ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 425 ดอกไม้งามทำหลงใหล ดวงจันทร์ชำระสะสาง-5
บทที่ 425 ดอกไม้งามทำหลงใหล ดวงจันทร์ชำระสะสาง-5
……….
ตอนกลุ่มคนยังไม่ทันตั้งสติ หลี่จวิ้นชางออกดาบแล้ว
ดาบนี้เป็นเพียงครึ่งกระบวนท่า
ครึ่งกระบวนท่าของคืบศอกขอบฟ้าก็คือคืบศอก
ระยะของคืบศอกไม่ถึงหนึ่งชุ่นด้วยซ้ำ
น้อยนิดยิ่งนัก
ระยะน้อยนิดเช่นนี้จะมีอะไรต่างออกไป
แต่ในโลกมีเรื่องดึงเส้นผมแล้วสะเทือนทั่วร่างอยู่มากมาย
เพลี่ยงพล้ำเพียงนิดก็อาจผิดพลาดใหญ่หลวง
นอกจากเพลงดาบยังหมายรวมถึงชีวิตหรือแม้กระทั่งความรู้สึก
หากทุกคนฉลาดกันหมด เช่นนั้นการคบค้า เป็นสหายหรือรักใคร่กับคนฉลาดต้องมีความสุขแน่นอน
เหมือนตอนซื้อของในตลาด ทุกคนต่างเทียบราคาสินค้าชนิดเดียวกันในมือพ่อค้าคนละร้านได้อย่างง่ายดาย
แต่กลับบอกคุณค่าของสิ่งของนี้ในสถานการณ์ที่ต่างกันได้ยากยิ่ง
น้ำหนึ่งหยดกลางทะเลทรายกว้างใหญ่ก็หายากเช่นเดียวกับกำไลหยกบนข้อมือเถ้าแก่เนี้ยในเหมืองแร่
หากทั้งสองอยู่ห่างกันแค่คืบศอก เช่นนั้นความเป็นความตายมีแต่จะย่นระยะเข้าหากันเรื่อยๆ
แม้หลี่จวิ้นชางออกดาบนี้เพียงครึ่งกระบวนท่า
แต่เป็นกระบวนท่าที่เอาถึงตาย เน้นจู่โจมไม่ป้องกัน เน้นบุกไม่เน้นถอย
อย่างไรผู้คนมักจะมองข้ามระยะคืบศอกและพร่ำรำพันถึงขอบฟ้าอันเลื่อนลอยอยู่ในใจ
แต่หลี่จวิ้นชางกลับคิดว่าเรื่องราวในชีวิตไม่เคยมีความบังเอิญหรือเรื่องไม่คาดฝัน
ความโชคดีทั้งหลายล้วนเป็นคำพูดถ่อมตนที่ครึ้มอกครึ้มใจ
ที่จริงตัวคำพูดไม่ได้ผิด ใครๆ ก็รู้ว่าเวลายังเร็ว หนทางยังไกลนัก
แต่ถ้าโยนเหตุและผลให้อนาคตที่ยาวไกลตลอดเวลาจะไม่เป็นเรื่องน่าขันหรอกหรือ
จำต้องยอมรับว่าการที่สหายมารวมตัวกันหารือชีวิตในภายภาคหน้าเป็นเรื่องงดงามอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรคนก็อยู่กับปัจจุบันตรงหน้า คุยกันว่าอีกเดี๋ยวจะไปกินข้าวดื่มสุราที่ไหนยังจับต้องได้มากกว่า
เมื่อก่อนหลี่จวิ้นชางก็ชอบจินตนาการ
จินตนาการเป็นที่พึ่งสุดท้ายของทุกคนท่ามกลางการเคี่ยวกรำจากความเป็นจริง
แต่คิดไกลเกินไปก็จะกลายเป็นความเสื่อมทรามตลอดกาล
หากคนคนหนึ่งฝากทั้งชีวิตและความรู้สึกไว้กับมโนภาพทั้งหมด เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลต้องไปโทษมันว่าอยู่ได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
เพราะคนเราไม่อาจคาดเดาว่าต่อไปชีวิตจะเป็นเช่นไร ต้องเผชิญความรู้สึกแบบไหน และอุปสรรคแบบใด
ตอนนี้จึงได้แต่เตรียมสภาวะของตนให้พร้อมรับความไม่รู้ที่กำลังมาถึง
ในเมื่อหลี่จวิ้นชางมีความปรารถนา เขาก็จะไม่รู้สึกว่าวันพรุ่งนี้งดงามไม่พอ
เขาแค่คิดว่าวันนี้ยังเต็มที่ไม่มากพอเท่านั้น
หากเข้าใกล้ความปรารถนาของตนได้วันละก้าว แล้ววันพรุ่งนี้ยังจะมีอะไรยั่วยวนใจกว่าความรู้สึกเบิกบานแท้จริงที่กุมอยู่ในมือเช่นนี้อีกเล่า
ตอนหลี่จวิ้นชางกับนายท่านจินยังเป็นเพื่อนเล่นตอนเด็กเคยสัญญากันไว้ว่าจะไปทำเรื่องมากมายให้สำเร็จ
เรื่องเหล่านี้ล้วนเกี่ยวกับอนาคตทั้งสิ้น
หารือเกี่ยวกับอนาคตต้องให้สัญญานับไม่ถ้วน
แต่คำสัญญากลับเป็นจุดเริ่มต้นของคำโกหก
เพราะไม่มีใครทำตามสัญญาได้ทั้งหมดอยู่แล้ว
เหตุที่เพลงดาบคืบศอกขอบฟ้าของหลี่จวิ้นชางพัฒนาได้อีกก้าวเป็นเพราะเขาเข้าใกล้แก่นแท้ของมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผันผ่านและอายุที่เพิ่มขึ้น
เช่นนี้ตนก็ไม่ต้องคอยปิดบังด้วยข้ออ้างจอมปลอมต่างๆ และจะไม่มีใครเสียใจเพราะทำตามสัญญาไม่ได้อีก
เหตุที่คนเราใช้ชีวิตต่อไปได้วันแล้ววันเล่า ส่วนใหญ่เป็นเพราะวันข้างหน้าล้วนเต็มไปด้วยความสดใหม่
ความสดใหม่เช่นนี้ก็คือขอบฟ้า
หากวางแผนอนาคตมากเกินไป จินตนาการไกลเกินไป กำหนดละเอียดเกินไป เช่นนั้นขอบฟ้าก็หาได้มีความเย้ายวนใจใดให้เอ่ยถึง
ก็เหมือนเกาะโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง ตอนไม่มีใครค้นพบมันต้องดึงดูดใจอย่างยิ่งเป็นแน่
เมื่อมีคนเหยียบเกาะคนแรก ความลึกลับของมันก็จะหายไปหมดสิ้น
ในความเข้าใจของหลี่จวิ้นชาง ขอบฟ้าครึ่งกระบวนท่าหลังของคืบศอกขอบฟ้าก็คือเกาะโดดเดี่ยวแห่งนี้
ด้วยการเสาะหามานานปี เกาะโดดเดี่ยวแห่งนี้ควรเผยโฉมหน้าที่แท้จริงได้แล้ว
แต่หลี่จวิ้นชางกลับไม่ยอมมองสักครั้ง
เกาะโดดเดี่ยวนามว่าขอบฟ้าของหลี่จวิ้นชางล้วนปกคลุมด้วยหมอกบางชั้นหนึ่งเสมอ
นอกจากนายท่านจินแล้ว ก็ไม่มีใครเห็นชัดว่าดาบนี้ออกอย่างไร
เพราะมันรวดเร็วเกินไป
และระยะยังสั้นเกินไป
หลี่จวิ้นชางไม่ได้ยื่นดาบแทงตรงตามหลักทั่วไปของ ‘คืบศอก’
ว่าตามหลัก แทงกระบี่ฟันดาบถึงจะเป็นวิถีที่ถูกต้อง
แต่ครึ่งกระบวนท่าแรกของคืบศอกขอบฟ้ากลับแทงออกไปเหมือนเพลงกระบี่
แทงทะลุลำคออีกฝ่ายเบาๆ ด้วยวิถีอันยอดเยี่ยม จากนั้นออกแรงปาด ชีวิตของอีกฝ่ายก็ดับสิ้นลง
แต่ครั้งนี้หลี่จวิ้นชางไม่ได้ทำเช่นนั้น
ไม่เพียงเพราะเขาไม่อยากและไม่อาจฆ่าเถ้าแก่ ที่มากกว่านั้นคือเขามองเถ้าแก่คนนี้เป็นหินลับดาบก้อนหนึ่งไปแล้ว
อยากค้นหาขีดจำกัดที่สูงขึ้นของคืบศอกขอบฟ้าในตัวเขาและการประมือครั้งนี้
เล็งตรงหน้าอกของเถ้าแก่
หน้าอกคือประตูสำคัญของร่างกายมนุษย์ ดูเหมือนเปิดออกกว้าง ที่จริงการป้องกันกลับหนาแน่นที่สุด
ผู้ฝึกกระบี่หรือมือดาบคนใดก็ตามที่มีประสบการณ์จะไม่เล็งหน้าอกของอีกฝ่ายแน่นอน
ยิ่งเป็นมือสังหารเช่นหลี่จวิ้นชางด้วยแล้ว
มือสังหารไม่เพียงโจมตีจุดไร้ปราการ ยังต้องเลือกลงมือในจุดที่บอบบางที่สุดและแปลกประหลาดที่สุด
แม้แต่เถ้าแก่เองก็ยังฉงนไม่น้อย
เขาเคยรู้ซึ้งในคืบศอกขอบฟ้าตั้งแต่สิบห้าปีก่อน
แม้สำหรับเขามันไม่ได้ควรค่าให้กังวลใจ
แต่คืบศอกขอบฟ้าในตอนนั้นห่างไกลจากความประหลาดที่หลี่จวิ้นชางจะทำออกมาตอนนี้มาก
ทว่ากลยุทธ์ทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์เมื่อเผชิญกับผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจหักล้างได้
ไม่ว่าหลี่จวิ้นชางจะใช้คืบศอกขอบฟ้าหรือไม่ หรือคืบศอกขอบฟ้านี้จะมีกลยุทธ์และอุบายมากมายเท่าไร สำหรับเขาล้วนเหมือนมดเขย่าต้นไม้
เถ้าแก่เห็นดาบของหลี่จวิ้นชางพุ่งเข้าหาหน้าอกตน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยาม
มุมปากกระตุกเล็กน้อย
คล้ายจะพูดบางอย่าง
เขายังไม่ยกกระบวยเหล็กด้ามยาวในมือ
มองปลายดาบเข้าใกล้หน้าอกของตนทีละก้าวอย่างเฉื่อยชา
ตอนเหลือระยะห่างราวผ้าโปร่งบางชั้นหนึ่ง
เถ้าแก่ยกแขนขวาขึ้น กระบวยเหล็กด้ามยาวคว่ำบนหน้าอกของเขาเหมือนถ้วยใบเล็ก
ตอนนี้เขายิ่งไม่กลัวเกรง
รอปลายดาบของหลี่จวิ้นชางแตะถึงกระบวยเหล็กด้ามยาวของตนอย่างไม่หวาดหวั่น
กระบวยเหล็กคว่ำเป็นมุมโค้งนูนขึ้นตรงกลางหน้าอก
เพียงปลายดาบแตะถึงมุมโค้งนี้เป็นต้องแฉลบไปด้านข้างเพราะไม่มีจุดส่งแรง
เมื่อปลายดาบเคลื่อนออกแล้ว ร่างทั้งร่างของหลี่จวิ้นชางย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเป็นธรรมดา
ในยามนี้เพียงเถ้าแก่พลิกกระบวยเหล็กอีกครั้ง
เขาก็จะครอบปลายดาบของหลี่จวิ้นชางไว้ในกระบวยได้ทั้งหมด
เสมือนน้ำหรือน้ำมันหยดหนึ่ง
ตราบใดที่เถ้าแก่ควบคุมได้คล่องแคล่วเหมาะสม น้ำหรือน้ำมันจะทำได้เพียงลอยหมุนวนอยู่ในกระบวยเหล็กนี้ ไม่อาจเป็นอิสระไปได้อย่างแน่นอน
จำต้องบอกว่าเถ้าแก่คิดไกลทีเดียว
และฉากนี้ก็ปรากฏตรงหน้าเขาแล้ว
แต่หลี่จวิ้นชางกลับทำให้เขาผิดหวัง…
ปลายดาบ ‘คืบศอกขอบฟ้า’ ไม่ได้แตะถึงกระบวยเหล็กที่คว่ำตรงหน้าอกเขาแม้แต่น้อย
กลับหยุดอยู่ตรงตำแหน่งเท่าผ้าโปร่งบางชั้นหนึ่งนั้น
ฉากที่เถ้าแก่จินตนาการในหัวไม่ได้เกิดขึ้น
เขาเงยหน้ามองหลี่จวิ้นชางด้วยความแปลกใจ สิ่งที่สะท้อนเข้านัยน์ตากลับเป็นใบหน้าแย้มยิ้ม
ดาบของหลี่จวิ้นชางหยุดแล้ว
แต่กระบวยเหล็กของเถ้าแก่ยังคว่ำตรงหน้าอก
คนหนึ่งหน้าฉงน อีกคนยิ้มอ่อนโยน
ทั้งสองหยุดอยู่ในท่าแปลกประหลาดเช่นนี้
คนรู้เรื่องเพียงคนเดียวที่อยู่ด้านข้างเช่นนายท่านจินก็ขมวดคิ้วมุ่น
ยามนี้ แม้แต่เขาก็เดาไม่ออกว่าหลี่จวิ้นชางคิดจะทำอะไรกันแน่
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
นายท่านจินไม่รู้ว่าคนที่นางถามคือใครก็เลยไม่ได้ตอบ
กลับเป็นเหวินฉีเหวินส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า
แม้เขาเห็นดาบเมื่อครู่ไม่ชัดและอ่านความคิดของหลี่จวิ้นชางกับเถ้าแก่ไม่ออก
แต่เขารู้ว่าสองคนนี้ไม่ตายแน่นอน
“ไม่ตาย?”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครสนใจคำถามของนางโดยสิ้นเชิง
หลังจากเหวินฉีเหวินส่ายหน้า จิตใจทั้งหมดของเขาก็จมอยู่ในการต่อสู้ของสองคนนี้
เถ้าแก่ใช้กระบวยเหล็กด้ามยาวเป็นอาวุธ เดิมนี่ก็เป็นเรื่องประหลาดพออยู่แล้ว
แต่ ‘คืบศอกขอบฟ้า’ ของตระกูลหลี่เป็นเพลงดาบอมตะที่เคยสะท้านอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
เหวินฉีเหวินก็เป็นคนใช้ดาบ
คืบศอกขอบฟ้าหายไปนานสิบห้าปี ตอนนี้ปรากฏอีกครั้งจะไม่ทำให้เขาเผลอสติได้อย่างไร
“ไม่ตาย เพียงแต่ตอนนี้มีคนหนึ่งไม่สุขใจเท่าไร!”
นายท่านจินกล่าวกะทันหัน
น้ำเสียงผ่อนคลาย
“ใครหรือ”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถามเร่งเร้า
ชัดว่าบรรยากาศตึงเครียดตรงหน้าทำให้เกิดความรู้สึกร่วม
“เจ้าคิดว่าเป็นใคร”
นายท่านจินย้อนถาม
“ข้าคิดว่าไม่สุขใจทั้งคู่…”
ชิงเสวี่ยชิงพึมพำประโยคหนึ่งเสียงเบา
“เพราะอะไร”
นายท่านจินเอ่ยถาม
คำตอบของชิงเสวี่ยชิงเหนือความคาดหมายของเขา
“เพราะคนที่มีความสุขจริงๆ จะใช้ดาบใช้หอกไปทำไม”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าวพลางมองนายท่านจิน
ประโยคนี้ทำให้เขาจมสู่ความเงียบอีกครั้ง…
ถึงขั้นมองดาบของตนโดยไม่รู้ตัว
นึกถึงตอนจับดาบครั้งแรกเพียงเพราะแซ่เขาเอง
ในฐานะคนของจวนชิงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ใช้ดาบ
เช่นนั้นคงเหมือนจู่ๆ คนเรือไปเพาะปลูก ชาวนาไปข้ามแม่น้ำ
เป็นเรื่องไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด
ไม่นึกว่าพอจับดาบนี้แล้วจะไม่วางอีกเลย
ภายหลังเหตุผลในการจับดาบก็ไม่เกี่ยวข้องกับแซ่ของนายท่านจินอีกต่อไป
แต่ทำไมดาบนี้วางไม่ลงเสียแล้ว
เป็นเพราะตัวเขาไม่มีความสุขมากพอไม่ใช่หรือ
หากมีความสุขมากพอ คงไม่มีใครอยากจับคมดาบไว้แน่นเลยสักคน
นายท่านจินพลันรู้สึกน้องสาวของตนไม่ค่อยเหมือนใคร
อาจเป็นเพราะนางประสบการณ์น้อยเกินไป ความคิดไร้เดียงสาเกินไปจึงหลุดพ้นออกมาโดยสิ้นเชิง มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างถ้วนถี่ด้วยสายตาใช้เหตุผลตามความจริง
“ถูกต้อง ทั้งคู่ล้วนมีชีวิตไม่ค่อยดีนัก
นายท่านจินกล่าวเสริมประโยคหนึ่ง
…………………………………………