ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 420 ยังคงมีกลิ่นอายเดิม-2
บทที่ 420 ยังคงมีกลิ่นอายเดิม-2
……….
“พี่ชิง ล้วนเป็นพวกเดียวกันทั้งนั้น ท่านว่าเราหยุดพักและหาอะไรรองท้องกันหน่อยดีหรือไม่”
นายท่านจินพยักหน้า
และหลี่จวิ้นชางก็ลงจากม้าพร้อมกัน
แม้ว่าคำพูดดูเหมือนจะขอความเห็นจากนายท่านจิน แต่ที่จริงทุกอย่างเตรียมการไว้พร้อมแล้ว
ทำให้นายท่านจินรู้สึกสบายใจ และเหวินฉีเหวินก็สามารถรักษาศักดิ์ศรีของตนในฐานะคุณชายของผู้ควบคุมรัฐได้
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความคิดที่หยาบกระด้างของจางเจี้ยนหลงย่อมไม่สามารถเข้าใจประเด็นที่ลึกซึ้งได้
“ทุกคนลำบากมาไม่น้อย ข้าจะซื้อสุราและเนื้อเล็กน้อยให้ไปแจกจ่ายกัน เพื่อแสดงความขอบใจที่ทำงานหนักเล็กๆ น้อยๆ แต่อย่าดื่มจนเมาละ! ไม่เพียงจะทำให้งานของพวกเจ้าล่าช้า ข้าก็อาจโดนท่านพ่อตำหนิด้วย”
เหวินฉีเหวินกล่าว
เขาและจางเจี้ยนหลงยืนอยู่หน้าสุด
“เอ่อ…ไม่กล้ารับความเมตตาของคุณชายที่เสียเงินมากมายเช่นนี้หรอกขอรับ!”
จางเจี้ยนหลงเมื่อได้ยินก็ปฏิเสธทันที
เขาพอรู้มารยาทพื้นฐานเช่นนี้อยู่บ้าง
อย่างไรก็ปฏิเสธไว้ก่อนจึงจะดี
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรจะรับอย่างไม่ละอายใจ
“ไม่เป็นไรๆ ถือเสียว่าบิดาข้ามาปลอบขวัญทุกคนแล้วกัน! และบังเอิญ!”
เหวินฉีเหวินกล่าวพลางโบกมือไม่หยุด
จางเจี้ยนหลงเห็นว่าคุณชายไม่ได้ทำพอเป็นมารยาท แต่มีความตั้งใจจริงจึงได้แต่พยักหน้ายอมรับ
หากปฏิเสธอีกก็เท่ากับไม่เคารพศักดิ์ศรีของคุณชาย
เขารู้ดีว่าเหล่าคนที่มีสถานะเช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาใส่ใจมากที่สุดคือ ‘ศักดิ์ศรี’ ของตัวเอง
อาหารไม่ต้องกินก็ได้ และเงินอาจจะไม่ต้องการ แต่เกียรติของพวกเขาไม่สามารถเสียไปได้แม้แต่น้อย
“ที่นี่มีสิ่งใดแปลกๆ หรือไม่”
เหวินฉีเหวินถาม
อันที่จริงเขาไม่สนใจเลยว่าที่นี่จะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่
แต่หากเขาไม่ถามสักหน่อยก็จะดูเจตนามากเกินไป
จางเจี้ยนหลงอาจไม่คิดอะไรมาก แต่ใครจะรู้ว่าทหารใต้บังคับบัญชาของเขาจะมีคนฉลาดหลักแหลมหรือไม่
ในเมื่อตนบอกว่าออกมาผ่อนคลาย หากมีสิ่งผิดปกติ การถามไถ่เพิ่มเติมก็สมเหตุสมผล
“เรียนคุณชาย ที่นี่สงบสุขอย่างยิ่ง ทุกคนล้วนเป็นชาวบ้านที่ดีขอรับ”
จางเจี้ยนหลงกล่าว
“ตอนนี้ในหมู่บ้านมีร้านไหนเปิดบ้างหรือไม่ พวกเราเดินทางมาทั้งคืน รู้สึกหิวและกระหายน้ำไม่น้อย”
เหวินฉีเหวินถาม
“ตอนนี้…คงมีแค่ร้านเดียวที่เปิดอยู่ขอรับ”
จางเจี้ยนหลงคิดครู่หนึ่งแล้วตอบ
“จะว่าไปแล้วก็ต้องโทษตัวข้าด้วย…ก่อนหน้านี้น้องชิงเห็นกวางหนึ่งตัว ข้าก็คิดจะล่ามาให้นาง คิดไม่ถึงว่ากวางตัวนั้นจะเป็นอสูรที่ใกล้จะมีสติปัญญา ไม่เพียงมีท่าทางการวิ่งที่รวดเร็วยิ่ง แต่ยังซับซ้อนและหลักแหลม พวกเราตามมันอยู่นานหลายชั่วยาม แต่ก็ไม่มีโอกาสให้ง้างธนูเลย…สุดท้ายก็เสียเวลาไปมากมายโดยไม่รู้ตัว…ช่างน่าอายยิ่งนัก!”
เหวินฉีเหวินกล่าวเหน็บแนมตัวเอง
เขาสังเกตเห็นว่ามีนายทหารผู้ช่วยคนหนึ่งของจางเจี้ยนหลงขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังจากได้ยินว่าตนเดินทางมาทั้งคืน
แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วขณะ แต่สายตาที่แหลมคมของเขาก็สังเกตเห็นได้
เรื่องเช่นนี้ไม่สามารถมองข้ามได้
ความสงสัยเล็กน้อยก็เหมือนเมล็ดพืชที่ร่วงหล่นลงบนพื้นดินในต้นฤดูใบไม้ผลิ เมล็ดพืชเหล่านั้นอาจถูกฝนที่ตกลงมาทำให้เน่าเปื่อย หรือไม่ก็อาจเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่
วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือการขุดมันออกมาให้หมดแล้วโยนทิ้งไป
ทุกคนในรัฐหงรู้ว่าคุณชายท่านนี้มีใจให้กับคุณหนูชิงเสวี่ยชิงจากจวนชิงเพียงผู้เดียว ผู้ควบคุมรัฐหงและจวนชิงก็มีข้อตกลงในการหมั้นหมายกันตั้งแต่ทั้งคู่ยังไม่เกิด
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครไม่เชื่อคำพูดของเหวินฉีเหวิน
หลังจากนายทหารผู้ช่วยผู้นั้นฟังจบ สีหน้าของเขาก็กลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง
“ร้านอะไรหรือถึงเปิดเช้าเพียงนี้”
เหวินฉีเหวินถาม
“เป็นร้านขายเนื้อย่างขอรับ”
จางเจี้ยนหลงตอบ
นี่ก็แปลกยิ่งนัก…
เนื้อย่างไม่ได้รับความนิยมมากนักในทางพายัพ
กลับกัน มันเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ชายฝั่งทะเลในอาณาจักรอันตงอ๋อง
การขายเนื้อย่างในที่แห่งนี้จะมีลูกค้าหรือไม่
ไม่เพียงแต่เหวินฉีเหวินที่สงสัย นายท่านจินและหลี่จวิ้นชางที่ได้ยินก็ประหลาดใจเช่นกัน
เมื่อทุกคนเดินมาถึงประตูร้านเนื้อย่างที่จางเจี้ยนหลงพูดถึง ก็เห็นว่าเถ้าแก่กับเสี่ยวเอ้อร์อีกสองคนกำลังยุ่งอยู่
เห็นเพียงเสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งกำลังกดเนื้อหมูที่หนักประมาณสองถึงสามจินด้วยมือ ใช้ไฟเผาแล้วก็ดึงขนหมูออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นวางมีดลงและหยิบเหล็กปลายแหลมไปจิ้มๆ บนหนังหมู
ชิงเสวี่ยชิงก็เบียดขึ้นมาดูอยู่ด้านหน้าสุด
นางเคยกินเนื้อย่าง แต่ไม่เคยเห็นวิธีทำมาก่อน
หลังจากเสี่ยวเอ้อร์จิ้มเสร็จก็พลิกเนื้อกลับด้าน หยิบมีดขึ้นมาอีกครั้งและใช้มีดตัดเส้นขนานสองสามเส้นบนผิวหมู จากนั้นทาเครื่องปรุงรสลงบนเนื้อ
ชิงเสวี่ยชิงถาม
เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นช้อนตาขึ้นมองช้าๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
“น้องชิง แต่ละร้านมีเครื่องปรุงพิเศษของตัวเอง เป็นสูตรลับที่ไม่สามารถเผยแพร่ได้ ไม่เช่นนั้นคนอื่นได้ยินเข้าแล้วจะไม่ดีเอา…ผู้ทำอาชีพนี้ต้องพึ่งพาทักษะของตัวเองเพื่อหากิน”
เหวินฉีเหวินกระซิบบอกชิงเสวี่ยชิง
เสี่ยวเอ้อร์ทาเครื่องปรุงรสบนเนื้อจนทั่วแล้วก็โยนลงไปหมักในอ่างใหญ่ข้างๆ
“เถ้าแก่ ตอนนี้มีสินค้าสำเร็จรูปหรือไม่”
จางเจี้ยนหลงเคาะโต๊ะคิดเงินแล้วถาม
“ไม่มี”
เถ้าแก่ยืนหันหลังให้โต๊ะคิดเงิน มือถือกระบวยเหล็กด้ามยาวคนหม้อไม่หยุด
“ต้องรออีกนานหรือไม่”
เหวินฉีเหวินถาม
“ยังต้องรออีกนาน!”
เถ้าแก่ตอบ
ท่าทางเริ่มหมดความอดทน
แต่เขาพูดด้วยภาษาท้องถิ่นของชายฝั่งทะเล ทุกคนก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจ
ฟังออกสามส่วน ต้องเดาอีกเจ็ดส่วน ก็ไม่รู้ว่าน้ำเสียงของเขาเป็นอย่างไรกันแน่
“คุณชายอย่าใส่ใจเลยนะขอรับ…”
จางเจี้ยนหลงดึงเหวินฉีเหวินไปข้างๆ แล้วพูด
“ใส่ใจอะไรหรือ”
เหวินฉีเหวินแกล้งตกใจเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของจางเจี้ยนหลงจริงๆ
“เถ้าแก่ผู้นี้มาจากอาณาจักรอันตงอ๋อง เพิ่งอพยพมาที่เมืองนี้ไม่กี่เดือน ว่ากันว่าเขายังไม่แต่งงาน ติดสุราและการพนัน…ก็เลยไม่มีใครอยากให้ลูกสาวไปเป็นภรรยาเขา แต่เขาก็มีความสามารถในการย่างเนื้อโดดเด่นอย่างยิ่ง มีร้านที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แม้เขาจะไม่ค่อยขยันก็ยังเพียงพอที่จะดำรงชีวิตได้ขอรับ”
จางเจี้ยนหลงกล่าว
“แล้วเหตุใดเขาถึงต้องออกจากบ้านเกิด ไม่สนใจความยากลำบากเดินทางมาไกลถึงที่นี่ล่ะ”
เหวินฉีเหวินถาม
ไม่มีใครที่จะไม่มีความรู้สึกต่อบ้านเกิดของตัวเอง
และความรู้สึกนั้นมักจะเป็น ‘ความเศร้าโศก’
ความเศร้าโศกเป็นความรู้สึกที่อยู่ระหว่างความเจ็บปวดและการยอมจำนน
ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นเจ็บปวด และก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ
คำว่า ‘คิดถึงบ้าน’ ทุกคนต่างก็เคยได้ยิน
เหวินฉีเหวินก็เช่นกัน
แต่เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดความคิดถึงบ้านจึงมักมาพร้อมกับความเศร้าโศก
ในหนังสือที่เขาอ่านมา บรรดากวีมักใช้สุราคลายความกลัดกลุ้มและบรรเทาความเศร้าโศก
ต่อมา เมื่อเขาถามบิดาจึงได้รู้ว่าความเศร้าโศกนั้น แท้จริงแล้วเป็นความไม่ชินและไม่คุ้นเคยเท่านั้น
หากพูดตรงๆ อาจจะไม่มีอะไรลึกซึ้งมากมายนัก
“ที่นี่กับอาณาจักรอันตงอ๋องแตกต่างกันมากหรือไม่”
ชิงเสวี่ยชิงถาม
สตรีมักจะอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเสมอ
“อย่างน้อยบ้านเกิดของข้าไม่เคยมีหิมะตก”
หลังจากได้ยินเถ้าแก่ก็หยุดชะงักเล็กน้อยแล้วตอบ
ในความทรงจำของนาง ฤดูหนาวของรัฐหง แม้แต่ทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดที่สีแดงฉานก็ยังถูกหิมะขาวโพลนปกคลุม
“ชินกับรสชาติของเนื้อย่างที่บ้านแล้ว จึงยังไม่ชินกับแกงเนื้อน้ำใสที่นี่เท่าไร…”
เถ้าแก่หยุดมือจากงานที่ทำอยู่และมองไปข้างหน้าก่อนจะพูดต่อ
“แล้วเหตุใดไม่กลับไปเล่า”
ชิงเสวี่ยชิงถาม
“ตอนนี้กินไม่ได้แล้ว!”
เถ้าแก่ตอบ
ฟังจากน้ำเสียง ดูเหมือนเขาจะหัวเราะเบาๆ…
หลังจากพูดจบก็เริ่มคนกระบวยเหล็กด้ามยาวในมืออีกครั้ง
นายท่านจินและหลี่จวิ้นชางเดินอ้อมมาข้างๆ ร้าน
พวกเขาต่างเห็นว่าจริงๆ แล้วร้านนี้ไม่ใหญ่
แม้แต่ที่นั่งสำหรับนั่งทานก็ไม่มี ต้องซื้อที่โต๊ะคิดเงินและนำกลับบ้านเท่านั้น
ผนังด้านข้างตอกตะปูเพื่อห้อยกระดาษที่ทาน้ำมันหนาๆ ด้วยเชือกสีแดงเส้นเล็กๆ
ดูเหมือนว่าเอาไว้ใช้ห่อเนื้อย่าง
ดูๆ แล้วร้านนี้มีไม่เกินสามห้อง
ห้องแรกสุดคือโต๊ะคิดเงิน ต่อจากโต๊ะคิดเงินคือครัว
ห้องสุดท้ายคงเป็นที่เถ้าแก่นอน
ด้านหลังสุดยังมีส่วนที่ยื่นออกมา น่าจะต่อเติมเพิ่มในภายหลัง
ขณะนี้กลิ่นหอมอบอวลออกมาจากข้างใน นายท่านจินเข้าไปดมกลิ่นใกล้ๆ แล้วก็ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่หลายครั้ง
แต่หลี่จวิ้นชางที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับขมวดคิ้วเป็นปม…
“เป็นอะไรหรือ หรือว่าเจ้าไม่หิว”
นายท่านจินตบที่ไหล่หลี่จวิ้นชางและถาม
ที่จริงแล้วนายท่านจินเองก็ไม่หิว…
ด้วยขั้นพลังยุทธ์ของเขา ต่อให้ไม่ทานอาหารหลายวันก็ไม่เป็นไร
แต่กลิ่นหอมที่โชยมานี้ เขาก็ยากจะห้ามใจได้
“ไม่หรอก แค่กลิ่นนี้……”
หลี่จวิ้นชางอึกอัก
ความทรงจำของคนเราไม่ได้มีเพียงแค่ภาพเท่านั้น
หลายครั้งเมื่อได้ยินเพลงที่คุ้นเคย ก็มักทำให้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีต
กลิ่นก็เช่นเดียวกัน
กลิ่นที่ได้กลิ่นขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ อาจจำบางสิ่งที่เคยลืมเลือนไปในความทรงจำได้
“กลิ่นทำไมหรือ”
นายท่านจินถาม
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่หอมมาก!”
หลี่จวิ้นชางตอบ
พูดจบก็ยังฉีกยิ้ม
แต่นายท่านจินกลับหัวเราะออกมา และตบไหล่หลี่จวิ้นชางอีกครั้ง พร้อมกับหยอกล้อว่าเขายังไม่มีศักดิ์ศรีเท่าตนเอง
พริบตาต่อมา นายท่านจินกลับจับจ้องไปยังห้องที่ต่อเติมนั้น
“เถ้าแก่ นั่นเป็นที่ที่ใช้ย่างหรือ”
นายท่านจินถาม
“ใช่”
เถ้าแก่ตอบ
“เจ้าแพ้พนันไปเท่าไรถึงต้องเดินทางมาไกลจนเกือบจะข้ามทั้งอาณาจักรห้าอ๋องขนาดนี้!”
นายท่านจินพิงโต๊ะคิดเงิน ถามอย่างสบายๆ
“คนที่ชอบพนัน ไม่จำเป็นต้องแพ้พนันเงินทุกคนหรอก”
เถ้าแก่ชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบ
แต่เขาก็ไม่ได้หันกลับมา
กระบวยเหล็กด้ามยาวในมือของเขายังคงคนไปมาอย่างไม่รีบร้อน
“มีคำกล่าวว่าพนันสิบกลโกงเก้า คนที่ชอบพนันถ้าไม่เสียเงิน เช่นนั้นแสดงว่าเถ้าแก่มีฝีมือ ‘หลอกลวง’ ที่เยี่ยมยอดยิ่ง!”
นายท่านจินพูดขึ้น
เหวินฉีเหวินและชิงเสวี่ยชิงมองหน้ากัน ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเหตุใดนายท่านจินถึงจงใจเย้าแหย่เถ้าแก่ขึ้นมากะทันหัน
หลี่จวิ้นชางยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ
ก้มหน้าต่ำ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ลูกค้าท่านนี้มาซื้อเนื้อย่างหรือมาพนันกับข้ากันแน่”
เถ้าแก่ถาม
“ซื้อเนื้อย่างกับเล่นพนันขัดกันหรือ”
นายท่านจินถามกลับ
“ไม่ขัด…แต่คนตายกินเนื้อย่างไม่ได้ และคนตายก็ไม่สามารถเขย่าลูกเต๋าได้เช่นกัน”
เถ้าแก่ตอบ
…………………………………………………