ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 398 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-7
บทที่ 398 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-7
……….
เมื่อทุกคนเห็นเจ้าหมิงหยิบตั๋วเงินปึกหนาเช่นนี้ออกมาก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาในทันใด
ออกเดินทางไปข้างนอก ห้ามแพร่งพรายเรื่องเงินทอง นี่เป็นหลักการและกฎเกณฑ์พื้นฐาน
เจ้าหมิงหมิงทำตัวโฉ่งฉ่างเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะมีคนคอยหนุนหลังจึงไม่ต้องเกรงกลัวใดๆ ก็ต้องเป็นคนโง่ที่ไร้รอยหยักในสมอง
ปัญญาชนหนุ่มที่เข้าไปสนทนาด้วยผู้นั้นเห็นภาพตรงหน้าก็รู้ตัวว่าตนไม่มีสิทธิ์จะพูดอีกแล้ว
หากจะอยู่ให้ขัดเขินต่อไป ไม่สู้อาศัยจังหวะนี้รีบเดินจากไปจะดีกว่า
“บะหมี่อร่อยหรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงถาม
ก่อนหน้านี้นางแค่ตั้งใจกินเต้าหู้ของตน
แต่ข้างหูกลับมีเสียงดูดเส้นบะหมี่ดังมาเป็นระยะๆ ทำให้นางเริ่มอยากกินบ้าง
“คุณหนู อร่อยเจ้าค่ะ!”
แก้มสองข้างของเกาลัดคั่วน้ำตาลป่องพอง
คำพูดนี้เล็ดลอดออกมาตามไรฟัน
กินอาหารในสถานที่เช่นนี้ ไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องรสชาติ
กินอิ่มเป็นหลัก ราคาถูกเป็นรอง
พูดให้เข้าใจง่ายก็คือถูกและคุ้ม
บะหมี่เต้าหู้ใส่อยู่ในชามดินเผาหยาบๆ ใบใหญ่
ใหญ่พอที่จะใส่ใบหน้าของเกาลัดคั่วน้ำตาลลงไปได้
ด้วยเหตุนี้ แม้นางจะก้มหน้าก้มตากินไปมากแล้วก็ยังไม่เห็นว่าบะหมี่ในชามจะน้อยลงแต่อย่างใด….
‘อร่อยเพียงนั้นเชียวหรือ’
“คุณหนู ท่านจะลองชิมสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลสัมผัสได้ถึงสายตาของเจ้าหมิงหมิง จึงผลักชามบะหมี่ไปทางนางแล้วเอ่ยถาม
อาหารที่ไม่พิถีพิถันเช่นนี้
บะหมี่แสนเรียบง่ายนี้
หากไปอยู่บนเขาเรียงรัน เจ้าหมิงหมิงจะไม่แม้แต่ปรายตามอง
เกาลัดคั่วน้ำตาลติดตามเจ้าหมิงหมิงมานานจึงคุ้นเคยกับการกินดีอยู่ดีไปด้วย
เมื่อเจ้าหมิงหมิงเห็นว่าแม้แต่เกาลัดคั่วน้ำตาลก็ยังชมบะหมี่เต้าหู้เพียงนี้ ใจนางก็เริ่มหวั่นไหวขึ้นมาเช่นกัน
ท้ายที่สุดจึงเอื้อมตะเกียบในมือไปคีบเส้นบะหมี่ใส่ปาก
“จริงด้วย…อร่อยยิ่งนัก”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
ฝีมือของเหล่าหลี่เจ้าของแผงก็ไม่ได้ย่ำแย่จริงๆ แต่ว่ากันตามตรงก็ยังไม่คู่ควรกับคำชมเช่นนี้ของเจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาล
ความจริงแล้ว พวกนางทั้งสองแค่ไม่เคยกินอาหารชนิดนี้มาก่อนจึงรู้สึกว่าแปลกใหม่ก็เท่านั้น
“เอามาอีกชามหนึ่งได้หรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงบอกกับเหล่าหลี่เจ้าของแผง
“ตกลงขอรับ ท่านรอสักครู่!”
เหล่าหลี่เจ้าของแผงหันหน้ามาตอบรับคำหนึ่ง
จากนั้นก็เตรียมเอาบะหมี่ลงลวก
“คุณหนูก็รู้สึกว่าอร่อยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“มันช่าง…แปลกใหม่จริงๆ!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
ทั้งๆ ที่เป็นเพียงบะหมี่เต้าหู้แสนธรรมดาและไม่ใช่อาหารที่มีเนื้อหรือปลา จะนับได้ว่าแปลกใหม่หรือไม่แปลกใหม่ได้อย่างไร….
“คุณหนูท่านนี้ช่างเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ!”
เหล่าหลี่เจ้าของแผงเอ่ยขณะหันหลังให้คนทั้งสอง
“ข้าแค่พูดไปเรื่อยเท่านั้น”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ
คำชมเช่นนี้ นางได้ยินอยู่บนเขาเรียงรันมาจนหูขึ้นหูดหมดแล้ว…
แต่เมื่อเหล่าหลี่เจ้าของแผงกล่าวมาดังนี้ กลับทำให้นางมีความรู้สึกที่ต่างออกไป
และรู้สึกชื่นชอบขึ้นมาทันที
แต่คำที่นางเอ่ยออกไปกลับเป็นคำพูดกลวงๆ เป็นแค่การพูดอ้อมค้อมตามพิธีเท่านั้น
“ไม่ ไม่ใช่แค่พูดไปเรื่อย! ท่านกินแล้วต้องแยกออกเป็นแน่!
เหล่าหลี่เจ้าของแผงพูดอย่างจริงจัง
“เต้าหู้ของข้าล้วนเลือกใช้ถั่วเหลืองที่ดีที่สุดทำออกมาใหม่ทุกวันตั้งแต่รุ่งสาง ฉะนั้นจึงมีเพียงเท่านี้ ขายหมดก็เก็บแผง”
เหล่าหลี่เจ้าของแผงพูดต่อ
“บะหมี่ก็ทำใหม่ทุกวันหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“แน่นอนสิ! ปกติขายแค่ราวหนึ่งชั่วยามครึ่ง อย่างมากก็ขายแค่สองชั่วยามเท่านั้น”
เหล่าหลี่เจ้าของแผงกล่าว
“หากสองชั่วยามแล้วยังขายไม่หมดเล่า”
เจ้าหมิงหมิงถาม
เหล่าหลี่เจ้าของแผงเอ่ยทั้งส่ายหน้า
“เหตุใดจึงเอามาขายอีกไม่ได้ ยิ่งขายมากไม่ใช่ว่ายิ่งได้เงินมากขึ้นหรอกหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“นานไปบะหมี่จะแข็ง เต้าหู้ก็ไม่สดใหม่…จะกินก็กินได้แต่ไม่อร่อยแล้ว…แม้ว่าแผงเล็กๆ ของข้าจะไม่มีชื่อเสียงอันใด แต่เรื่องพวกนี้ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ไม่ควรสะเพร่าทั้งสิ้น!”
เหล่าหลี่เจ้าของแผงกล่าว
เจ้าหมิงหมิงพลันตกตะลึงกับคำพูดนี้เล็กน้อย
นางคิดไม่ถึงเลยว่าแผงขายบะหมี่เต้าหู้เล็กๆ จะแฝงความคิดอ่านที่ลึกล้ำเช่นนี้
หรือว่านี่ก็คือแดนมนุษย์
แม้จะเป็นคนธรรมดาที่ไม่สะดุดตาแต่อย่างใด แต่เบื้องหลังของเขาอาจมีความเป็นมาที่ทำให้คนต้องประหลาดใจ
“เจ้าขายบะหมี่อยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้ว”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“โอ้! ข้าก็ไม่เคยนับมาก่อนจริงๆ…แผงของข้านี้ก็นับได้ว่าท่องมาแล้วทั้งสี่ทิศ อาจารย์มอบให้ข้าตั้งแต่ข้าเรียนเคล็ดวิธีสำเร็จ เวลานั้นไปถึงที่ใดก็ขายที่นั่น”
เหล่าหลี่เจ้าของแผงกล่าว
บะหมี่เต้าหู้ที่เจ้าหมิงหมิงเพิ่งสั่งก็ทำเสร็จพอดี
เหล่าหลี่เจ้าของแผงยกมาวางตรงหน้า
เจ้าหมิงหมิงเห็นว่าบะหมี่ชามนี้มีเต้าหู้เยอะกว่าเดิมมาก!
ดูเหมือนว่าเหล่าหลี่เจ้าของแผงผู้นี้จะมีเจตนาบางประการ
เจ้าหมิงหมิงมองเต้าหู้ที่วางซ้อนกันเป็นชั้นหนาๆ บนบะหมี่ จึงยิ้มทั้งพยักหน้าให้เหล่าหลี่เจ้าของแผงเป็นการแสดงความขอบคุณ
เหล่าหลี่เจ้าของแผงยิ้มซื่อ แต่กลับดึงตั่งยาวตัวหนึ่งที่อยู่ข้างๆ มานั่งข้างหลังเตา
“เช่นนั้นที่มาที่นี่ก็เพราะผ่านทางมาหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“ไม่ขอรับ ที่นี่นับว่าลงหลักปักฐานแล้ว”
เหล่าหลี่เจ้าของแผงกล่าว
“เพราะเหตุใดกัน ที่แห่งนี้มีข้อดีใดหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถามอย่างไม่เข้าใจ
ที่ที่ทำให้คนซึ่งท่องไปสี่ทิศคิดอยากลงหลักปักฐาน ต้องมีสิ่งพิเศษไม่เหมือนใครเป็นแน่
“โดยหลักแล้วก็คือน้ำที่นี่ดี การทำเต้าหู้ก็เหมือนกับการหมักสุรา นอกจากถั่วเหลืองต้องดีแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือน้ำ ถั่วเหลืองยังสามารถคัดเลือกได้ แต่น้ำนั้นมีเพียงไปลองใช้ในที่ต่างๆ ทีละแห่งจึงจะรู้ได้”
เหล่าหลี่เจ้าของแผงกล่าว
“คุณหนูสองท่านอาจไม่ทราบ…ก่อนนี้ฝืมือของเหล่าหลี่นับได้ว่าเป็นเจ้าเดียวในเมืองติ้งซีอ๋องทีเดียว!”
คนข้างๆ ได้ยินว่าเจ้าหมิงหมิงสนใจเรื่องนี้จึงเอ่ยขึ้นมา
เหล่าหลี่เจ้าของแผงได้ยินกลับโบกไม้โบกมือ เป็นการบอกให้คนผู้นั้นไม่ต้องพูดอีก
แต่คนข้างๆ ไหนเลยจะสนใจมากมาย
เพราะหากเข้าไปสนทนากับเจ้าหมิงหมิงได้สักหลายคำก็จะทำให้ตนเองดูมีความรู้
หากนางฟังแล้วอารมณ์ดีขึ้นมา อาจกำนัลเงินหนึ่งหมื่นตำลึงให้ตนก็ไม่แน่!
เมื่อมีข้อดีเช่นนี้แล้วจะยอมหยุดเพราะเหล่าหลี่เจ้าของแผงโบกมือห้ามได้อย่างไร
เมืองติ้งซีอ๋องที่เขาเอ่ยถึงนี้ ย่อมหมายถึงเมืองใหญ่ที่สุดในเขตติ้งซีอ๋อง
บนตั้งแต่ติ้งซีอ๋องฮั่ววั่ง ล่างจนถึงในเมืองที่มีผู้มากความสามารถสร้างชื่อจำนวนมากราวกับต้นไม้ในป่าทึบ
……………………
นานมาแล้ว มีร้านสองร้านติดกัน
ร้านหนึ่งขายบะหมี่เปล่า อีกร้านหนึ่งขายเต้าหู้
แล้วบะหมี่เปล่าคือสิ่งใด
ก็คือบะหมี่ที่ลวกสุกในน้ำเปล่า ไม่ได้เติมดอกเกลือแม้แต่น้อยและไม่เห็นวงน้ำมันลอยอยู่สักวง
เมื่อลวกเสร็จแล้วก็ช้อนขึ้นมาใส่ลงในชาม แบ่งเป็นแบบแห้งและแบบน้ำ
บะหมี่แห้งไม่มีน้ำ
หลังจากซื้อแล้ว ก็นำกลับเรือนไปคลุกกินกับน้ำแกงตุ๋นหรือผัดหมูสับพะโล้ต่างๆ
ส่วนบะหมี่น้ำก็มีน้ำลวกเส้นเพิ่มมาหนึ่งทัพพีครึ่ง
คนที่กินที่ร้านมักกินบะหมี่น้ำ
เพราะบนโต๊ะจะมีน้ำปรุงพริกและน้ำส้มสายชูให้
พอเติมลงในบะหมี่น้ำก็กินได้อย่างเอร็ดอร่อย
แทบไม่ต่างกับน้ำแกงตุ๋นผัดหมูสับพะโล้เลย!
ส่วนร้านเต้าหู้ที่อยู่ติดกันนั้นมีตามมาในภายหลัง
หลังร้านบะหมี่นานทีเดียว
อย่างน้อยก็ห่างกันสองสามฤดูใบไม้ผลิแล้วเข้าสู่ฤดูหนาว
ตอนที่ร้านเต้าหู้เพิ่งเปิดนั้น เรียกว่าเงียบเหงาเลยทีเดียว…
คนที่มาล้วนไปกินบะหมี่ ไม่มีใครสนใจเต้าหู้แต่อย่างใด
คนขายเต้าหู้เองก็ยังเคยกินบะหมี่เปล่าชามหนึ่ง
และยังเป็นเถ้าแก่ร้านบะหมี่เลี้ยง ไม่ต้องจ่ายเงินอีกด้วย
เมื่อกินเสร็จแล้ว เถ้าแก่ร้านเต้าหู้รู้สึกเพียงว่าน้ำบะหมี่รสชาติดีอย่างยิ่ง
เส้นบะหมี่เหนียวนุ่ม ยามกินอยู่ในปากเต็มไปด้วยกลิ่นของข้าวสาลี
ทว่าน้ำบะหมี่กลับอัศจรรย์พันลึกยิ่งกว่า!
นุ่มนวลข้นหอม
กินคู่กับบะหมี่ที่ต้องออกแรงเคี้ยวแล้วเข้ากันเป็นที่สุด
เถ้าแก่ร้านเต้าหู้ถามว่าเอาสิ่งใดต้มน้ำ
เถ้าแก่ร้านบะหมี่กลับบอกว่าตนเองไม่ได้ใส่สิ่งใดลงไป แค่ลวกบะหมี่ธรรมดาเท่านั้น
เถ้าแก่ร้านเต้าหู้พยักหน้าคิดว่าคงเป็นหลักการน้ำลวกให้รสดั้งเดิมของอาหาร
ใช้น้ำลวกเส้น เวลากินเส้นแล้วซดน้ำลวกเส้นไปด้วย
ไม่แยกจากกัน ต่างส่งกันให้รสกลมกล่อม
กินบะหมี่ชามนี้หมดแล้วจึงเรียกได้ว่าอิ่มหนำสำราญ!
ตอนแรกเถ้าแก่ร้านเต้าหู้ยังค่อนข้างอิจฉา แต่หลังจากได้กินบะหมี่ชามนั้นแล้วก็ไม่มีความคิดใดอีก
แม้การค้าจะไม่ดี แต่ก็ต้องพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่
แม้จะขายได้เงินไม่เท่าใด แต่เต้าหู้ทุกก้อนก็ล้วนทำอย่างตั้งใจเป็นที่สุด
ผู้อื่นบอกว่าเขาโง่ เขากลับเพียงยิ้มให้ไม่ถือสา
ก็ไม่รู้ว่าวันใดกลับมีคนประหลาดผู้หนึ่ง
คนผู้นี้ซื้อเต้าหู้ก้อนหนึ่ง จากนั้นก็ไปที่ร้านบะหมี่เปล่าซึ่งอยู่ติดกัน
เมื่อบะหมี่เปล่ายกมาให้ เขากลับใช้ตะเกียบหั่นเต้าหู้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วโยนลงไปในชาม
จากนั้นก็คลุกกับน้ำปรุงพริกและน้ำส้มสายชู
แล้วกินอย่างเอร็ดอร่อยยิ่งนัก!
เมื่อคนที่นั่งอยู่รอบๆ เห็นเข้า ลูกกระเดือกเป็นต้องขยับขึ้นลงโดยไม่รู้ตัว
ทั้งๆ ที่เป็นบะหมี่เปล่าเหมือนกัน น้ำปรุงพริกและน้ำส้มสายชูอย่างเดียวกัน
เหตุใดผู้อื่นจึงกินได้ออกรสออกชาติถึงเพียงนี้
ถามคนประหลาดว่ายามเอาเต้าหู้ใส่ลงในบะหมี่นั้นเป็นรสชาติเช่นใด
แต่คนผู้นี้กลับเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินไม่พูดไม่จาแม้แต่น้อย
กินเสร็จแล้วจ่ายเงิน ถือก้อนเต้าหู้ที่ยังกินไม่หมดเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา
คนที่เหลือนั่งมองหน้ากัน
ภายในร้านบะหมี่ก็เงียบลงทันตา…
เหลือแต่เสียงปุดๆ ของน้ำที่ลวกบะหมี่กำลังเดือดพล่านอยู่เท่านั้น
ไม่นานนัก มีคนหนึ่งลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
เรื่องเช่นนี้ ขอเพียงมีคนหนึ่งทำก่อน ก็จะมีคนทำตามอีกเป็นจำนวนมาก
นี่เป็นจุดอ่อนทั่วไปหรือลักษณะร่วมอย่างหนึ่งของมนุษย์ ข้อนี้เจ้าหมิงหมิงก็รู้เช่นกัน
บิดานางบอกนางว่านี่เรียกว่า ‘ตามกระแส’
ลักษณะพิเศษข้อนี้ของมนุษย์เรียกได้ว่าไม่มีใครเทียบได้ในหล้า
แม้เหล่าอสูรจะอยู่กันเป็นกลุ่ม แต่ก็ต่างมีความคิดของตนเอง ไม่มีทางตามกระแสเป็นแน่
แม้บางครั้งเพื่อผลประโยชน์ของเผ่าหรือกลุ่มย่อยแล้วจะสามารถสะกดและโยนความปรารถนาส่วนตัวทิ้งไป
แต่ก็จะไม่มีทางคล้อยตามผู้อื่นเด็ดขาด
มนุษย์ทำการใดมักไม่คำนึงถึงถูกผิด
เมื่อใดที่มีคนจำนวนมากทำเช่นนี้ ก็จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในทันใด
ส่วนที่ว่าความมั่นใจนี้มาจากที่ใดกันแน่
ไม่มีผู้ใดรู้
ไม่ว่าจะไปถามผู้ใด เขาล้วนสามารถผลักไปยังคนข้างกายได้ทั้งสิ้น
คล้ายว่าคนมากก็คือสมเหตุสมผลและเป็นหลักประกันของการทำเช่นนี้
เพราะกฎหมายไม่ลงทัณฑ์คนหมู่มาก หากว่าเกิดเรื่องใดขึ้นจริงๆ จะไม่มีแม้แต่ที่ให้อธิบายเหตุผล
แต่พอคิดดูอีกที นี่เป็นสิ่งที่บุตรสาวตัดสินใจเอง
หากเขาชี้นิ้วสั่งมากเกินไปจะยิ่งทำให้รำคาญใจ
ยิ่งไปกว่านั้น การเอาแต่เชื่อฟังหลักการก็ไร้ประโยชน์
แต่เมื่อพบเจอกับตนเองสักครั้ง ถึงจะได้รู้ข้อดีและข้อเสียที่แท้จริงที่สุดภายในนั้น
แรกเริ่มมักมีแค่สองสามคน
คนอื่นๆ นอกนั้นโดยมากแล้วแค่ทำตามไปอย่างส่งเดช
แต่หากว่ากันเรื่องสาเหตุแล้ว เจ้าหมิงหมิงกลับยังคิดไม่ออก
ก็เหมือนกับคนผู้หนึ่งดื่มสุราจนเมามายแล้ว
เขาจะเมาเพราะสุราจอกสุดท้าย หรือเพราะเจ็ดแปดจอกก่อนหน้านี้
หากบอกว่าเป็นเพราะเจ็ดแปดจอกก่อนหน้าก็กลับไม่มีเหตุผล
เพราะเขาดื่มไปเจ็ดแปดจอกแล้ว ก็ยังครองสติได้แจ่มชัด
มีเพียงเมื่อจอกสุดท้ายลงท้องไป สติจึงค่อยๆ เลือนลาง
แต่หากบอกว่าเขาดื่มเพียงจอกเดียวก็เมาเสียแล้ว
เกรงว่าเขาจะต้องลุกขึ้นมาเถียงอย่างสุดกำลัง และบอกว่าก่อนหน้านี้เขาดื่มมาเจ็ดแปดจอกแล้ว
สิ่งที่คนดื่มสุราชิงชังเป็นที่สุดก็คือผู้อื่นบอกว่าตนคออ่อน
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าตนจะดื่มจนสุราเต็มท้องแล้ว ก็จะยังขมวดคิ้ว ดึงมุมปากแล้วกลืนลงไป
นี่ก็เป็นความคิดที่ทุกคนเห็นพ้องกันอย่างหนึ่ง
นั่นเพราะทุกคนต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางคำพูดและสายตาของผู้อื่น
ตนเองพูดถึงตนเอง แต่ไรมาก็ไม่นับเป็นแก่นสาร
ต้องให้ผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์จึงจะนับว่าเป็นกลาง
การชมเชยก็เป็นหลักการอย่างเดียวกัน
ตนชมตนเองถือเป็นการคุยโว
ผู้อื่นเอ่ยออกมาจึงนับว่าน่ายินดี
เมื่อเป็นดังนั้น คนอื่นจึงกลายเป็นบรรทัดฐานกำหนดถูกผิดดีชอบด้านวาจาและการกระทำของตน ผู้อื่นทำได้ตนเองก็ทำได้เช่นกัน ผู้อื่นไม่ทำตนเองก็ย่อมไม่ทำเช่นกัน
เมื่อเป็นดังนี้ ไม่ว่าการพูดจาหรือการกระทำล้วนวิ่งตามผู้อื่น ใช้สายตาของผู้อื่นมองสรรพสิ่ง ใช้สมองของผู้อื่นใคร่ครวญปัญหา ใช้มือเท้าผู้อื่นลงมือทำ เมื่อใดที่ทำผิดพลาดขึ้นมาก็จะหลอกตัวเองด้วยการผลักความรับผิดชอบไปที่ผู้อื่น
………………………………………
……….