ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 397 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-6
บทที่ 397 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-6
……….
เต้าหู้ของที่นี่กลับไม่ได้ใช้วิธีคลุก แต่นำไปย่าง
การย่างเต้าหู้ต้องใช้น้ำมันทอดก่อน บ้างก็เป็นการย่างแบบแห้ง ไม่ใส่น้ำมัน
เจ้าหมิงหมิงเห็นเหล่าหลี่เจ้าของแผงหั่นเต้าหู้เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดหนึ่งชุ่น จากนั้นก็เทน้ำมันเมล็ดผักกาดลงในกระทะแบนเล็กน้อย ก่อนใช้ตะเกียบคีบเต้าหู้ที่หั่นแล้วใส่ลงไปทีละชิ้น
“เจ้าจะทอดด้วยน้ำมันหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“ไม่ใช่ นี่คือการจี่น้ำมัน ถ้าทอดอย่างน้อยน้ำมันต้องท่วมเต้าหู้ คนที่นี่กินรสจืด อีกอย่างเต้าหู้ก็ไม่อมน้ำมัน ยิ่งไปกว่านั้น ร้านข้าก็เป็นร้านเล็กๆ…หากใส่น้ำมันมากๆ ข้าก็ไม่ไหวเช่นกัน”
เจ้าของแผงเป็นชายวัยกลางคนซื่อๆ
ตอนตอบเจ้าหมิงหมิง เห็นชัดว่ามีท่าทีค่อนข้างตื่นเต้น
มือที่ว่างอยู่คอยลูบท้ายทอยและทึ้งผมอยู่ตลอด
ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
“ไม่อมน้ำมัน? หมายความว่าอย่างไร”
เจ้าหมิงหมิงไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางได้ดูคนทำอาหาร
ตอนอยู่บนเขาเรียงรัน แม้แต่เปลือกผลไม้นางก็ยังไม่เคยปอกเอง
เมื่อดูให้ละเอียด เต้าหู้จี่ที่น่ากินและส่งกลิ่นหอมนี้ก็น่าสนใจจริงๆ
“ก็คือ…เต้าหู้นี้ไม่ค่อยชอบน้ำมัน ต้องการแค่เล็กน้อย ไม่ให้ติดกระทะเป็นพอแล้ว และต้องจี่แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น จี่นานไปจะด้าน ผิวกลายเป็นเปลือกแข็ง ยามกินจะสัมผัสถึงขอบมุมของมันได้ชัดเจน ทำให้ไม่เหลือรสสัมผัสของเต้าหู้”
เจ้าของแผงกล่าว
เจ้าหมิงหมิงถามอีก
“บะหมี่ก็คือบะหมี่น่ะสิ…เจ้าจะกินกี่ตำลึง บอกข้ามา ข้าจะหั่นเส้นและลวกให้ตอนนี้”
เจ้าของแผงเอ่ยพลางชี้ไปยังหม้อเหล็กใบใหญ่ที่น้ำแกงกำลังเดือดตรงด้านข้าง
“ข้าไม่อยากกินบะหมี่ ข้าอยากกินแต่เต้าหู้[1]ของเจ้า!”
เจ้าหมิงหมิงส่ายหน้า เอ่ยพลางชี้ไปยังเต้าหู้ที่จวนจะจี่เสร็จและเอาขึ้นจากกระทะ
เพิ่งจะสิ้นเสียง ลูกค้าที่นั่งอยู่ข้างหลังแผงก็พากันหัวเราะขึ้นมายกใหญ่
“เหล่าหลี่! มองไม่ออกเลยว่าเจ้ายังมีวาสนาเยี่ยงนี้ด้วย แม่นางที่งดงามเช่นนี้กลับเอาแต่บอกว่าอยากกินเต้าหู้ของเจ้า เจ้าจะไม่ให้คนเขากินหน่อยรึ”
คนผู้หนึ่งเอ่ย
เจ้าหมิงหมิงเอียงหัวฟัง
ใบหน้าที่กำลังหัวเราะของคนเหล่านี้สะท้อนเข้าในดวงตา แต่นางกลับไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงหัวเราะ
ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเพราะตนอยากกินเต้าหู้…
แต่แผงนี้ก็ตั้งอยู่ที่นี่ ทำเต้าหู้ก็ไม่ใช่ว่าเอามากินหรอกหรือ
“มีสิ่งใดน่าขันกัน พวกเจ้าก็ไม่ใช่ว่ากำลังกินเต้าหู้หรอกหรือ เหตุใดข้าจะกินบ้างกลับเป็นเช่นนี้ หรือว่าเต้าหู้นี้พวกเจ้ากินได้ แต่ข้ากินไม่ได้”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ย
นางกลับรู้สึกโมโหขึ้นมา
เพราะเพิ่งออกจากบ้านได้ไม่นาน นิสัยคุณหนูใหญ่ในตัวยังไม่อาจสะกดเอาไว้ได้ทั้งหมด
“คุณหนูของข้าจะกินเต้าหู้ เจ้าแค่ทำไปก็พอแล้ว!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลดึงแขนเสื้อเจ้าหมิงหมิง ก่อนก้าวมาข้างหน้าเพื่อบอกกับเหล่าหลี่เจ้าของแผง
จากนั้นยื่นตั๋วเงินให้ใบหนึ่ง
เหล่าหลี่เจ้าของแผงไม่รู้ว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลให้สิ่งใดมา
จนเมื่อรับมาแล้วจึงพบว่าเป็นตั๋วเงินราคาหนึ่งหมื่นตำลึง มือไม้พลันสั่นจนตั๋วเงินเกือบร่วงลงไปจี่พร้อมกับเต้าหู้ในกระทะ
เกาลัดคั่วน้ำตาลตกใจจนสะดุ้งเพราะเสียงอุทานของเหล่าหลี่เจ้าของแผง
พวกนางสองคนล้วนไม่เข้าใจเรื่องค่าของเงิน…
ไหนเลยจะรู้ว่าเงินหนึ่งหมื่นตำลึงนั้นนำไปซื้อของทั้งตลาดรวมกันแล้วยังเหลืออยู่อีกมากนัก
“คุณหนูทั้งสอง ร้านข้านี้…บะหมี่ชามหนึ่งแค่แปดเหรียญใหญ่เท่านั้น หากท่านจะกินแต่เต้าหู้ก็คิดท่านสามเหรียญใหญ่เป็นพอแล้ว แต่หนึ่งหมื่นตำลึงนี้…ข้าน้อยทอนไม่ไหวหรอก!”
เหล่าหลี่เจ้าของแผงกล่าว
จากนั้นก็คืนตั๋วเงินให้เกาลัดคั่วน้ำตาล
แต่มือเขากลับเอาแต่ลูบคลำตั๋วเงินใบนี้ไม่หยุด
ดวงตาเอาแต่จับจ้องตัวอักษรที่เขียนว่าหนึ่งหมื่นตำลึง ถอนสายตาออกไม่ได้แต่อย่างใด
พร้อมกับคนที่กินบะหมี่อยู่ข้างหลังล้วนต้องถือตะเกียบขยับเข้ามาดูใกล้ๆ
น้ำแกงบนตะเกียบไหลลงมาที่ปลายตะเกียบจนหยดลงบนกางเกงก็ยังไม่รู้สึกตัว
“คุณหนู…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกำลังอยากจะพูด แต่กลับเห็นเจ้าหมิงหมิงส่งสัญญาณว่าให้ปิดปากเสีย
แม้เจ้าหมิงหมิงเองก็ไม่รู้ว่าเงินเหรียญใหญ่คือสิ่งใด หนึ่งหมื่นตำลึงที่แท้แล้วมากน้อยอย่างไร
แต่จากสีหน้าของเหล่าหลี่เจ้าของแผงและคนที่มากินอาหารข้างหลัง นางก็รู้ว่าเงินหนึ่งหมื่นตำลึงนี้จะต้องมีค่ามากอย่างยิ่ง
“พวกเราไม่ได้พกเงินเหรียญใหญ่มาด้วย มีแค่ตั๋วเงิน…ท่านเห็นว่าควรจะทำเช่นใด”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“เช่นนั้น…ท่านทั้งสองก็อย่ากินเสียเถิดขอรับ…”
เหล่าหลี่เจ้าของแผงเอ่ยพลางเกาหัว
เมื่ออยู่ต่อหน้าแม่นางน้อยที่ดูไม่ค่อยเข้าใจเรื่องในหล้า ก็ตัดใจไม่อาจหลอกลวงพวกนางได้
วิธีเดียวในเวลานี้ก็คือให้พวกนางไปเสีย
แค่เจ้าหมิงหมิงกับเกาลัดคั่วน้ำตาลไม่กินก็ไม่ต้องให้เงิน
ขอเพียงทั้งสองคนไปเสีย เงื่อนตายนี่ก็จะคลายออกได้เอง
“แต่พวกเราหิวมาก…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยเสียงเบา
เจ้าหมิงหมิงกลับไม่กล่าวสิ่งใด
เอาแต่มองเหล่าหลี่เจ้าของแผงเงียบๆ
มองจนชายวัยกลางคนแสนซื่อผู้นี้เขินอายและต้องก้มหน้าลง
“ฮ่าๆ…”
เจ้าหมิงหมิงมองอยู่สักพักก็พลันหัวเราะขึ้นมา
เสียงหัวเราะนี้เรียกว่างดงามจนมัจฉาจมวารีปักษีตกนภา น้ำแข็งแยกหิมะละลายเลยทีเดียว
นอกจากเหล่าหลี่เจ้าของแผงจะเอาแต่ก้มหน้าแล้ว คนอื่นที่เหลือต่างก็นิ่งเหม่อไปทันใด
ตลาดที่เคยจ้อกแจ้กจอแจกลับเงียบลงทันตา
“เงินนี้สูงกว่าราคาที่เจ้าตั้งไว้แน่นอน!”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยพลางดึงตั๋วเงินในมือเกาลัดคั่วน้ำตาลมา แล้วแกว่งไปมาตรงหน้าเหล่าหลี่เจ้าของแผง
เหล่าหลี่เจ้าของแผงเห็นแล้วก็พยักหน้า
“ในเมื่อสูงกว่าราคาที่เจ้าตั้งไว้ ดังนั้นพวกเราก็ไม่นับว่ากินอาหารไม่จ่ายเงินแล้วใช่หรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงถามต่อ
เหล่าหลี่เจ้าของแผงพยักหน้าอีกครั้ง
“ให้เจ้า! ไม่ต้องทอน! เต้าหูจี่หนึ่งชาม บะหมี่เต้าหู้อีกหนึ่งชาม!”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ย
ก่อนตบตั๋วเงินตบลงบนโต๊ะ
จากนั้นก็ดึงเกาลัดคั่วน้ำตาลเดินอ้อมเตากับเหล่าหลี่เจ้าของแผงไปหาที่นั่งว่างข้างหลัง
“คุณหนู เหมือนว่าพวกเราจะขาดทุนนะเจ้าคะ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกระซิบข้างหูเจ้าหมิงหมิง
เจ้าหมิงหมิงกลับยิ้มบางๆ และไม่ได้พูดสิ่งใด
นางเห็นว่าเหล่าหลี่เจ้าของแผงเอาแต่เหม่อมองตั๋วเงินบนโต๊ะจึงเอ่ยปากเร่ง
“จี่เต้าหู้? เอาบะหมี่ลงลวก?!”
เหล่าหลี่เจ้าของแผงได้ยินก็คล้ายว่าเพิ่งตั้งสติได้
จึงเก็บตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงบนโต๊ะไป เคาะตะเกียบในมือกับขอบกระทะ!
“คุณหนูสองท่านออกจากเรือนมากินเต้าหู้จี่กับบะหมี่เต้าหู้อย่างละชามที่ร้านของข้าด้วยราคาหนึ่งตำลึง!”
แม้เหล่าหลี่เจ้าของแผงจะไม่ได้ฝึกวรยุทธ์
แต่เสียงที่ตะเบ็งออกไปนี้เรียกได้ว่าเปี่ยมพลังสะเทือนเขาสะท้านแม่น้ำ!
ทำให้คนทั้งตลาดพากันเดินเบียดเสียดเข้ามา
ด้วยอยากดูว่าเป็นคุณหนูใหญ่จากที่ใดถึงกับจ่ายเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเพียงแค่จะกินเต้าหู้จี่หนึ่งชามกับบะหมี่เต้าหู้หนึ่งชามของเหล่าหลี่ผู้นี้
“คงไม่ใช่เรื่องคุยโวกระมัง!”
มีเสียงกระแนะกระแหนมาจากเจ้าของแผงฝั่งตรงข้าม
“เจ้าดูสิ! เจ้าดู! นี่เป็นตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงของจริง! ไม่ปิดบังทุกท่าน ตัวข้าเหล่าหลี่แม้จะไม่มีแม้แต่เรือนราคาหนึ่งร้อยตำลึง ทว่าแต่ก่อนก็นับว่าเป็นผู้มีความรู้! ดวงตามีวาสนาเคยได้เห็นและมือมีวาสนาเคยได้จับตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงนี้มาก่อนหลายครา แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ที่ได้รับมาเมื่อครู่นี้ ความรู้สึกนั้นก็กลับมาทันใด! ข้ารู้ทันทีว่าไม่ผิดเด็ดขาด! พวกเจ้าดูคุณหนูทั้งสองนี้ ทั้งหน้าตาราศี กิริยาการแต่งกาย ที่ใดบ้างที่ไม่ใช่…เอ่อ…เอ่อ…ลักษณะของคุณหนูมีตระกูล ไม่มีทางหลอกลวงเด็ดขาด!”
เหล่าหลี่เจ้าของแผงกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจ
“คุณหนูเจ้าคะ มนุษย์ผู้นี้เหมือนจะใช้เราสองคนเรียกลูกค้าให้เข้าร้านนะเจ้าคะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยพลางยู่ปาก
ตัวนางเองย่อมไม่ถือสา…
แต่คุณหนูเป็นถึงผู้ใด
จะให้เจ้าเอามาป่าวประกาศเช่นนี้ได้หรือ?!
เหล่าหลี่เจ้าของแผงต้องเผชิญกับสายตาและคำพูดที่เปี่ยมด้วยความอิจฉาของผู้คนโดยรอบ ส่วนมือก็คอยจี่เต้าหู้จนเสร็จหนึ่งชามอย่างไม่เร่งรีบ
“คุณหนูขอรับ ท่านรีบทานตอนร้อนๆ เถิด!”
เหล่าหลี่เจ้าของแผงเอ่ยทั้งร้อยยิ้ม
เจ้าหมิงหมิงมองเขาครั้งนี้ เขากลับไม่มีท่าทีประหม่าอีกแล้ว
แม้รอยยิ้มจะยังคงซื่อเช่นเดิม
แต่ก็ไม่เอาแต่ก้มหน้า
หลังก็ยืดตรงขึ้นกว่าเดิมมาก
“เจ้าดูเจ้าของแผงสิ”
เจ้าหมิงหมิงใช้ตะเกียบคีบเต้าหู้ชิ้นหนึ่งใส่ปากและเอ่ยกับเกาลัดคั่วน้ำตาล
“ทำไมหรือเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“ต่างจากเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิงใช่หรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“จริงด้วย…เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเงินหนึ่งหมื่นตำลึงมีค่ามากเท่าใด! วันหน้าห้ามมือเติบเช่นนี้อีกเป็นอันขาด!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“หา? คุณหนูรู้ได้อย่างไร แล้วเงินหมื่นตำลึงทำสิ่งใดได้บ้างเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“เงินหนึ่งหมื่นตำลึงสามารถเปลี่ยนนิสัยของคนผู้หนึ่งได้ และนิสัยก็มีอิทธิพลต่อโชคชะตาของคนผู้หนึ่ง ว่ามาดังนี้ ก็เท่ากับว่าเงินหนึ่งหมื่นตำลึงสามารถเปลี่ยนแปลงคนผู้หนึ่งได้โดยสิ้นเชิงตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่ใช่หรือ เจ้าว่ามันมีค่ามากหรือไม่เล่า!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“อืม…คุณหนูว่ามาเช่นนี้ก็เป็นจริงดังว่า! เงินหนึ่งหมื่นตำลึงมีค่ามากจริงๆ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยทั้งสูดหายใจลึก
บะหมี่ของนางก็เสร็จแล้วเช่นกัน
บะหมี่เต้าหู้ที่ว่านั้นก็เป็นแค่บะหมี่ที่ลวกสุก ข้างบนมีเต้าหู้จี่วางอยู่เท่านั้น
หาได้มีลูกเล่นประหลาดอันใด
อาหารที่มีเต้าหู้และบะหมี่สองอย่างอยู่ด้วยกัน ก็คือบะหมี่เต้าหู้ไม่ใช่หรือ
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไป แกว่งเท้าหาเสี้ยนจนได้…
เกาลัดคั่วน้ำตาลกินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย
ไม่ทันระวัง ทำน้ำแกงกระเด็นโดนหน้าเจ้าหมิงหมิง
เจ้าหมิงหมิงกำลังจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดกลับมีมือขาวผอมบางยื่นเข้ามา
บนนิ้วเรียวยาวมีผ้าเช็ดหน้าที่พับเป็นเส้นยาวผืนหนึ่ง
เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมากลับเป็นชายหนุ่มที่สวมผ้าโพกหัวกวานจิน[2]และสวมชุดสีคราม
“มีเรื่องใด”
เจ้าหมิงหมิงไม่ได้รับผ้าเช็ดหน้าจากเขา
นางใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนเองซับรอยเปื้อนบนใบหน้าเบาๆ จากนั้นจึงเอ่ยปากถาม
“เป็นข้าน้อยเสียมารยาทเอง…ข้าเพียงเห็นว่าคุณหนูคล้ายออกจากบ้านมาไม่นาน แต่ข้าน้อยเคยขึ้นเหนือล่องใต้ มีประสบการณ์มากมาย อาจบอกเล่าเรื่องนานาของที่แห่งนี้แก่คุณหนูได้ขอรับ”
คนผู้นั้นกล่าว
“ไม่ต้อง”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยอย่างเย็นชา
ที่ไม่รับผ้าเช็ดหน้าเมื่อครู่นี้ ชายหนุ่มพอเข้าใจได้
เพราะสตรีต้องรักษากิริยา
หากจู่ๆ รับไปกลับจะทำให้เขารู้สึกว่าผิดปกติด้วยซ้ำ
“คุณหนูทราบหรือไม่ว่าแม้ตั๋วเงินหมื่นตำลึงนี้จะล้ำค่า แต่พอนำมาใช้จริงๆ กลับไม่สะดวกเป็นที่สุด”
คนผู้นั้นหัวเราะเบาๆ หนหนึ่งแล้วเอ่ย
“รู้”
เจ้าหมิงหมิงกินเต้าหู้ไปชิ้นหนึ่งแล้วเอ่ย
“หากคุณหนูต้องการแลกเงิน ข้าน้อยก็รู้จักสถานที่ดีๆ ขอเป็นเหมาซุ่ยอาสา[3]ยินดีนำทางคุณหนูไปขอรับ!”
คนผู้นั้นได้ยินเจ้าหมิงหมิงเอ่ยตอบก็รู้สึกว่ามีหนทางแล้ว!
“ข้าก็ใช้เงินหมื่นตำลึงนี้กินเต้าหู้หนึ่งชามได้แล้วและเพียงพอแล้ว! เจ้าคิดว่าข้ายังอยากจะแลกเงินอีกหรือ”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยพลางเอื้อมมือเข้าไปในอกเสื้อของเกาลัดคั่วน้ำตาล ก่อนล้วงเอาตั๋วเงินทั้งหมดออกมาวางบนโต๊ะ
ตั๋วเงินปึกนี้ทุกใบล้วนมีราคาหมื่นตำลึง
พอวางลงบนโต๊ะยังสูงว่าชามบะหมี่เต้าหู้หลายชุ่นทีเดียว
………………………………………
[1] กินเต้าหู้ เป็นสำนวนหมายถึง ลวนลาม เอาเปรียบด้านร่างกาย
[2] ผ้าโพกหัวกวานจิน หรือผ้าโพกหัวขงเบ้ง เป็นผ้าโพกทำจากไหม ลักษณะโค้งมน มีลายม้วนคล้ายก้นหอย
[3] เหมาซุ่ยอาสา เป็นสำนวน หมายถึง อาสาหรือแนะนำตัวเองให้รับหน้าที่สำคัญหรือทำสิ่งต่างๆ
……….