ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 341 ท่านอ๋องที่โง่เขลาที่สุด-1
บทที่ 341 ท่านอ๋องที่โง่เขลาที่สุด-1
ลมวสันต์พัดเบื้องบน สีเขียวปกคลุมแคว้นเหนือ
เกี้ยวสีนกยูงน้ำเงินหลังหนึ่งมุ่งหน้าสู่ประตูตะวันตกของเมืองเจิ้นเป่ยอ๋อง
เกี้ยวหลังนี้ใหญ่นัก…
ใหญ่จนต้องมีคนยกทั้งหมดสิบหกคน
คนยกเกี้ยวสิบหกคนนี้ต่างแต่งกายเรียบร้อย
ไม่เหมือนคนใช้แรงงานโดยสิ้นเชิง
แต่พวกเขากลับมีสีหน้าอ่อนโยน
คล้ายจะยิ้มออกมาในครู่ถัดไป
ฝีเท้าก็ว่องไวยิ่ง
แม้ถนนในเมืองเจิ้นเป่ยอ๋องราบเรียบกว้างขวาง แต่ก็มีขรุขระบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่สิบหกคนนี้ยังข้ามแม่น้ำลำธารดุจชายหาดน้ำตื้น
ไม่ว่าถนนสายนี้เลวร้ายเพียงใดล้วนไม่มีผลต่อพวกเขาแม้แต่น้อย
ยิ่งไม่ทำให้เกี้ยวที่พวกเขายกโคลงเคลงแต่อย่างใด
ข้างหน้าเกี้ยวยังมีชายชราห้าคนขี้ม้าเร็วเบิกทาง
สี่คนในนั้นเฝ้าดูแลสี่ทิศซ้ายขวาหน้าหลังของเกี้ยวตลอดเวลา
หนึ่งคนที่เหลือเทียวเดินย้อนรายงานอยู่ข้างหน้า
แต่ถนนใหญ่ในเมืองอ๋องที่ทอดตรงจากประตูตะวันตกไปวังอ๋องเส้นนั้นมีคำสั่งเบิกทางแต่เนิ่นแล้ว
ยามนี้ไม่มีคนอยู่สักคน
แต่คนผู้นี้ยังคงสำรวจอยู่แนวหน้า
ตอนคนผู้นี้ย้อนกลับมาครั้งที่เจ็ด คนในเกี้ยวเปิดปากกล่าว
“ท่านอ๋อง ระวังไว้หน่อยดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ! คนผู้นี้กล้าปล้นกระทั่งเบี้ยหวัดกองทัพชายแดนพวกเรา ใครจะรู้ว่าทำอะไรได้อีก”
คนผู้นี้กล่าวตอบ
คนในเกี้ยวไม่ใช่ใครอื่น
เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยานั่นเอง
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าตอนนี้เขาไม่อยู่เมืองอ๋อง
เขาไปไหน
“ทำอะไรได้อีก? ก็แค่มาฆ่าข้าเท่านั้นละ…หากมีคนกล้าเสี่ยงชีวิตทำเรื่องบางอย่าง เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ป้องกันเรื่องนี้ไม่ได้”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ระวังไว้หน่อยดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ…”
แม้ท่านอ๋องพูดเช่นนี้แล้ว แต่เสี่ยวลี่ยังคงแน่วแน่
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาได้ยินคำเขาอยู่ในเกี้ยวกลับยิ้มบางไม่พูดอะไรอีก
ห้าคนที่ขี่ม้านี้ล้วนเป็นผู้ถวายงานของวังเจิ้นเป่ยอ๋อง
ในนั้นเสี่ยวลี่อายุน้อยสุด นิสัยก็ดื้อรั้นที่สุดเช่นกัน
แต่ปกติคนดื้อรั้นล้วนยึดเอาเหตุผลของตัวเอง
เหมือนใต้หล้านี้เขาเคารพแค่ซ่างกวนซวี่เหยาคนเดียว
ขอเพียงเขาได้เคารพแล้ว เขาก็ยินดีทำทุกอย่างเพื่อความเคารพในใจนั้น
เหมือนที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าวไม่มีผิด
หากคนมุ่งมั่นเสี่ยงชีวิตไปทำเรื่องบางอย่าง เช่นนั้นใครก็ป้องกันไม่อยู่ขวางไม่ได้
ตอนนี้เสี่ยวลี่ก็เป็นเช่นนี้
แต่ความจริงแสดงให้เห็นว่าเขาซื่อสัตย์พึ่งพาได้เป็นอย่างยิ่ง
เบี้ยหวัดกองทัพชายแดนสี่ล้านตำลึงถูกปล้น ซ่างกวนซวี่เหยาผู้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องก็รู้ข่าวนานแล้ว
แต่หลังจากส่งกำลังคนตามสืบ เขากลับออกจากเมืองอ๋องมาพร้อมห้าคนนี้
ทั้งยังเดินทางอย่างเอิกเกริก
เหมือนการกลับมาอย่างเอิกเกริกเช่นวันนี้
ในเมืองอ๋องติดประกาศล่วงหน้าสามวัน
นายทหารเมืองอ๋องยังตรวจค้นบ้านตามถนนที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาต้องผ่านกลับวังทีละหลัง
เหล่านี้ล้วนเป็นการจัดเตรียมของเขา
จงใจให้เป็นเช่นนี้
ถึงเขาจะรู้ว่าหากมีคนกล้าลอบสังหารเขาจริง ต่อให้เคลื่อนทัพใหญ่หนึ่งแสนทัพก็ไม่มีประโยชน์ แต่เขายังอยากเตรียมป้องกันเช่นนี้
ทัพใหญ่หนึ่งแสนทัพก็เหมือนหวีเล่มหนึ่ง
หวีถี่ขึ้นหน่อยก็กลายเป็นหวีเสนียด
แต่ไม่ว่าอยู่ชิดติดกันแค่ไหน สุดท้ายยังมีช่องว่างเล็กๆ เสมอ
และนักฆ่าผู้นั้นก็เหมือนฝนปรอยเม็ดหนึ่ง เข็มปักลายเล่มหนึ่ง
แทรกตัวไปมาอยู่ตรงกลางช่องว่างเหล่านี้ ทำให้คนไม่อาจค้นเจอ
แต่สำหรับเสี่ยวลี่
เขารู้หลักการนี้โดยไม่ต้องให้ซ่างกวนซวี่เหยาพูด
เมื่อเกี้ยวเข้าสู่ประตูตะวันตกของเมืองอ๋อง
เสี่ยวลี่ถึงค่อยๆ สบายใจขึ้น
‘ถือกว่ากลับมาแล้ว…’
เขาคิดในใจ
……………………
แม้ห้าอ๋องแห่งใต้หล้าล้วนเป็นนักรบ
แต่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากลับเป็นคนที่แปลกที่สุด
ตั้งแต่เขาได้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋อง เขาก็ไม่เคยขี่ม้าอีกเลย
ไม่พกกระบี่หรือดาบติดตัว
ไปไหนล้วนต้องนั่งเกี้ยว
ไม่เดินเท้าเลยสักก้าว
ครั้งหนึ่งถึงขั้นมีข่าวลือว่าเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเป็นคนพิการ ยืนไม่ได้โดยสิ้นเชิง
แต่ตอนที่ข่าวลือนี้สะพัดรุนแรงที่สุด ซ่างกวนซวี่เหยากลับสั่งให้คนสร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งในเมืองอ๋องกะทันหัน
จากนั้นเดินออกมาจากวังอ๋องเพียงลำพัง
เดินขึ้นบันไดทีละขั้นถึงส่วนยอดของแท่นบูชา
ปักธูปหอมสามดอกในกระถางธูปที่อยู่บนสุดของแท่นบูชา
คนผ่านไปมาข้างทางล้วนเงยหน้ามอง
แต่ไม่มีใครรู้ว่าเจิ้นเป่ยอ๋องผู้นี้เซ่นไหว้อะไรอยู่
เพราะตอนนั้นไม่ใช่เทศกาล ทั้งไม่ใช่ช่วงหว่านเมล็ดพันธุ์ในฤดูใบไม้ผลิหรือช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง
ยิ่งไม่ใช่จะไปออกรบ
เป็นแค่หนึ่งวันธรรมดาเท่านั้น
แต่เมื่อหนึ่งวันธรรมดานี้ผ่านไปก็ไม่มีใครบอกว่าเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเป็นคนพิการอีกเลย
ต่อให้มีคนจากอาณาจักรอ๋องอื่นมาเมืองอ๋องแล้วพร่ำพูดข่าวลือเก่าๆ เหล่านี้ไม่หยุดปาก ก็มักจะมีคนในพื้นที่เปิดปากด่ากลับไปทั้งอย่างนั้น
อย่างไรพวกเขาก็เคยเห็นซ่างกวนซวี่เหยาเดินพื้นกับตา
ไม่เพียงเดินพื้น ยังขึ้นบันไดปีนแท่นบูชาที่สูงยิ่ง
……………………
บนถนนยาวตรงข้ามประตูตะวันตกไร้ผู้คน
เสี่ยวลี่เผยรอยยิ้ม พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
นอกจากเป็นผู้ถวายงานของวังเจิ้นเป่ยอ๋อง เขายังเป็นขุนนางใหญ่แห่งวังเจิ้นเป่ยอ๋องและเมืองเจิ้นเป่ยอ๋องด้วย
ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ล้วนต้องให้เขาใคร่ครวญจัดการ
เขาจึงออกจากเมืองอ๋องน้อยมาก
ต่อให้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาออกไปแล้ว เขาก็จะลงมาบัญชาการในเมืองอ๋องและปฏิบัติหน้าที่ของเขาต่อ
แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป
ว่าตามหลักเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ซ่างกวนซวี่เหยาผู้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องควรบัญชาการเมืองอ๋อง วางแผนการทั่วทิศถึงจะถูก
แต่เขากลับมุ่งมั่นจะไปตกปลา
ทั้งยังไปตกปลาในบ่อห่านป่าสีชาดที่อยู่ห่างเมืองอ๋องกว่าสามร้อยลี้
ซ่างกวนซวี่เหยาไม่เคยล่าสัตว์
เพราะล่าสัตว์มักต้องขี่ม้า
ขี่ม้าก็ต้องยืนขึ้น
แต่สิ่งที่เขาไม่ชอบทำที่สุดก็คือการยืน
เขาจึงได้แต่ตกปลา
ไม่ใช่เพราะซ่างกวนซวี่เหยาชอบตกปลา
แต่นอกจากกิจกรรมนี้ เขาก็หาเรื่องที่ทำให้ตนนั่งฆ่าเวลาแล้วยังไม่รู้สึกเบื่อไม่เจอเลยสักอย่าง
ดีที่ฝีเท้าของคนยกเกี้ยวสิบหกคนนี้เร็วนัก
มาถึงบ่อห่านป่าสีชาดที่ห่างออกไปกว่าสามร้อยลี้โดยยังไม่ครบหนึ่งวันดี
สามวันนี้ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่นั่งตกปลาเงียบๆ คนเดียว
บางครั้งถึงขั้นกอดคันเบ็ดหลับ กระทั่งปลาที่งับเหยื่อลากคันเบ็ดลงในน้ำก็ไม่รู้ตัว
ก่อนตกปลาเขาออกคำสั่งอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือห้ามเข้ามารบกวนไม่ว่าด้วยเรื่องอะไร
นี่ทำให้เสี่ยวลี่ลำบากอย่างยิ่ง…
ผู้ถวายงานคนอื่นยังดี แค่คุ้มครองอยู่โดยรอบท่านอ๋องก็พอ
แต่เขารับงานหนักไว้บนบ่า
ที่นี่ยังห่างไกลเมืองอ๋องอีกด้วย
ถ้าเกิดเหตุร้ายอะไร ต้องใช้คำของท่านอ๋องเป็นอำนาจตัดสินเด็ดขาดถึงจะถูก!
เสี่ยวลี่ยิ่งคิดยิ่งร้อนใจ ถึงขั้นเริ่มทะเลาะกับเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาอยู่ข้างบ่อห่านป่าสีชาด
“หากเสียเมืองอ๋องแล้วจะทำอย่างไร?!”
เสี่ยวลี่กล่าวด้วยความหวั่นใจ
เขาพูดประโยคนี้ออกมาได้แสดงว่าความกดดันมาถึงขั้นรุนแรงแล้ว
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกเดินทางตามท่านอ๋อง
เดิมการตกปลาควรเป็นเรื่องเอื่อยเฉื่อย เมื่อยล้าและผ่อนคลายยิ่ง
แต่ก็ควรดูว่าเป็นเวลาใด อยู่ในช่วงสำคัญแค่ไหน!
เบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงเพิ่งถูกปล้น ท่านอ๋องก็จะออกจากเมืองไปตกปลา
นี่ต่างอะไรกับผู้นำโง่เขลาที่สำมะเลเทเมาจนเสียอำนาจในอดีตเช่นราชวงศ์เหล่านั้น
ที่จริงเสี่ยวลี่พูดเช่นนี้เพราะอยากกระตุ้นซ่างกวนซวี่เหยา
ถึงจะตกปลาก็ต้องฟังข่าวคราวช่วงนี้บ้าง
“เสียเมืองอ๋อง ตีกลับมาก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ อย่างไรข้าก็ไม่ใช่เจิ้นเป่ยอ๋องตั้งแต่แรก…มีคนไล่ข้าลงไปก็แสดงว่าเขาแข็งแกร่งกว่าข้า”
ซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
ท่านอ๋องผู้นี้คือคนที่ไม่เป็นโล้เป็นพายที่สุดในห้าอ๋องแห่งใต้หล้าแล้วจริงๆ…
เป็นคนละขั้วกับติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งเพื่อนบ้านของเขาโดยสิ้นเชิง
……………………
หนำซ้ำอดีตผู้นำสมัยราชวงศ์ของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องก็เป็นคนที่เสียอำนาจเพราะมัวแต่เสพสุข
แม้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายังไม่ถึงขั้นนั้น แต่คนเป็นผู้ปกครองกลับเลือกออกจากเมืองไปตกปลาในยามนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผล
ไม่ใช่แค่เสี่ยวลี่
กระทั่งผู้ถวายงานสี่คนที่เหลือที่อายุเยอะหน่อยก็ถอนหายใจกันไม่หยุด
ท่านอ๋องราชวงศ์ของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องผู้นั้นก็เป็นคนชอบล่าสัตว์คนหนึ่ง
ตอนราชวงศ์ใกล้ล่มสลายก็ยังทำใจวางคันศรสลักอัญมณีในมือตนไม่ได้
ศรธนูขนทองของเขาหาได้ชี้ไปยังศัตรู แต่เป็นกระต่ายในป่าเขา
คนเคยล่าสัตว์ย่อมรู้กัน
การยิงธนูให้โดนกระต่ายยากที่สุด
โดยทั่วไปล้วนทำกับดักเหมือนกรงจับหนูอันหนึ่งรอกระต่ายเข้ามาเอง
แต่ท่านอ๋องราชวงศ์ผู้นี้ยิงธนูแม่นเป็นพิเศษ!
เรียกได้ว่ายิงไม่เคยพลาด
เพียงกระต่ายป่าถูกศรธนูขนทองของเขาเล็งเป้าก็ไม่เคยหนีรอดเลยสักตัว
ตอนเขาออกล่าสัตว์ครั้งสุดท้าย สงครามแย่งชิงที่เกี่ยวเนื่องกับอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องเกิดขึ้นสองวัน
ผ่านมาสองวัน สถานการณ์บนสนามรบไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
ต่อให้มีกำแพงเมืองสูงประตูเมืองใหญ่ สองวันแห่งการสู้รบที่ยากลำบากก็ทำให้นายทหารเหล่านั้นหมดเรี่ยวแรง
หนำซ้ำปีนั้นอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องยังมีพายุฝนครั้งใหญ่อย่างหาได้ยากในรอบร้อยปีอีกด้วย…
นายทหารทุกคนตากฝนห่าใหญ่จนสองเท้าบวมเป่ง
ฝนตกหนักติดกันเกือบครึ่งเดือน
ทำให้ลูกศรและธนูในมือพวกเขาผุพังทั้งหมด
กระทั่งชุดเกราะบนตัวก็เริ่มเปื่อยลอกทีละแผ่น
เหล่านายทหารที่เฝ้าเมืองไม่มีการแบ่งยศสูงต่ำกันแล้ว
แม่ทัพกับพลทหารนั่งล้อมอยู่ด้วยกันเพื่อรักษาความอบอุ่น
แต่คืนนี้อาหารของพวกเขามีแค่หมั่นโถวเย็นๆ ครึ่งลูก
ทว่าในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้พวกเขาก็ยังไม่ทอดทิ้งคูเมืองใต้ฝ่าเท้า
ยังคงรอคอยผู้บัญชาการของตนออกคำสั่ง
แต่คำสั่งส่งมาไม่ถึงเสียที
คำสั่งคราวก่อนยังอยู่ช่วงก่อนฝนตก
มีเพียงประโยคสั้นๆ ว่า ‘ปักหลักรอกำลังเสริม’
แต่ตอนนี้ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วยังไม่เห็นเงาของกำลังเสริม และเสบียงในเมืองก็ใกล้จะหมด
สิ่งที่นายทหารเหล่านี้ไม่รู้คือท่านอ๋องยุคราชวงศ์หรือผู้บัญชาการของพวกเขายังคงล่าสัตว์ดื่มสุราเต็มคราบอยู่ในพื้นที่ห่างจากเมืองแห่งนี้เป็นระยะหลายร้อยลี้
……………………………………………