ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 329 แสงจันทร์ไม่เอ่ยเรื่องผีสาง-7
บทที่ 329 แสงจันทร์ไม่เอ่ยเรื่องผีสาง-7
ตอนหลิวรุ่ยอิ่งกับหวาหนงเดินถึงหน้าจวนนายท่านจิน เห็นประตูจวนเปิดกว้างอยู่
ผู้ดูแลจวนของนายท่านจินยืนอยู่ตรงประตู
เขาเห็นหลิวรุ่ยอิ่งแล้วเป็นฝ่ายเดินมาหา
“ท่านคือสหายของเสี่ยวจีหลิงกระมัง”
ผู้ดูแลจวนเอ่ยถาม
“เสี่ยวจีหลิงอยู่ที่นี่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“ถูกต้อง เขากำลังดื่มสุรากับนายท่านบ้านข้าอยู่ในศาลา”
ผู้ดูแลจวนยิ้มกล่าว
เขาชอบเห็นสีหน้าตกใจของคนอื่นยิ่งนัก
สีหน้าเช่นนี้ทำให้เขาพึงใจไม่น้อย
รู้สึกตนเหมือนผู้วิเศษที่กำหนดชะตาฟ้าควบคุมทุกสถานการณ์
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
เดินเข้าไปพร้อมหวาหนง
หลิวรุ่ยอิ่งมองจวนหรูหราของนายท่านจิน อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเหมืองแร่รกร้างเช่นนี้จะมีสวรรค์บนดินอยู่แห่งหนึ่งด้วย
เขาก็นับว่าพบเห็นอะไรมามาก
แต่เขารู้จักชื่อดอกไม้ที่ปลูกไว้กลางลานไม่ถึงครึ่ง…
เพียงรู้สึกว่างดงาม
ผู้ดูแลจวนนำทางอยู่หน้าหลิวรุ่ยอิ่งครึ่งก้าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าทำไมนายท่านจินที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนถึงได้ต้อนรับตนอย่างดีเช่นนี้
และยิ่งนึกไม่ถึงว่าเสี่ยวจีหลิงจะรู้จักมักจี่กับนายท่านจินทั้งยังบอกว่าตนเป็นสหายของเขา
กลางสวนดอกไม้ลานด้านหน้ามีทางเล็กปูด้วยแผ่นหินปูนสายหนึ่ง
ทางเล็กคดเคี้ยวไปมา ตรงสุดทางยังมีสระบัวแห่งหนึ่ง
กลิ่นอายเหมือนทิวทัศน์เจียงหนาน[1]ไม่น้อย
ช่างขัดกับความแข็งกร้าวเปล่าเปลี่ยวของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องยิ่งนัก
ดูท่านายท่านจินเจ้าของที่นี่ต้องเป็นปัญญาชนผู้สง่าผ่าเผยคนหนึ่งแน่นอน
ไม่มีทางเป็นแค่เศรษฐีหน้าใหม่ฉาบฉวยเช่นนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งเดินมุ่งไปตามทางเล็กสายนี้
ยังเดินไม่ถึงครึ่งก็เห็นฝั่งขวามีศาลาพักร้อนแห่งหนึ่ง
ในศาลาพักร้อนนั่งกันแค่สองคน
แต่ข้างศาลากลับมีคนล้อมอยู่หลายกลุ่ม
คนเหล่านี้ล้วนเป็นอาชญากรแห่งยุทธภพที่มาหลบหนีอยู่ในจวนนายท่านจิน
พวกเขากินอาหารเช้าเสร็จแล้วได้ยินว่าเสี่ยวจีหลิงมาจึงแห่กันมาร่วมสนุกด้วย
ความจริงอยากฟังเขาเล่าเรื่อง
อย่างไรชาวยุทธ์ก็คือชาวยุทธ์
แม้ทำความผิดใหญ่โตจำต้องหนีมาหลบภัยในพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้ แต่หัวใจของพวกเขาก็ยังคงอยู่ในยุทธภพ
ปากบอกเบื่อแสงดาบเงากระบี่ หน่ายรบราฆ่าฟัน
แต่มีสายตาของพวกเขาคนไหนบ้างที่มองไปยังเสี่ยวจีหลิงแล้วไม่เป็นประกาย
ในนั้นเต็มเปี่ยมด้วยความหวังและความฝันใฝ่
แน่นอนว่ายังมีความเสียใจและความจนปัญญาเล็กน้อย
ทว่าถูกหลิวรุ่ยอิ่งขวางไว้
เพราะฉากตรงหน้าช่างน่าสนใจโดยแท้
เสี่ยวจีหลิงไม่ได้เล่าเรื่องราว
แต่กำลังดื่มสุรากับนายท่านจิน
พูดให้ชัดคือแข่งดื่มสุรา
นายท่านจินกำยำสูงใหญ่ รูปร่างล่ำสัน
ดูแค่รูปร่างนี้ก็รู้ว่าเสี่ยวจีหลิงต้องแพ้แน่นอน
เพราะถึงเสี่ยวจีหลิงไม่ได้สกุลเสี่ยวและอายุก็ไม่น้อย
แต่ร่างกายของเขาเล็กมากจริงๆ
รูปร่างไม่สูง ผอมอ่อนแออย่างยิ่ง
คล้ายถูกพายุทรายในเหมืองแร่พัดก็จะปลิวไปเช่นนั้น
ไม่แปลกที่ท่าร่างของเขาปราดเปรียวเช่นนี้
คนอ้วนคนหนึ่งคงฝึกท่าร่างว่องไวไร้ร่องรอยเช่นนี้ได้ยาก
หลิวรุ่ยอิ่งนึกถึงเรื่องหนึ่งที่นักเล่าเรื่องขัดดาบแนวนอนเล่าในโรงเรืองขวัญที่หัวเมืองรัฐติงแห่งอาณาจักรติ้งซีอ๋อง
เรื่องเกี่ยวกับคนอ้วนนามว่าเกาซวี่ข่ายอยากเรียนวิชาลอยบนผิวน้ำ
แม้เขาได้เป็นคนข้ามฟากอันดับหนึ่งในใต้หล้าบนแม่น้ำจักรพรรดิ
แต่สุดท้ายเขาก็ยังฝึกวิชาลอยบนผิวน้ำไม่สำเร็จ
ในเมื่อดูแค่รูปร่างก็เอาชนะนายท่านจินไม่ได้ แล้วเสี่ยวจีหลิงควรทำอย่างไร
ที่หลิวรุ่ยอิ่งสงสัยกว่าคือทำไมเขาถึงรับท้าดื่มสุรากับนายท่านจิน
เสี่ยวจีหลิงเคยพูดเองว่าเขาเป็นคนขี้ขลาดที่สุดในใต้หล้า
แต่คนขี้ขลาดที่สุดคนหนึ่งกลับแข่งดื่มสุรากับคนอื่น นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างยิ่งไม่ใช่หรอกหรือ
หลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่อยากเดินเข้าไปรบกวน
เขาอยากลองดูว่าเสี่ยวจีหลิงจะแข่งดื่มสุราอย่างไรกันแน่
คนขี้ขลาดที่สุดอาจไม่ยอมทำอะไรเลย
แต่พอจะทำขึ้นมาก็ต้องเป็นผู้ชนะแน่นอน
เพียงแต่คิดไปคิดมา หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่รู้เลยว่าเสี่ยวจีหลิงควรคว้าชัยอย่างไร
“เจ้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าเข้าไปเอง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวกับผู้ดูแลจวนข้างกาย
อีกฝ่ายตอบรับและถอยกลับ
เขายังมีเรื่องมากมายต้องทำ
อย่างเช่น สั่งให้โถงด้านหลังเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับเสี่ยวจีหลิงกับหลิวรุ่ยอิ่งตอนกลางวัน
หลิวรุ่ยอิ่งเคยเจอเสี่ยวจีหลิงแล้ว
จุดรวมสายตาของเขาอยู่ที่ตัวนายท่านจินเป็นหลัก
เขาสวมเสื้อสีครามลายดอกเหลือง
เอวรัดเข็มขัดด้ายทองลายแมงมุมสีน้ำเงินเข้มเส้นหนึ่ง
ผมไม่ดำล้วน แต่มีสีน้ำตาลอ่อนๆ อยู่ทั่ว
สองตาเบิกกว้าง รอคอยความท้าทายที่กำลังมาถึง
“เจ้าพูดเถิด แข่งอย่างไร”
นายท่านจินเอ่ยถาม
เป้าหมายเดิมของเขาคือมอมสุราเสี่ยวจีหลิง
เพราะเขารู้ว่าเสี่ยวจีหลิงไม่ใช่คนที่จะดึงตัวไว้ได้
ถ้าเขาจะไป เกรงว่าไม่มีใครแตะได้แม้กระทั่งชายเสื้อของเขา
แต่คนดื่มจนเมาคนหนึ่ง ต่อให้เขามีความสามารถเป็นร้อยพันก็แสดงออกมาไม่ได้
ยิ่งเวลาที่เสี่ยวจีหลิงพักอยู่กับเขานานเท่าไร เรื่องน่าสนใจที่เขาจะได้ฟังก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
“ดื่มสุราก็มีวิธีดื่มสองอย่าง แค่เร็วกับช้าเท่านั้น นายท่านจินอยากแข่งดื่มเร็วหรือดื่มช้าเล่า”
เสี่ยวจีหลิงเอ่ยถาม
นายท่านจินเป็นคนดื่มเร็วมาแต่ไหนแต่ไร
พอชามใหญ่วาง สุรารินเต็ม
แหงนหน้า ก้นชามชี้ฟ้า
ดื่มเร็วนอกจากสดชื่นแล้วยังเมาได้เต็มที่
ด้วยระดับการดื่มของนายท่านจิน
ลงท้องเจ็ดแปดชามก็เริ่มรู้สึกแล้ว
แต่ถ้าอยากแข่งกับคน ต่อให้ดื่มยี่สิบสามสิบชามก็ยังไหว
ทว่าเสี่ยวจีหลิงไม่เหมือนกัน
เขาดื่มน้ำวันหนึ่งยังไม่ถึงเจ็ดแปดชามนี้เลย
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงดื่มสุรา
แม้เขาชอบดื่มสุรา
แต่คอไม่ค่อยแข็งเอาเสียเลย
หนำซ้ำสำหรับเสี่ยวจีหลิง
การดื่มจนเมาเป็นเรื่องน่ากลัวมากอย่างหนึ่ง
เพราะเขารู้เยอะเกินไป
หลายเรื่องล้วนเป็นเรื่องที่คนอื่นไม่อยากให้เขารู้
แม้เขาเองก็เป็นคนมีขอบเขตไม่น้อย
เรื่องที่พูดออกมาได้ล้วนเป็นเรื่องที่คนสามารถรู้กันถ้วนทั่ว
แต่ปากคนตายปิดสนิทกว่าไม่ใช่หรอกหรือ
แทนที่จะคิดเช้าคิดเย็นว่าปากของเสี่ยวจีหลิงผู้เดินทางไปทั่วจะปิดสนิทหรือไม่ ยังไม่สู้สังหารเขาเสีย ให้เรื่องเหล่านั้นเน่าอยู่ในท้องและใส่เข้าไปในโลงศพ
ลองเทียบหน้าหลัง อย่างไหนทำให้คนวางใจกว่า
แน่นอนว่าเป็นอย่างหลัง
ดังนั้นแม้เสี่ยวจีหลิงท่องทั่วหล้า ดื่มทั่วหล้าก็ไม่เคยเมามาก่อน
เขามักจะเหลือสติไว้สามส่วน เตรียมพร้อมเมื่อจำเป็นตลอดเวลา
“ข้าเป็นคนดื่มเร็วมาแต่ไหนแต่ไร สหายเหล่านี้ก็รู้กันหมด พวกเขาบอกข้าทองสามชาม เงินสามชาม เงินทองแบ่งครึ่งอีกสามชาม!”
นายท่านจินกล่าว
นี่เป็นกลอนปากเปล่าที่อาชญากรแห่งยุทธภพในจวนนายท่านจินแต่งออกมาหยอกล้อเขาเรื่องดื่มสุรา
ความหมายคือสามชามแรกเขาดื่มดุเดือดอย่างยิ่ง เหมือนทองคำเปล่งประกายวาววาม
และสามชามครั้งที่สอง ความจริงต้องอ่อนลงหลายส่วน แต่ก็เทียบได้กับเงินขาวเรืองรอง
มาถึงครั้งที่สาม หากนายท่านจินยังสนุกสนาน อารมณ์ดี เช่นนั้นก็ยังเป็นทองคำ
หากรู้สึกเฉยๆ ทุกอย่างก็จะเริ่มลดลง
เหมือนเงินตำลึง ยิ่งใช้ยิ่งน้อย
ถึงได้เรียกว่าเงินทองแบ่งครึ่งอีกสามชาม
เสี่ยวจีหลิงได้ยินคำพูดนี้พลันกลอกตารอบหนึ่ง เขาเกิดความคิดแล้ว
“เช่นนั้นพวกเราก็ดื่มช้า!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“ดื่มช้า? ดื่มช้าเป็นอย่างไร”
นายท่านจินเอ่ยถาม
เขาไม่เคยดื่มช้ามาก่อน
นายท่านจินจึงไม่เคยอยู่ในงานเลี้ยงที่ตนเข้าร่วมตั้งแต่ต้นจนจบ
ไม่เกินครึ่งชั่วยามนายท่านจินเป็นต้องนอนให้คนยกออกมา
ในปากพร่ำรำพันชื่อเหยี่ยวที่เขาชอบที่สุด
คนไม่รู้คงนึกว่าเขาจำชื่อแม่นางบ้านไหนอยู่
“ดื่มช้าก็คือดื่มทีละจอก สิ่งที่แข่งไม่ใช่ความเร็ว แต่เป็นความนาน”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“ความนาน? เช่นนั้นหนึ่งจอกดื่มหนึ่งชั่วยามก็นับว่านาน นี่แข่งไม่ได้หรอก…แข่งไม่ได้!”
นายท่านจินกล่าวพลางโบกมือต่อเนื่อง
หากให้เขาดื่มสุราแค่จอกเดียวในหนึ่งชั่วยาม ความทรมานเช่นนั้นสู้ฆ่าเขาเสียดีกว่า
ไม่อย่างนั้นทุกครั้งได้เพียงแตะริมฝีปากให้เปียก
เกรงว่ายังไม่ถึงคอหอยก็แห้งหมดแล้ว
การดื่มสุราครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้สุดจะทรมานเลยไม่ใช่หรือ
“แน่นอนว่าไม่ได้ดื่มแค่จอกเดียวในหนึ่งชั่วยาม สุราทุกจอกล้วนต้องดื่มให้หมดในเวลาหนึ่งถ้วยชา ขอแค่ดื่มสุราหมดในเวลาหนึ่งถ้วยชาก็พอ ไม่แบ่งใครก่อนใครหลัง จากนั้นเทียบกันดูว่าใครดื่มได้เยอะ”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
นายท่านจินลองคิด รู้สึกหากกำหนดเวลาเช่นนี้ยังพอได้
เพียงแต่จอกสุราเล็กเกินไปจริงๆ
เมื่อเทียบกับเวลาหนึ่งถ้วยชาแล้วก็ไม่ได้ดีกว่าหนึ่งชั่วยามเท่าไร
“อันนี้ได้! แต่ห้ามใช้จอกสุรา ต้องใช้ชามเหมือนเดิม!”
นายท่านจินกล่าว
เสี่ยวจีหลิงพยักหน้า
อีกฝ่ายเป็นเจ้าบ้าน เขาเป็นแขก
กฎการแข่งส่วนใหญ่ก็เอาตามเขาหมดแล้ว ต้องไว้หน้าเจ้าบ้านบ้างถึงจะถูก
“อย่าหาว่าข้ารังแกเจ้า ในบ้านนี้ดื่มสุราด้วยชามใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งคนกวาดพื้นก็ไม่เว้น!”
นายท่านจินกล่าวพลางชี้ชามใหญ่ตรงหน้า
ชามนี้ใหญ่ไปหน่อยจริงๆ…
ถึงขั้นครอบหน้าทั้งใบของเสี่ยวจีหลิงได้เลย
แต่เสี่ยวจีหลิวยังตอบรับอย่างผ่อนคลาย
เหมือนไม่เกรงกลัวใดๆ
ไม่มีใครรู้ว่าที่จริงเสี่ยวจีหลิงมีไม้ตายอีกอย่างหนึ่ง
ก็คือทำเหมือนจิ่วซานปั้น
ความเร็วในการถอนสุราของเขาเร็วพอกับท่าร่างของเขา
ขอเพียงให้เขาดื่มช้าๆ และมีเวลาเว้นว่าง เขาก็สามารถถอนสุราที่เพิ่งดื่มได้ทั้งหมด
เมื่อนายท่านจินเห็นเสี่ยวจีหลิงพยักหน้า
ในใจก็เบิกบานยิ่ง
รีบสั่งให้ใช้รถลากลากสุรามาเต็มคัน
ตอนเขากำลังจะรินสุรานี้เอง เสี่ยวจีหลิงกลับหยุดมือเขากะทันหัน
……………………………………………
[1] เจียงหนาน พื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำฉางเจียง มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม