ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 422 ดอกไม้งามทำหลงใหล ดวงจันทร์ชำระสะสาง-2
บทที่ 422 ดอกไม้งามทำหลงใหล ดวงจันทร์ชำระสะสาง-2
……….
สิ่งที่บันทึกไว้บนนั้นยังถือว่าเข้าเป้าถูกจุด
วิชาดาบท่าร่างของจางเจี้ยนหลงไม่นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแน่นอน
แต่เมื่อครู่อาศัยแค่การคิดวิธีรับมือศัตรูได้ในชั่วขณะนั้น ทั้งยังทำลายเพลงกระบี่พิฆาตของเสี่ยวเอ้อร์สองคนนี้ในคราวเดียวก็เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้มีความสามารถในการพลิกแพลงตามสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
“เจ้ามีค่าห้าพันตำลึง!”
นายท่านจินกล่าวกับจางเจี้ยนหลง และยังยื่นฝ่ามือทำท่าประกอบ
“ฮ่าๆ…เงินเดือนทุกปีของผู้สั่งการหัวเมืองเช่นข้ายังมีแค่ร้อยกว่าตำลึง ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมหัวใหญ่ไม่งามกับคอดำคล้ำหนาสั้นนี้ถึงมีราคาปานนี้”
จางเจี้ยนหลงกล่าวหัวเราะลั่น
“ไม่ เจ้าไม่ได้มีราคาเท่านี้ ในห้าพันตำลึงเดาว่าเป็นค่าตำแหน่งของเจ้าไปแล้วสี่พันห้าร้อยตำลึง”
เถ้าแก่ส่ายหน้ากล่าว
“ตำแหน่ง?”
จางเจี้ยนหลงขมวดคิ้วกล่าว
“ก็ตำแหน่งผู้สั่งการหัวเมืองของเจ้าอย่างไรเล่า”
เถ้าแก่กล่าว
“ไม่ว่าอย่างไรเจ้ายังมีราคาห้าพันตำลึง ตำแหน่งก็เป็นตำแหน่งของเจ้า ทำไมต้องใส่ใจขนาดนั้น”
เสี่ยวเอ้อร์สองคนเปิดปากกล่าว
“ข้าแค่นึกไม่ถึงว่าชีวิตคนจะไม่มีค่าเท่าตำแหน่งจริงๆ”
จางเจี้ยนหลงกล่าวพลางเงยหน้ามองฟ้า
ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างนัก
แต่ดวงอาทิตย์สีแดงสดนั้นยังไม่ลอยขึ้นมา
คนในหมู่บ้านก็ค่อยๆ ตื่นตามเสียงไก่ขันสุนัขเห่า
โดยเฉพาะไก่ขัน เสียงดังติดกันเป็นระยะ
คล้ายกำลังร้องเรียกพลังไร้รูปมาผลักประตูที่ถูกราตรีมืดมิดกักขังในตอนแรกให้เปิดออก
ฉับพลันกลิ่นดอกไม้ไร้ที่มาเจือจางหมอกฝนยามเช้าและแต่งแต้มด้วยแสงสว่างทีละนิด
เมฆทอแสงกลุ่มนั้นรวมเป็นผืนเดียวกันในที่สุด ขอบเขตก็ขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุดทีละชั้น
“ฟ้าสว่างแล้ว!”
เถ้าแก่กล่าวกะทันหัน
“ข้าไม่ชอบฟ้าสว่าง…”
เถ้าแก่กล่าวต่อ
จากนั้นโบกกระบวยเหล็กด้ามยาวในมือเบาๆ
ในกระบวยหนนี้ไม่ได้สาดน้ำแกงอะไรออกมา
แต่กลับทำให้สถานที่ที่ทุกคนอยู่หวนสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
ความสามารถนี้ทำให้นายท่านจินตกใจหน้าถอดสีอย่างห้ามไม่อยู่…
เขาคิดไม่ถึงอย่างยิ่งว่าจะมีคนพลิกฟ้ากลับดินให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สลับกันได้จริง
กลุ่มคนมองไปด้านข้าง
เหมือนตัวเองกำลังถูกเปลือกสีดำหนาแน่นปกคลุม
โลกภายนอกเปลือกยังอยู่พร้อมแสงอาทิตย์ยามเช้า สุขสงบถ้วนทั่ว
แต่ในเปลือกกลับเป็นพายุฝนคาวเลือดที่ไม่มีใครรู้
นายท่านจินมองไปยังหลี่จวิ้นชาง
เห็นเขาเงยหน้าเหม่อมองเพดานมืดมิด
โดยเฉพาะตอนเขาถามถึงกลิ่นในห้องปิ้งย่างนั้น
ความผิดปกติเช่นนี้อย่างไรก็ปิดไม่มิด
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
นายท่านจินเอ่ยถามเบาๆ
หลี่จวิ้นชางได้ยินแล้วขยับกายเล็กน้อย แต่สุดท้ายยังยืนนิ่งเงียบอยู่ที่เดิม
ยามนี้เถ้าแก่กลับยื่นสมุดเล่มบางในมือให้นายท่านจิน
นายท่านจินเห็นมืออีกฝ่ายจู่โจมเข้ามา แม้ความเร็วเชื่องช้า แต่เขาก็ไม่กล้าประมาท
รีบจัดร่างกาย เท้าขวาถอยหลังก้าวหนึ่ง
ท่าทางในตอนนี้ทำให้เขาถอยหลังป้องกันตัวและเดินหน้าเข้าปะทะได้
เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าทำไมเถ้าแก่ต้องยื่นสมุดเล่มบางนี้ให้ตน
เถ้าแก่ยื่นมือมาครึ่งหนึ่งก็ปล่อยออก
‘แปะ’
สมุดเล่มบางในมือร่วงลงบนโต๊ะคิดเงิน ส่งเสียงใสกังวาน
ระหว่างสงสัย นายท่านจินเพียงรู้สึกสีแดงสดฉายเข้าหางตา
หันไปมองพบว่ามาจากหน้าหนึ่งของสมุดเล่มบางที่กางออก
บนหน้านี้มีวงกลมวาดด้วยชาดแดงวงหนึ่ง
ในวงกลมเป็นชื่อของนายท่านจิน
ไม่มีคำแนะนำใด เพียงเขียนไว้ว่า ‘หนึ่งแสนตำลึง’
“จึๆๆ…”
นายท่านจินเห็นแล้วอดทำเสียงประหลาดใจไม่ได้
เถ้าแก่เอ่ยถาม
“เปล่า…เยอะต่างหาก! เยอะเกินไปด้วย!”
นายท่านจินกล่าว
“การรู้จักตัวเองเป็นเรื่องดี แต่ถ้าถ่อมตนเกินไปก็เป็นการอวดดีแล้ว”
เถ้าแก่กล่าว
นายท่านจินพยักหน้า
ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับคำแก้ของเถ้าแก่อย่างยิ่ง
ข้างหูมีเสียงโลหะกระทบกันช่วงหนึ่ง
เสี่ยวเอ้อร์สองคนนั้นพุ่งตัวเข้ามาตะลุมบอนกับผู้สั่งการหัวเมืองจางเจี้ยนหลงอีกครั้ง
ดูท่าสองคนนี้ตั้งใจจะเอาห้าพันตำลึงให้ได้
“ข้ารู้กฎของพวกเจ้า ดังนั้นเจ้าคงไม่บอกข้าว่าใครจ่ายเงินหนึ่งแสนตำลึงจ้างเจ้าสังหารข้า”
นายท่านจินกล่าว
ประโยคนี้กล่าวได้น่าสนใจนัก
หากนายท่านจินรู้กฎจริง แล้วเหตุใดยังต้องพูดออกมา
เรื่องอย่างกฎเกณฑ์นี้ตัวเองรู้อยู่ในใจก็พอ
พูดออกมาไม่มีประโยชน์เลยสักนิด
นายท่านจินเป็นคนฉลาด
แต่เขายังคงพูดออกมาแล้ว
ความหมายแฝงในนั้นทำให้คนต้องครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง…
“ไม่ถามเจ้าก็น่าจะคิดได้”
นายท่านจินนิ่งงัน จากนั้นก็พยักหน้ายิ้ม
เขารู้แล้วว่าเป็นใคร
“ข้าไม่ได้เป็นคนบอกเจ้า ดังนั้นข้าไม่ได้ทำผิดกฎ”
เถ้าแก่กล่าว
“ไม่ผิดแน่นอน เช่นนั้นก็ลงมือเถิด!”
นายท่านจินพูดจบถีบโต๊ะคิดเงินพังในขาเดียว
เถ้าแก่กอดหม้อใบหนึ่งพร้อมถือกระบวยเหล็กด้ามยาวลอยตัวออกจากโต๊ะคิดเงิน
นายท่านจินหมุนตัวกลับ มือก็กดไว้บนด้ามดาบ
ตอนกำลังชักดาบออกฝักพลันถูกอีกมือหนึ่งกดไว้แน่น
นายท่านจินเงยหน้ามอง กลับเป็นหลี่จวิ้นชาง
“สิบห้าปีก่อนตระกูลหลี่แห่งรัฐหงถูกฆ่ายกครัว เจ้าอยู่ในเหตุการณ์หรือไม่”
นัยน์ตาหลี่จวิ้นชางมองตรงไปยังเถ้าแก่พลางเอ่ยถาม
“ที่แท้ตอนนั้นยังมีปลาหลุดจากแห!”
เถ้าแก่ได้ยินคำของหลี่จวิ้นชางแล้วขมวดคิ้วจ้องมองเขาครู่หนึ่ง จากนั้นคลายสีหน้ากล่าว
“เจ้าอยู่ในเหตุการณ์หรือไม่”
หลี่จวิ้นชางกล่าวเน้นทีละคำ
คำพูดเมื่อครู่ของเถ้าแก่ยืนยันแล้วว่าวันนั้นตนอยู่ในเหตุการณ์จริง
แต่หลี่จวิ้นชางยังคงรั้นถามซ้ำอีกรอบ
เขาแค่อยากได้คำตอบแท้จริงจากปากเถ้าแก่ผู้นี้
“อยู่ แต่แล้วอย่างไรเล่า”
ไม่ใส่ใจคำถามของหลี่จวิ้นชางแม้แต่น้อย
“นี่หมายความว่าอะไร”
นายท่านจินเอ่ยถาม
พร้อมคิดจะเลื่อนมือหลี่จวิ้นชางออก
แต่มือหลี่จวิ้นชางกลับครอบไว้เหมือนกรงเล็บเหยี่ยว
“ตอนนั้น คืนนั้น ข้าก็ได้กลิ่นหอมเนื้อย่างนี้เหมือนกัน เหมือนกลิ่นที่ลอยออกจากห้องปิ้งย่างก่อนหน้านี้ไม่มีผิด”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
นายท่านจินถึงได้เข้าใจ ที่แท้หลี่จวิ้นชางมีท่าทีแปลกๆ เพราะเขาพบคนในเหตุการณ์ฆ่าล้างตระกูลหลี่จากกลิ่นหอมของเนื้อย่าง
“ทุกสิ่งที่เหลือล้วนสะอาดหมดจด มีเพียงกลิ่นหอมเนื้อย่างผสมกลิ่นคาวเลือดที่ยังอยู่ ภายหลังข้าถึงกับไปตามหากลิ่นในความทรงจำนี้ที่เขตอันตงอ๋องโดยไม่กลัวว่าไกลเพียงใด ข้าตระเวนกินร้านเนื้อย่างทุกร้านของที่นั่นหมดแล้ว ในเวลาต่อมาถึงขั้นได้ยินคำว่าเนื้อย่าง ข้าก็จะพะอืดพะอมคลื่นเหียนอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ไม่ว่ากินกี่ร้าน ไปถนนกี่สาย กลิ่นเนื้อย่างเหล่านั้นล้วนไม่ตรงกับความทรงจำของข้าเลย”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“ยากมีคนหลงใหลเช่นนี้…สิบกว่าปีแล้วยังจำเนื้อย่างข้าไม่ลืม”
เถ้าแก่กล่าว
พลันยกกระบวยเหล็กด้ามยาวในมือตักขาเป็ดชิ้นหนึ่งมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน
เถ้าแก่ยื่นขาเป็ดชิ้นนี้ไปข้างหน้า หลี่จวิ้นชางก็หยิบมาวางที่ริมฝีปากใต้จมูกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“อย่ากิน!”
นายท่านจินยังไม่ทันห้ามไว้ หลี่จวิ้นชางก็เริ่มกัดฉีกคำใหญ่
คำแรกยังนับว่าปกติ…
แต่หลังจากคำที่สองที่สามลงท้องติดกัน นัยน์ตาของหลี่จวิ้นชางเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ
น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลพรากบนขาเป็ด ทว่าเขากินเข้าไปด้วย
เนื้อย่างหอมหวานเหนียวนุ่มในตอนแรกจึงมีรสเค็มเล็กน้อย
“วางใจ ไม่มีพิษ”
เถ้าแก่กล่าว
“กลิ่นนี้ละ!”
หลี่จวิ้นชางกินขาเป็ดทั้งชิ้นหมดอย่างว่องไวแล้วสูดดมกระดูกอยู่ใต้จมูกพลางกล่าว
เถ้าแก่ฟังแล้วยักไหล่
ถือว่าให้คำตอบเขาแล้ว
“บอกข้ามา วันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ประโยคนี้หลี่จวิ้นชางแทบแผดเสียงต่ำคำรามออกมา
“สหายเจ้าเข้าใจกฎเกณฑ์ขนาดนั้น ทำไมถึงตาเจ้ากลับกลายเป็นไม่รู้เรื่องเช่นนี้ ดูท่าเจ้ายังต้องสอนเขาอีกมากนะ!”
เถ้าแก่กล่าวกับนายท่านจิน
“กฎเกณฑ์ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล อีกอย่างกฎเกณฑ์นี้จะไม่เกิดหากไม่ทำลายของเก่า”
นายท่านจินกล่าว
เรื่องถึงตรงนี้ แน่นอนว่าเขาต้องยืนหยัดอยู่ข้างเดียวกับหลี่จวิ้นชาง
ยิ่งกว่านั้นเขายังสนใจเรื่องตระกูลหลี่พังพินาศในคืนเดียวเมื่อสิบห้าปีก่อนเป็นอย่างมาก
อย่างไรเสียหากอำนาจชั่วร้ายนั้นสามารถทำลายตระกูลหลี่จนย่อยยับ เช่นนั้นมันก็ทำลายจวนชิงให้พังพินาศได้เหมือนกัน
แม้บอกว่าตอนนี้นายท่านจินไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของจวนชิง
แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นบ้านของเขา
ยังมีบิดาของเขาอยู่ในบ้าน
แล้วจะตัดขาดอย่างสิ้นเชิงได้อย่างไร
“เดี๋ยวนะ ข้ารู้สึกคุ้นดาบเล่มนี้ของเจ้าอยู่เหมือนกัน!”
เถ้าแก่มองดาบพกตรงเอวหลี่จวิ้นชางพลางกล่าว
“หรือว่าเป็น ‘คืบศอกขอบฟ้า’ เล่มนั้นที่ตระกูลหลี่ยกเป็นของล้ำค่าในตอนแรก”
เถ้าแก่เอ่ยถามต่อ
หลี่จวิ้นชางพยักหน้าทื่อๆ
“น่าสนใจๆ…เดิมข้ามาเพื่อร่ำรวย แต่กลับเจอคนอยากแก้แค้นเช่นเจ้า! เรามาหารือกันได้หรือไม่”
เถ้าแก่กล่าว
“หารืออะไร”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถาม
“เจ้าห้ามขวางเส้นทางรวยของข้า และข้าก็จะไม่ขัดขวางเจ้าแก้แค้น”
เถ้าแก่กล่าว
“ข้าต้องทำเช่นไรถึงนับว่าไม่ขวางเส้นทางรวยของเจ้า”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถาม
“เจ้าห้ามสอดมือตอนข้าสังหารเขา เขาคือเส้นทางรวยของข้า”
เถ้าแก่กล่าวพลางชี้นายท่านจิน
“หลังจากนั้น?”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถามอย่างเฉยชา
ตอนนี้สมองเขาหยุดคิดใคร่ครวญแล้ว
“หลังจากนั้นเจ้าอยากแก้แค้นก็แก้แค้นให้เต็มที่ ส่วนเกิดอะไรขึ้นกันแน่…หากเจ้าได้แก้แค้นครั้งใหญ่ ยังต้องสนใจเรื่องในอดีตเหล่านั้นด้วยหรือ”
เถ้าแก่กล่าว
หลี่จวิ้นชางนิ่งเงียบ…
จากนั้นเงยหน้ามองนายท่านจิน
และส่ายหน้าให้เถ้าแก่พลางกล่าว
“เขาเป็นสหายข้า การหารือนี้คงไม่สำเร็จ”
“เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า!”
เถ้าแก่กล่าว
หมุนกระบวยเหล็กด้ามยาวในมือไม่เว้นวาง พุ่งเข้าใส่นายท่านจินกับหลี่จวิ้นชาง
กลิ่นหอมเนื้อย่างลอยล่องกระจายทั่วทิศตามการกวัดแกว่งของกระบวยเหล็กด้ามยาวอย่างต่อเนื่อง
นายท่านจินสูดกลิ่นหอมนี้เข้าทางจมูกลงปอด พลันรู้สึกฝ่าเท้าตนเบาหวิว
กระทั่งยืนยังทรงตัวไม่อยู่…เริ่มโอนเอนซ้ายขวาเล็กน้อย
“กลั้นหายใจ!”
เสียงหลี่จวิ้นชางดังทอดมา
นายท่านจินจึงได้สติสองสามส่วน
…………………………………………