ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 33 ลอบวางแผนร้าย กระจกสะท้อนความอาจหาญ-2
บทที่ 33 ลอบวางแผนร้าย กระจกสะท้อนความอาจหาญ-2
ค่ายทัพอีกาดำ ชานเมืองหัวเมืองรัฐติง
ฮั่ววั่งและเริ่นหยางอยู่ในกระโจมทัพทหาร
อากาศเริ่มอุ่นขึ้น อีกทั้งตัวฮั่ววั่งโปรดความหนาวทนความเย็น ฉะนั้นในกระโจมจึงไม่มีเตาไฟดินเผาวางไว้
ด้านหน้าฮั่ววั่งมีเพียงเตาดินเผาใบเล็กจากดินแดงวางอยู่ ข้างบนมีหม้อทองเหลืองพร้อมต้มสุราข้างใน
ฮั่ววั่งโปรดปรานทองเหลืองยิ่งนัก
แม้ว่าจะเป็นโลหะผสมพบเห็นได้ทั่วไป หาได้เป็นของมีค่าไม่
ทว่าเขาชอบสีของมันยิ่งกว่าเนื้อสัมผัสของมันเสียอีก
“ดื่มสักจอกได้หรือไม่”
ฮั่ววั่งมองเริ่นหยางพลางถาม
เริ่นหยางส่ายศีรษะ
เขาล้วงเอากาน้ำชาใบเล็กแล้วรินน้ำเดือดลงไป
ยามนี้หลานชายของเขากำลังเล่นซนอยู่นอกกระโจม ไม่มีผู้ใดในทัพอีกาดำที่ยืนเฝ้ายามโดยไม่ถูกเขาแกล้งหยอกเล่น
“เจ้าไม่เติมชากลับเติมเพียงน้ำหรือ”
“ก่อนที่กระหม่อมจะยืมกาน้ำชานี้มา มันเคยเป็นมรดกตกทอดตระกูลสหายเก่ากระหม่อม บรรพบุรุษตระกูลเขาลิ้มรสชาจากาน้ำชาใบนี้มาหลายชั่วอายุคน ทั้งสีและกลิ่นชาได้ซึมซาบเข้าสู่ตัวกาน้ำ ฉะนั้นเพียงรินน้ำร้อนลงไปก็สามารถชงชาดีๆ ได้”
ฮั่ววั่งจ้องกาน้ำข้างหน้าเริ่นหยางด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่าจะมีวัตถุเช่นนี้อยู่ในใต้หล้าจริงๆ
“เชือกเลื่อยไม้ขาด น้ำเซาะหินกร่อน ทุกสิ่งล้วนเป็นกฎเกณฑ์ ไม่ต้องมีวิชาแปลกอันใด เพียงทำซ้ำซากจำเจวันแล้ววันเล่าก็จะสะสมสิ่งน่าทึ่งสะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ได้”
เริ่นหยางหมุนฝากาช้าๆ แล้วกล่าว
สุรามีตะกอน
ขณะต้มสุกตามไฟถ่าน ฟองสีเขียวอ่อนนุ่มจางๆ ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวสุรา
“อีกอย่าง หลานชายกระหม่อมทำลายประตูตำหนักวังอ๋องของท่านทั้งสามฝั่ง กระหม่อมผู้เฒ่าไม่มีหน้าร้องขอสุราจากท่านดื่มจริงๆ”
เริ่นหยางไหวไหล่
เขาเปิดฝากา กลิ่นชาเข้มข้นหอมฟุ้ง กระทั่งกลบกลิ่นสุราของฮั่ววั่ง
“ข้ายังไม่ทราบแน่ชัดเหตุใดเจ้ายืนกรานมาพบข้า กระทั่งออกเดินทางพร้อมทัพอีกาดำโดยไม่คำนึงถึงสถานะ”
เริ่นหยางส่งถ้วยชาให้ฮั่ววั่ง
ฮั่ววั่งรับไปแต่ไม่ดื่ม วางไว้อีกด้านแล้วกล่าวถาม
ไม่ว่าทัพอีกาดำจะแข็งแกร่งเพียงไหนก็เป็นเพียงกองทัพธรรมดาเท่านั้น
เฉกเช่นเริ่นหยางประเภทหลั่งน้ำตาเมื่อแขกกลับบ้าน สุดยอดผู้เร้นกายที่มนุษย์ตายจากกระดูกยังหลงเหลือกลิ่นหอม แต่ไหนแต่ไรไม่ยอมเปื้อนสิ่งโลกีย์ทางโลกเหล่านี้
“เดิมกระหม่อมเพียงอยากพบสหายเก่า วันเวลานัดคืนกาน้ำชาใกล้จะมาถึงแล้ว”
เริ่นหยางทอดถอนใจซึ่งเต็มไปด้วยความเสียดายกาน้ำชานี้
“สหายเก่าของเจ้าอยู่ในจวนข้าหรือ”
“หึๆ ท่านว่าอย่างไรเล่า”
เริ่นหยางแค่นหัวเราะ
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่ไปพบเล่า”
“เพราะพระองค์ผู้เป็นเจ้าบ้านไม่อยู่บ้าน กระหม่อมจะผลีผลามเข้าสถานที่ส่วนตัวของเจ้าบ้านได้อย่างไร”
เริ่นหยางไม่ชอบดื่มจากถ้วยชา แต่ดื่มจากพวยกาน้ำชาโดยตรง
เขากรอกชาร้อนเดือดเข้าปากราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฮั่ววั่งพลันรู้สึกว่าชายชราผู้นี้น่าขันยิ่งนัก
เจ้าพังประตูบ้านข้า ทั้งประกอบอาหารมื้อใหญ่ในครัวของข้า สุดท้ายกลับบอกว่าไม่กล้าไปพบสหายเก่าเพราะข้าไม่อยู่
ในใต้หล้ายังมีคนประหลาดเช่นนี้อยู่หรือนี่
แน่นอนว่าเขาทราบถึงสถานที่ที่เริ่นหยางกล่าวคือคุกขังใต้ดินในวังอ๋องของตนเอง
เพียงแต่ฮั่ววั่งไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้ใดในนั้นเป็นสหายเก่าของเขา
“เช่นนั้น เจ้าจะชดใช้ข้าอย่างไร แม้จะเป็นหนี้ก็ต้องมีสัญญา”
เริ่นหยางเติมน้ำเดือดในกาน้ำชาของตนเอง แต่สายตากลับชำเลืองมองกระบี่ดาราพิงโต๊ะถัดจากฮั่ววั่ง
“ใช้ดีหรือไม่”
เริ่นหยางกล่าวถาม
ฮั่ววั่งเงียบไม่ส่งเสียง แต่กระตุ้นปราณ เคลื่อนย้ายสองขั้วอย่างเงียบเชียบ
เขารู้สึกอยู่เสมอว่าการมาของเริ่นหยางไม่ได้มาดี ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นจริง
เขามาเพื่อกระบี่ดารา
มือขวาฮั่ววั่งอยู่ใต้โต๊ะพลันกำหมัดแน่น
เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะเริ่นหยางได้ ต่อให้กระบี่ดาราจะอยู่ในมือก็ตาม
แม้ว่าภายนอกเขาจะดูปกติดี แต่ความเสียหายที่ได้รับในวันนั้นยังฟื้นคืนไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่ตนเองฝึกตนไม่กี่วันก่อนและด้วยความที่ติดอยู่ในหัวเมืองรัฐติง จึงไม่กล้าใช้พลังทั้งหมดเกรงว่าจะเปิดเผยที่อยู่ของตนเองเข้า ตระกูลทังในจวนผู้ควบคุมรัฐกำลังจับตาจ้องเขมือบเขาอยู่
จนกระทั่งเวลาล่วงจนถึงทุกวันนี้กลับหายดีเพียงเจ็ดแปดส่วนเท่านั้น
แม้ว่าช่วงเวลาแห่งชัยชนะจะห่างกันไม่มาก แต่การเผชิญหน้ากับปรมาจารย์เช่นเริ่นหยางแล้ว ความคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยนำไปสู่ความคลาดเคลื่อนครั้งใหญ่ได้ ไม่อาจประมาทเลินเล่อแม้แต่น้อย
กลยุทธ์เพียงหนึ่งเดียวคือการใช้ประโยชน์จากความอลหม่านหนีไป
ฮั่ววั่งมองเตาไฟใบเล็กต้มสุราข้างหน้าและมีแผนในใจแล้ว
“ฉัวะ!”
ก่อนที่ฮั่ววั่งจะปฏิบัติตามแผนการในใจ เริ่นหยางเหวี่ยงกระบี่ตกปลาเกี่ยวกระบี่ดาราไปได้ในคราเดียว
“กระบี่ดารา!”
ฮั่ววั่งสมองขาวโพลน
หมายจะผุดลุกแต่กลับไม่รู้จะเคลื่อนไหวอย่างไร
เพียงแต่สองขางอเล็กน้อย ร่างกายส่วนบนโน้มไปข้างหน้าค้างเติ่งอยู่ตรงจุดนั้น
ครั้นกระบี่ดาราถึงมือเริ่นหยางกลับไม่รีบร้อนจากไป แต่จับไว้ในมือตวัดท่าทางเล่นกับมันเล็กน้อย
“ต้องขออภัยด้วย กระหม่อมผู้เฒ่าก็เป็นผู้ใช้กระบี่เช่นกัน…ได้เห็นวัตถุเทพเซียนนี้แล้วอดทำตัวลืมกิริยา หยิบยืมมาโดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการล่วงเกินอย่างยิ่ง”
ฮั่ววั่งมองเริ่นหยางคืนกระบี่ดารา พลันเกิดอาการชั่ววูบอยากจะสังหารเขาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด
ตาเฒ่านี่!
แกล้งหยอกตนเองเล่นราวกับลิงก็ไม่ปาน!
ก่อนอื่นได้เผยตบะวิชากระบี่ไม่อาจคาดเดาได้ ฉกฉวยกระบี่ดาราของเขาไปแล้วคืนให้ด้วยความถ่อมตน นี่ไม่ได้เป็นการบอกเขาอย่างชัดเจนหรือว่า ‘กระหม่อมหาได้สนใจกระบี่ดาราของท่านไม่ แต่หากกระหม่อมต้องการ ท่านฮั่ววั่งทำได้เพียงงอขาโน้มตัวจ้องตาเป็นมันเท่านั้น’
“โธ่เอ้ย!”
ยามนี้เอง เริ่นหยางร้องเสียงดังลั่นฉับพลัน
“เจ้า…เจ้าไปยั่วยุ ‘เขา’ ได้อย่างไรเล่า”
หลานชายที่หยอกล้อสนุกสนานนอกกระโจมเห็นปู่ของตนเองที่สามารถดื่มสุราสามจอกกับเขาเวหามาโดยตลอด กระทั่งมือซ้ายและมือขวาช่วยกันยังต้องใช้เวลาเคลื่อนย้ายหมากรุกไปครึ่งค่อนวัน คาดไม่ถึงว่าความขัดแย้งจะวุ่นวายเพียงนี้จนอดเอียงศีรษะด้วยความฉงนไม่ได้
ฮั่ววั่งได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกผิดหวังในใจ
เขาคาดไม่ถึงว่าแม้แต่เริ่นหยางยังหวาดกลัวนักเชิดหุ่นปิศาจถึงเพียงนี้
“อย่างไรก็ตามแต่ ขึ้นอยู่กับกรรมของกระบี่แต่เจ้ากลับได้รับผลไปด้วย”
ฮั่ววั่งออกปาก ยินดีกับความโชคร้ายของผู้อื่นหมายจะลากเริ่นหยางลงไปในน้ำด้วย
ในเวลานี้เอง เขาไหนเลยจะยังดูเหมือนหนึ่งในห้าอ๋องแห่งใต้หล้า
ไม่เป็นสองรองจากคนทำลายชาติโกงกินตลอดทั้งวันเหล่านั้นที่ถูกนักการจับกุมเร็วพลัน เอาแต่ปัดความรับผิดชอบประหนึ่งคนชั่วกัดกันเอง ราวกับว่าคนมากหน่อยความจริงก็จะเข้าข้างตนเอง
แต่เริ่นหยางก็ยังชอบหลงกลอยู่ดี
เขายืนหน้าประตูพลางถอนหายใจลึกๆ กลับมานั่งลงที่โต๊ะใหม่อีกครั้ง สีหน้ากลับไม่ได้ห่อเหี่ยวมากนัก
“เจ้าคิดจะยุติกรรมนี้อย่างไร”
หากเขาออกปากขอความช่วยเหลือ เช่นนั้นชนวนเหตุการณ์คงไม่เกิดขึ้นโดยไร้สาเหตุ
แต่เมื่อเกี่ยวพันกับกระบี่ดารา ฮั่ววั่งจะให้คนนอกยืมมันได้อย่างไร
เอาเถิด หากตำหนิก็ตำหนิตนเองที่กระตุ้นความปรารถนาเพียงเท่านั้นเอง
“ช่วยข้า”
ฮั่ววั่งกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“‘เขา’ น่ะฆ่าไม่ตาย”
เริ่นหยางก็ตอบไปตามตรงเช่นกัน
ทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบ
เริ่นหยางหมายจะดื่มชา แต่กลับพบว่าน้ำชาเย็นชืดเสียแล้ว
“เช่นนั้นรอจนกว่าข้าจะคิดออกแล้วค่อยว่ากัน”
ฮั่ววั่งรินสุราให้ตนเองหนึ่งจอกแล้วถีบเตาเผาดินแดงข้างหน้าให้เริ่นหยาง
“ท่านมีหัวใจแห่งกษัตริย์ ทว่าใต้หล้ายังไม่สุกงอมต่อดวงชะตาของกษัตริย์”
เริ่นหยางใช้กระบวยยาวกวนสุรา กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“เป็นกษัตริย์ของชาติจะเป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้า ต้องให้อภัยทุกสรรพสิ่งและแบกรับทุกอย่างในใต้หล้าให้จงได้ แต่ท่านฮั่ววั่ง มีเพียงฝีมือยอดเยี่ยมปราดเปรื่องอยู่บ้าง ไม่มีผู้ใดยินดีผลักดันท่าน”
ครั้นฮั่ววั่งได้ยินคำกล่าวนี้ กัดฟันแน่น กระทั่งทำจอกสุราแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ข้าฮั่ววั่ง ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดผลักดัน ไม่จำเป็นต้องแบกรับฟ้าดินเช่นกัน ตราบใดที่ครองกระบี่ดาราในมือ เช่นนั้นข้าก็คือฟ้าดิน ต่อให้เป็นเจ้าเริ่นหยาง ครั้นถึงเวลานั้นเจ้าจะกระทำสิ่งใดต่อข้าได้”
กล่าวถึงตรงนี้ ฮั่ววั่งคว้ากระบี่ดาราฟันโต๊ะข้างหน้าจนขาดเป็นสองท่อน
“หากท่านยังคงดื้อดึงเช่นนี้ ย่อมนำภัยมาสู่ชีวิตตน ผู้ยึดมั่นอาศัยความโหดเหี้ยมร้ายกาจล้วนคงอยู่ไม่นาน ไม่ว่าทัพอีกาดำของท่านฮั่ววั่งจะแกร่งกล้าเพียงใดแต่จะทัดเทียมทัพสามเกียรติของหลิวจิ่งเฮ่าแห่งเมืองหลวงได้อย่างไร ต่อให้ท่านครอบครองกระบี่ดาราห้าเล่มจะรับประกันได้อย่างไรว่าจะถอดรหัสความลับแห่งเซียนเร้นกายภายในได้อย่างแน่นอน”
เริ่นหยางเอื้อมมือหยิบกาน้ำชาของตน กังวลว่าในชั่วพริบตากระบี่ของฮั่ววั่งจะฟันฉับมาทางเขาอีก
ตนเองน่ะไม่เป็นไร แต่หากกาน้ำชาใบนี้กระแทกแตก เช่นนั้นก็ไม่มีที่อื่นให้มองหาอีกแล้ว
“นักเชิดหุ่นปิศาจปรากฏขึ้นในยามนี้ แนวโน้มสถานการณ์ในใต้หล้าเวียนกลับมาถึงยุคแย่งชิงกระต่ายอีกครั้ง หากท่านเล่นละครตบตาใต้หล้า ใต้หล้าย่อมเล่นละครตบตาท่านเช่นกัน”
เริ่นหยางกล่าวอย่างเคร่งขรึมและเฉียบขาด
“ตอนนี้เจ้าฝึกตนเช่นไร”
ฮั่ววั่งสงบลง ยืนตรงพลางถามพร้อมถือกระบี่ในมือ
ความคิดที่ปิดบังซ่อนลึกที่สุดของเขา ยามนี้ถูกคำพูดของเริ่นหยางเปิดเผยจนได้ จะไม่ให้เขาตกใจระเบิดโทสะได้อย่างไร
“ท่านได้ลองก็จะทราบแล้วไม่ใช่หรือ”
เริ่นหยางหันไปหัวเราะแกมเย้ยหยัน
“ข้าคิดออกแล้วจะให้เจ้าช่วยสิ่งใด”
เริ่นหยางชี้หู บ่งบอกว่าตนกำลังฟังอยู่
“ข้าอยากเห็นเจ้าแสดงวิชากระบี่”
เริ่นหยางไม่ปริปากพูด คว้ากระบี่ตกปลาตรงออกไปนอกกระโจม
เขาแหงนหน้ามองนภาแจ่มใส พลันโยนคันเบ็ดไปตามทิศทางตามอำเภอใจ
มีดสั้นแปลงกลายเป็นตะขอเบ็ดพุ่งไปยังสถานที่ห่างไกลสุดสายตา
รวดเร็วยิ่ง แม้แต่จิตวิญญาณของฮั่ววั่งยังตามไม่ทัน
ในพริบตาเดียว กระบี่ตกปลาวกกลับมา
เพียงแต่ยังมีปลาดิ้นกระเสือกกระสนอยู่บนปลายกระบี่ตกปลา
“ปลาทะเลบูรพาต้องใส่ซีอิ๊วและสุรา นึ่งจนตัวปลากลายเป็นสีมรกต หากเกินเวลาและสุกเกินรสชาติจะเปลี่ยน อีกอย่างต้องปิดฝาหม้อให้แน่น อย่าให้โดนความชื้นจากฝาครอบเด็ดขาด ครั้นสุกได้ที่แล้ว ทานพร้อมสุราแช่แข็งจะยอดเยี่ยมทีเดียว!”
เริ่นหยางดึงปลาเป็นๆ ออกจากปลายกระบี่ตกปลาส่งให้ฮั่ววั่งพลางกล่าว
ฮั่ววั่งมองปลาในมืออย่างโง่เขลา
เพียงกระบี่เดียวไปถึงทะเลบูรพาในชั่วพริบตา
ข้ามทวีปเสมือนใกล้แค่เอื้อม มีเพียงเทพบริราชเก้าทวีปเท่านั้นที่กระทำได้
ครั้นเงยหน้าอีกครั้ง เริ่นหยางได้พาหลานชายเหาะลิ่วจากไปแล้ว
“สำหรับค่าใช้จ่ายซ่อมประตูรอให้ท่านกลับวังแล้ว กระหม่อมจะชดใช้ให้เมื่อกลับมาเยี่ยมเยียนสหายเก่าอีกครา”
คำพูดลอยมาช้าๆ ดุจเสียงสวรรค์ในกลีบเมฆ
“ทูลท่านอ๋อง เมื่อครู่นี้ได้ออกลาดตระเวนพบคนผู้หนึ่งวนเวียนอยู่นอกค่ายทหารของเรา ครั้นหลังจากควบคุมตัวค้นเจอจดหมายฉบับหนึ่ง”
นายทหารทัพอีกาดำก้าวไปข้างหน้ากล่าวรายงาน
ฮั่ววั่งเห็นว่าปกจดหมายสะอาดสะอ้าน กระทั่งไม่ปิดผนึกซอง ทว่าเนื้อหาจดหมายทำให้เขาอดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้
“ส่งคนไปส่งจดหมายฉบับนี้ที่อาคารกรมสอบสวนในหัวเมืองรัฐติง ถ่ายทอดให้ผู้แทนการตรวจสอบหลิวรุ่ยอิ่งว่าข้าฮั่ววั่งไม่เคยกลืนคำ เชื้อเชิญเขาไปจัดการเรื่องนี้ที่กองทัพชายแดนด้วยกัน นอกจากนี้ถ่ายทอดให้ทังหมิงว่าข้าล่วงหน้าไปก่อน ให้เขาติดตามมาภายหลังและพบกับข้าที่ค่ายใหญ่แนวหน้าของเฮ่อโหย่วเจี้ยน”
ฮั่ววั่งกล่าวจัดการวางแผนเช่นนี้
………………………..
หัวเมืองรัฐติง
หลิวรุ่ยอิ่งนำทัพทหารมาถึงหน้าจวนผู้ควบคุมรัฐอย่างราบรื่น
การมาในครั้งนี้ เขาเพียงต้องการแจ้งให้ทังหมิงทราบว่าตนเองจะนำกำลังคนจากกรมสอบสวนมุ่งหน้าสู่เขตสงครามชายแดนอีกครั้ง
แท้จริงแล้วเป็นการแสดงอำนาจของตน
ต้องกล่าวว่า นับตั้งแต่หลิวรุ่ยอิ่งเลื่อนขั้นบรมภูมิเทียมแล้ว ความมั่นใจเต็มเปี่ยมไม่ได้สูงธรรมดา
รู้สึกว่าทุกสิ่งในใต้หล้าเหมือนถนนเส้นตรงไม่คดเคี้ยวแม้แต่นิด เท้าคู่หนึ่งของเขาสามารถข้ามผ่านและเตะมันให้ราบเรียบได้
ครั้นเปรียบเทียบความเย่อหยิ่งนอกหัวเมือง เป็นภาพที่แต่งต่างไปจากภายในหัวเมือง
ในวันเดียวกัน ทังจงซงส่งเผียวเจิ้งหงนำจดหมายของตนเองรุดหน้าไปรัฐเยวี่ยเพื่อจ้างวานนักฆ่ามือกระบี่ลอบสังหารสืออีเฟิง
จุดประสงค์เพื่อสร้างความอลหม่านให้กรมสอบสวน กวนน้ำขุ่นรัฐติงให้ขุ่นยิ่งขึ้น
ทว่าจวบจนบัดนี้สาเหตุการเสียชีวิตของสืออีเฟิงมีลับลมคมใน
ทังซงจงไม่คิดว่ามีผู้ใดในรัฐเยวี่ยจะกระทำสิ่งนี้ได้
แม้จะมี ก็หาใช่ตัวละครที่เผียวเจิ้งหงจะอาศัยจดหมายในมือไปจ้างวานได้ไม่
ตนเองขอให้เขากลับมาล่าช้าสักสองสามวัน เพื่อเลี่ยงเป็นจุดสนใจและลบล้างความสงสัย
ทว่ายามนี้ไม่ใช่เพียงวันเวลาผ่านไปแล้วเหล่านั้น แต่กลับไม่มีข่าวคราวจากเผียวเจิ้งหง
สิ่งนี้ทำให้ลางสังหรณ์ไม่ดีนี้ผุดขึ้นในใจทังจงซงเล็กน้อย ประกอบกับในเวลานี้หลิวรุ่ยอิ่งนำทุกคนจากกรมสอบสวนมาถึงประตูจวน
“หรือว่า…”
เขาสงสัยว่าหลิวรุ่ยอิ่งทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของสืออีเฟิงหรือไม่
ทังจงซงตระหนักถึงความน่าเชื่อถือหลิวรุ่ยอิ่ง แต่หัวหน้าอาคารกรมสอบสวนท้องถิ่นถือได้ว่าเป็นอันธพาลประจำถิ่น
ชายหนุ่มมีพรสวรรค์เช่นหลิวรุ่ยอิ่ง ความโหดเหี้ยมในการกระทำการใดยังไม่เด็ดขาดเต็มที่ กลัวที่สุดว่าจะถูกผู้อื่นเป่าหู
สถานการณ์ของอาคารกรมสอบสวนที่นี่ในช่วงหลายปีผ่านมาเขาก็ทราบแก่ใจ หากหัวหน้าอาคารผู้นั้นหมายจะใช้โอกาสนี้สืบหาความจริง ชำระแค้นเก่า ระบายความแค้น เช่นนั้นโชคก็เข้าข้างแล้วจริงๆ
ขณะนี้ แม้ว่าจะไม่ถึงกับลุกลี้ลุกลนไร้หนทางรับมือ แต่เบาะแสมากเกินไปจนสลับซับซ้อน แม้แต่ทังจงซงเองก็ยังรู้สึกว่าขมับปวดจนเต้นตุบๆ
แต่คนที่ขาดดุลเหตุผล ท้ายที่สุดก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี
………………………………………………………………