก่เนี้ยก็เป็นเด็กผู้หญิง แม้ตอนนี้กลายเป็นสตรีแล้วก็ไม่เว้น
กลิ่นดอกไม้บนตัวนางย่อมหนาหนักกว่าบนตัวนายท่านจินมากนัก
“กลิ่นดอกไม้นั่น…ข้าไม่ชอบ ดมมากๆ แล้วมักรู้สึกอยากอาเจียน”
นายท่านจินกล่าว
“ดื่มสุราเยอะแล้วอยากอาเจียนเพราะดื่มจนเมา กลิ่นดอกไม้ก็ทำให้คนเมาได้ด้วยหรือ”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถาม
“อาจทำให้ข้าเมาได้ แต่เจ้าไม่”
นายท่านจินกล่าว
ความจริงเขารู้ว่ากลิ่นดอกไม้ทำให้คนเมาได้เสียที่ไหน
สิ่งที่ทำให้คนเมาคือคนที่มีกลิ่นหอมดอกไม้อยู่บนตัวเสมอ
แต่เขาไม่ได้พูดตรงๆ
บางเรื่องคลุมเครือเล็กน้อยจะดีกว่า
แต่ตอนนี้เถ้าแก่เนี้ยไม่มีกลิ่นดอกไม้บนตัวนานแล้ว
หากหลี่จวิ้นชางกอดจินตนาการเช่นนี้ไปเหมืองแร่อาจจะยิ่งทำให้เขาผิดหวัง
สหายผู้นี้ของตนก้าวข้ามความเจ็บปวด ปีนขึ้นมาจากหุบเหวแห่งความสิ้นหวังอย่างยากลำบาก
ไม่ว่าอย่างไรนายท่านจินก็ไม่ยอมให้เขาผิดหวังซ้ำอีก
ความปรารถนาของเขาก็ให้เขาไปตามหาเอง
นายท่านจินไม่อยากพูดอะไรอีกสักประโยค
หลี่จวิ้นชางได้กลิ่นดอกไม้จวนชิงที่นี่ คิดว่าต้องส่งออกมาจากใจเขาเองเป็นแน่
หนังตาของเถ้าแก่หยุดสั่น
หนอนตัวนั้นก็สิ้นฤทธิ์ นอนแข็งทื่อไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น
จิตใจของเขากลับมาสงบนิ่งแล้วเหมือนกัน
แต่กลับทำให้เขาหวั่นกลัวเล็กน้อย…
ทั้งที่เป็นแค่ดาบธรรมดาทั่วไป เหตุใดทำให้เขารู้สึกสะเทือนรุนแรงเช่นนี้
คืบศอกขอบฟ้า ชื่อเสียงลือลั่น
แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นจุดจบแห่งความพินาศไม่ใช่หรือ
ในฐานะผู้เข้าร่วมในคืนนั้น เถ้าแก่ควรมองให้ออกถึงจะถูก
หลังจากหายใจสองสามครั้ง เถ้าแก่ก็ดึงกระบวยเหล็กด้ามยาวที่คว่ำอยู่ตรงหน้าอกก่อนหน้านี้กลับมา
และวางหม้อที่กอดไว้ในอกตลอดเวลาลงพื้นด้วย
สองแขนกอดอก ยืนอยู่เงียบๆ
เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองรออะไรอยู่ อาจเป็นเพราะคนตรงหน้าประหลาดเกินไป เขายังอยากทำความเข้าใจมากขึ้น
“เมื่อครู่ขอบฟ้าของเจ้าแตกสลายแล้วหรือ”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
สายตาของเขามองกลับมาหาเถ้าแก่ในที่สุด
เถ้าแก่จึงตระหนักได้ทันทีว่าทำไมเมื่อครู่ตนถึงอารมณ์พลุ่งพล่านเช่นนั้น
ทุกสิ่งที่เขาคิดก่อนหน้านี้ก็คือขอบฟ้าด้านหนึ่งไม่ใช่หรือ
แม้ดาบของหลี่จวิ้นชางไม่ได้แตะกระบวยเหล็กด้ามยาวของเขาโดยสิ้นเชิง แต่ก็ดับความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นต่อไปทั้งหมด
นี่ขอบฟ้าของตนถูกเขาทำลายในดาบเดียวไม่ใช่หรือ
ไม่เคยเกิดจึงไม่มีอยู่
นี่ทำให้คนรับได้ยากกว่าแตกสลายเสียอีก
หลี่จวิ้นชางพูดจบแล้วยกดาบขึ้นอีกครั้ง
เขาทำให้ขอบฟ้าของเถ้าแก่แตกสลายได้ครั้งหนึ่ง เช่นนั้นก็ยังทำลายได้อีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม
จนกระทั่งตัวเถ้าแก่เป็นขอบฟ้าเสียเอง
ถึงตอนนั้น แตกสลายแล้วก็จะไม่มีอยู่อีกต่อไป
เพียงแต่ครั้งนี้เถ้าแก่ไม่เป็นฝ่ายถูกกระทำอีกแล้ว
กระบวยเหล็กด้ามยาวหมุนอยู่ในมือสองครั้ง กระบวยอยู่บนมือ ด้ามกระบวยพุ่งไปข้างหน้า
เถ้าแก่เปลี่ยนด้ามกระบวยเป็นปลายดาบ ฟันเฉียงใส่หลี่จวิ้นชาง
ไหล่ขวาหลี่จวิ้นชางลดต่ำ คล้ายจะออกดาบปัดป้อง
แต่เข่าซ้ายกลับงอเป็นเส้นโค้ง บิดเอวย่อตัวหลบไปในฉับพลัน
คลื่นอากาศและเสียงลมที่มาพร้อมด้ามกระบวยตัดผมตรงจอนของเขาออกหย่อมหนึ่ง ทำให้ใบหูเขาแสบร้อนเล็กน้อย แต่เขาไม่สนใจ
หลังจากด้ามกระบวยผ่านไป เขาหยัดกายกลับมาอย่างรวดเร็ว และยืนตัวตรงดังเดิม
คมดาบพุ่งตรงไปข้างหน้า ยามนี้ดูแล้วเหมือนของตกแต่งชิ้นหนึ่ง
กระบวนท่าหนึ่งไม่เป็นผล เถ้าแก่ก็ยังไม่ถอดใจ
เขาพลันผ่อนมือ ด้ามกระบวยของกระบวยเหล็กก็เลื่อนลงล่างอย่างรวดเร็ว
ตอนจับมั่นอีกครั้งเป็นส่วนปลายของด้ามกระบวยพอดี
กระบวยทรงถ้วยค่อยๆ ครอบข้อศอกของเขา
แขนโค้งงอ จู่โจมใบหน้าของหลี่จวิ้นชางด้วยข้อศอก
หลี่จวิ้นชางยังไม่ยอมปะทะกับเขา
ใช้วิธีเดียวกันหลบหลีกอีกครั้ง
ดาบในมือเขาเหมือนกลายเป็นของประดับตกแต่งอย่างแท้จริง
ยื่นออกไปเรียบๆ เช่นนี้ แต่ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด
“ทำไมพี่หลี่ไม่ออกดาบ?!”
ชิงเสวี่ยชิงเห็นแล้วร้อนใจเล็กน้อย
“เขาไม่เคยเก็บดาบ”
นายท่านจินกล่าว
“แต่อยู่เฉยๆ เช่นนี้ก็นับว่าออกดาบหรือ”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ไม่ว่าคนหรือดาบล้วนเป็นสิ่งที่นางไม่อาจทำความเข้าใจได้
“เมื่อครู่ดาบเขาทำลายขอบฟ้าของเถ้าแก่แล้ว เช่นนั้นออกดาบอีกครั้งก็ต้องสร้างขอบฟ้าของตัวเองก่อนใช่หรือไม่”
นายท่านจินกล่าว
“ขอบฟ้านี้ต้องสร้างอย่างไรหรือ”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
“ของทุกคนล้วนต่างกัน ข้าก็ไม่รู้ว่าขอบฟ้าของเขาเป็นอย่างไรกันแน่ แต่มีจุดหนึ่งที่ยืนยันได้ นั่นก็คือทุกหนแห่งต้องอบอวลด้วยกลิ่นดอกไม้เหมือนในจวนชิงของพวกเรา”
นายท่านจินกล่าว
ได้ยินว่าดอกไม้ ชิงเสวี่ยชิงกลับเบาใจอีกครั้ง
ดวงจันทร์เหนือศีรษะ ใบไม้กลางทะเลเปลี่ยวป่าสีชาด ดอกไม้ในจวนชิง
สามอย่างนี้เป็นสิ่งที่นางชอบมากที่สุด
ขาดสิ่งใดไปไม่ได้
แม้กลิ่นดอกไม้ชวนหลงใหล แต่ดื่มด่ำตลอดวันเป็นต้องเบื่อหน่ายอย่างไม่อาจเลี่ยง
แสงจันทร์ที่งดงามและเงียบสงบนี้อยู่เหนือความสามัญมาแต่ไหนแต่ไร
เพียงพอให้ชำระล้างทั่วกายจนสวยสดงดงามหาใดเปรียบ
และใบไม้กลางทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดพากันลอยล่องผันเปลี่ยนตลอดเวลา
กระนั้นยังเปลี่ยนดวงจันทร์เงียบสงบและคำพูดแข็งทื่อให้มีชีวิตชีวาขึ้นได้
“ท่านพี่ ขอบฟ้าของท่านเป็นแบบไหนหรือ”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
สีหน้าของนายท่านจินกลับขรึมลงทันที
เขาอาจไม่เคยเจอความขมขื่นจากการที่ตระกูลพังพินาศเช่นหลี่จวิ้นชาง แต่ในบางแง่ เขากลับโชคร้ายกว่าหลี่จวิ้นชางเสียอีก
เพราะเขาเป็นคนไม่มีขอบฟ้า
“เจ้าเก่งกว่าพี่ชายเจ้ามากแล้ว!”
หลี่จวิ้นชางพลันหันมาพูดกับชิงเสวี่ยชิง
กลุ่มคนถูกเถ้าแก่ขังไว้ในเปลือกสีดำหนาๆ อันหนึ่ง
ดวงอาทิตย์นั้นเหมือนจันทร์เพ็ญยิ่งนัก
มีดอกไม้แล้ว ดวงจันทร์ก็อยู่
หลี่จวิ้นชางรู้สึกว่าขอบฟ้าในใจเกือบสมบูรณ์แบบแล้ว
เพียงแต่ขอบฟ้าของชิงเสวี่ยชิงอาจมีใบไม้ร่วงที่ปลิวว่อนในทะเลเปลี่ยวป่าสีชาด
ขอบฟ้าของนางยังขาดชีวิตชีวาอยู่
“ขอบฟ้าของข้าพอใช้ได้แล้ว”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“พอใช้ได้ แล้วยังขาดอีกเท่าไร สิบห้าปีก่อนทั้งตระกูลหลี่อาจพอใช้ได้กันหมด”
เถ้าแก่กล่าว
“ความพอใช้ของพวกเขายังห่างจากข้ามากนัก…แต่ความพอใช้ของข้าห่างจากการส่งเจ้าไปขอบฟ้าเพียงระยะคืบศอก”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
เถ้าแก่แค่นเสียงเยาะหยัน เตรียมออกมือต่อ
แต่เขากลับได้กลิ่นดอกไม้หนาหนัก และบนกายก็รู้สึกเย็นเยือกหลายส่วน
ตอนเผลอสติ ข้างหูมีเสียงหัวเราะเช่นระฆังเงินของเด็กสาวคนหนึ่งตามมาติดๆ
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนใกล้แค่ตรงหน้า แต่ก็เหมือนไม่จริงแท้ขนาดนั้น
ในใจเถ้าแก่หวาดกลัวเล็กน้อย
แม้หลี่จวิ้นชางอยู่ตรงข้ามกับเขา รูปร่างไม่ได้พร่าเลือนแม้แต่น้อย
ดาบในมือก็ยังเหยียดตรงไปข้างหน้า ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
แต่ความหวาดกลัวในใจเขากลับรุนแรงขึ้นทุกที
พริบตานั้นถึงกับยากควบคุมตัวเอง…
…………………………………………