ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 308 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-5
- Home
- ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา
- บทที่ 308 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-5
บทที่ 308 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-5
หยวนซานยืนอยู่ข้างๆ ผู้จุดตะเกียงเหมันต์
ในมือผู้จุดตะเกียงเหมันต์ถือตะเกียงเหมันต์อยู่
จิ้นเผิงประหลาดใจจนพูดไม่ออก
นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดได้เลย
ไม่มีผู้ใดนึกคิดได้ว่าหยวนซานจะเป็นหลานสาวของผู้จุดตะเกียงเหมันต์
และไม่มีผู้ใดคิดว่าผู้จุดตะเกียงเหมันต์จะมาเยือนเมืองหยางเหวิน
จิ้นเผิงย่อมรู้จักผู้จุดตะเกียงเหมันต์
และยังรู้จักเป็นอย่างดี
เหนือแผ่นทวีปทั้งเก้า
ที่ที่ตะเกียงเหมันต์ส่องสว่าง
แม้ท้องฟ้าทลายก็สามารถซ่อมแซมได้
ในที่สุดจิ้นเผิงก็ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับผู้จุดตะเกียงเหมันต์จนสุดลำตัว
ผู้จุดตะเกียงเหมันต์มองไปยังเงาร่างของจิ้นเผิง
ในดวงตาที่เย็นชาและขึงขังเผยให้เห็นความอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่
เขาก็เป็นคนมีมารยาทคนหนึ่ง
เพียงแต่หลายปีที่ผ่านมา
ไม่มีใครที่คู่ควรได้รับความสุภาพจากเขาเลย
แม้แต่อ๋องทั้งห้าก็เช่นกัน
เขาเข้าใจทะลุปรุโปร่ง
ประสบการณ์ชีวิตของเขา
ตบะวิถียุทธ์ของเขา
ทุกสิ่งทุกอย่าง เข้าใจอย่างถ่องแท้
โดยเฉพาะประสบการณ์ชีวิตของเขา
ทำให้ผู้จุดตะเกียงเหมันต์รู้สึกเหมือนเห็นอีกตัวตนหนึ่งของตนเอง
ถึงแม้ว่าเขาจะรักและหวงแหนหลานสาว
แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นยอมตามใจนางทุกอย่าง
ต้องรู้ไว้ว่าทุกการกระทำของเขาสามารถก่อให้เกิดภยันตรายร้ายแรงได้ เขาจึงไม่ควรปรากฏตัวอย่างง่ายดาย
เหตุผลที่ผู้จุดตะเกียงเหมันต์สามารถมาเยือนเมืองหยางเหวินพร้อมกับหยวนซานได้
สิ่งสำคัญคือเขาอยากเจอจิ้นเผิงด้วยตัวเองก็เท่านั้น
แต่เมื่อเขาได้เห็นจิ้นเผิง
สายตาของเขากลับหยุดอยู่ที่ร่างของหลิวรุ่ยอิ่งเนิ่นนาน ไม่เหลียวมองทางอื่น
หยวนซานมองตามสายตาของปู่ จึงมองไปที่หลิวรุ่ยอิ่งเช่นกัน
พวกเขาเคยพบกันมาก่อน
นั่นคือตอนที่หยวนซานโมโหจนทุบเครื่องปั้นดินเผาแตก
แต่นางไม่ได้ใส่ใจหลิวรุ่ยอิ่งมากนัก
หากในใจสตรีนางหนึ่งมีคนในใจแล้ว
ไม่ว่าชายอื่นจะดีเลิศเพียงใดก็ไม่ใส่ใจ
ยิ่งไปกว่านั้น หลิวรุ่ยอิ่งยังเยาว์วัยเกินไป
เมื่อใจของหยวนซานมีเพียงจิ้นเผิง
สิ่งที่นางใส่ใจก็คือสตรีที่อยู่ข้างกายจิ้นเผิง
เป็นเสมือนสัญชาตญาณ
นางจ้องเยว่ตี๋ไม่วางตา
ทั้งๆ ที่เยว่ตี๋กับจิ้นเผิงไม่ได้มีสัมพันธ์อันใดเกินเลย
แต่สัญชาตญาณของสตรีต่อศัตรูหัวใจนั้น เปรียบดั่งความสามารถของสุดยอดนักพรตอินหยางในการคำนวณกฎเกณฑ์ธรรมชาติ
ความหึงหวงและการป้องกัน
ในใจของหยวนซานตอนนี้มีเพียงสองความคิดนี้เท่านั้น
การป้องกันยังพอมีเหตุผล
แต่ความหึงหวงนั้นดูจะไม่มีเหตุผลสักเท่าใด
เพียงแต่ความคิดเช่นนี้ จิ้นเผิงในฐานะบุรุษคนหนึ่งกลับไม่สามารถเข้าใจได้
เพราะหยวนซานคอยเกาะติดเขาอยู่ตลอด ทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีสิ่งใดที่ต้องสงสัย
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เขาใส่ใจมากที่สุดคือหยวนซานผู้นี้มักจะโกหกเขาเสมอ
อย่างน้อยเรื่องที่ปู่ของนางคือผู้จุดตะเกียงเหมันต์ จิ้นเผิงก็ไม่รู้มาก่อน
แต่การไม่รู้กลับทำให้จิ้นเผิงใช้ชีวิตได้อย่างสบายอกสบายใจ
เรื่องนี้ แม้แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็พอเข้าใจอยู่บ้าง
ไม่ใช่จากประสบการณ์ของเขาเอง แต่เป็นเพราะชายชราเลี้ยงม้าเล่าให้เขาฟัง
ชายชราเลี้ยงม้าไร้สิ่งผูกมัด นอกจากม้าในคอกม้าแล้วก็ไม่มีภรรยาและทายาท
นี่ย่อมทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกสงสัย
แต่ชายชราเลี้ยงม้าก็ไม่เคยเล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเองให้เขาฟัง
บอกเขาเพียงว่า หากอยากได้ความสุขมากขึ้น ก็อย่าฟังความจริงจากปากสตรี
เพราะเมื่อพวกนางพูดความจริง มักจะเอาจริงเอาจังอย่างมาก
แต่เมื่อพวกนางโกหกก็กลับกลายเป็นคนอ่อนหวานน่ารัก
และแม้เจ้าจะฟังออกว่านั่นเป็นคำโกหกก็อย่าได้เปิดโปง
ผลของการเปิดโปงมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือการทะเลาะวิวาทที่ไม่สิ้นสุด
อีกทั้ง เมื่อสตรีกำลังจะโกหก พวกนางมักจะคิดคำอธิบายที่สมบูรณ์แบบไว้แล้ว
แม้คำอธิบายนั้นจะฟังดูเหมือนมีช่องโหว่มากมาย
แต่พวกนางย่อมไม่ยอมรับ
ด้วยความไม่รู้อีโหน่อีเหน่ จิ้นเผิงก็ไม่ได้สังเกตเห็นว่า
ความรักของหยวนซานที่มีต่อเขานั้นลึกซึ้งเกินหยั่งแล้ว…
………………………
ทว่าหยวนซานไม่ได้สังเกตปู่ของนางแม้แต่น้อย
ปู่ของนาง สายตาของผู้จุดตะเกียงเหมันต์ในตอนนี้ไร้ซึ่งจุดศูนย์กลาง
ในดวงตาของเขามีเพียงหิมะ
หิมะสีขาวบริสุทธิ์
หิมะที่ลึกเกินหัวเข่า
ปกคลุมหุบเขาที่เงียบสงัด
หุบเขาที่เงียบสงบและหนาวเหน็บ
นอกหุบเขา
สนใหญ่ชูชัน
รายล้อมคฤหาสน์หลังหนึ่งที่โดดเดี่ยว
เลือด เลือดสีแดงสด
แต่กว่าครึ่งแข็งตัวเพราะอุณหภูมิที่ต่ำเกินไป
ทำให้ดูหม่นหมองไปบ้าง
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อสะท้อนบนหิมะขาวบริสุทธิ์ก็ยังคงสีสดและโดดเด่น
รอยเท้าหนึ่งเดินผ่านความเงียบสงัดของหุบเขา และยังทำลายความเงียบสงบของศาลเจ้า
หนึ่งคน หนึ่งร่างที่เปื้อนเลือด
ก้าวเดินบนหิมะ โอบกอดทารกในอ้อมแขน
พุ่งตัวเข้าสู่คฤหาสน์
ประตูเปิดกว้าง เห็นเพียงบุรุษวัยกลางคนที่รูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาแปลกประหลาดก้มลงอุ้มเด็กทารกจากอ้อมแขนที่เต็มไปด้วยเลือดอย่างช้าๆ
เขายื่นมือไปตรวจลมหายใจของร่างที่เปื้อนเลือด
จากนั้น ถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก
เพราะร่างที่เปื้อนเลือดได้จากไปแล้ว
ชายสูงใหญ่กับรูปลักษณ์แปลกตาผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองทารกในอ้อมแขน
ทารกนั้นเบิกตากว้าง ไม่ร้องไห้คร่ำครวญ
มองเขาอย่างสงบนิ่ง
ใจเขาปวดร้าว กอดทารกในอก ราวกับกำลังปกป้องชะตากรรมไม่คาดคิดนี้
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ดูหนามพยศของข้าสิ ไม่มีครั้งไหนที่พลาดเป้า”
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ดูก้าวย่างวิญญาณผยองของข้าสิ หมุนได้ว่องไวและหยุดอย่างกะทันหัน”
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ดูธุมเกตุคืนเหมันต์ของข้าสิ ควบน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง”
หน้าคฤหาสน์มีชายวัยกลางคนสามคนยืนเรียงกันเป็นแถว
พวกเขากำลังยิ้มอย่างมีความสุขขณะมองดูเด็กชายอายุประมาณสิบสองสิบสามปีกำลังฝึกยุทธ์
“ซิงเอ๋อร์หยุดพักก่อนเถิด ถึงเวลาทานข้าวแล้ว”
ชายสูงใหญ่กับรูปลักษณ์แปลกตาที่ยืนอยู่ตรงกลางพูดขึ้น
“ท่านอาจารย์ ข้าขอฝึกต่ออีกหน่อย! พวกท่านพักก่อนเถอะ”
ซิงเอ๋อร์พูดขึ้น
หลินหานซิงมองชายวัยกลางคนทั้งสามค่อยๆ เดินไปทางประตูศาลเจ้า
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ทางด้านขวาก่อนหน้านี้ บอกกับชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่กับรูปลักษณ์แปลกตาว่า
“ศิษย์พี่ไหวเต๋อ ท่านมองไม่ผิดจริงๆ! ซิงเอ๋อร์เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง”
“ใช่ๆ ในร้อยปีพบได้ยากเชียวละ”
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ทางขวาของไหวเต๋อพูดเสริม
ชายวัยกลางคนทั้งสามนี้คือสามผู้ทรงภูมินั่นเอง
ไหวเต๋อ ไหวอัน ไหวฉือ
ทั้งสามล้วนแล้วแต่เป็นผู้ละทิ้งทางโลก
เพียบพร้อมทั้งศาสตร์และศิลป์ เป็นเลิศเหนือจักรวาล
ใต้ฟ้ากว้างใหญ่ ภายในอาณาจักรห้าอ๋อง
แม้แต่ผู้ที่ได้ทะลวงขอบเขตสูงสุดเทพบริราชเก้าทวีป ทุกครั้งที่เอ่ยถึงสามผู้ทรงภูมินี้ ทุกคนต่างยกย่องสรรเสริญ ชื่นชมคุณธรรมสูงส่งและใจที่บริสุทธิ์
หลินหานซิงนึกไม่ถึงว่าในปีที่เขาอายุได้สิบแปดปี อาจารย์ทั้งสามท่านบอกเขาอย่างจริงจังว่า เขาต้องออกจากคฤหาสน์ไปยังดินแดนห้าอ๋องเพื่อตามหาสี่สมุทรสุดขอบฟ้า
เพราะเหตุใด
หลินหานซิงเองก็ไม่รู้
เขามองไปยังอาจารย์ทั้งสามที่เป็นทั้งอาจารย์และบิดามารดาของเขา
ดวงตาสดใสบริสุทธิ์ถูกครอบงำด้วยเงามืดแห่งความสงสัยเป็นครั้งแรก
ในใจของหลินหานซิง
ที่นี่คือที่ที่เขาเติบโต ร่ำเรียน ฝึกยุทธและใช้ชีวิต
อาจารย์เหล่านี้คือครอบครัวที่เขาเคารพรักที่สุด
ตั้งแต่จำความได้เขาก็รู้จักเพียงอาจารย์ ไม่รู้จักใครอื่น
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ที่เขาอาศัยอยู่นี้เรียกว่า ‘โลกมนุษย์’
ทุกที่ที่มีมนุษย์เติบโต ต่างก็มีพ่อแม่พี่น้อง
แต่เขากลับไม่มีสิ่งเหล่านี้
และเขาคิดว่าทุกอย่างมันควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
“ซิงเอ๋อร์ เจ้ามีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ!”
ไหวเต๋อถอนหายใจเบาๆ
………………………
เหมันต์ฤดูเมื่อสิบแปดปีก่อน
ณ เชิงเขาที่พำนักของสามผู้ทรงภูมิตั้งอยู่ มีเมืองหนึ่งชื่อว่า ‘เมืองเหอคุน’
วันนี้ แสงไฟในคฤหาสน์ตระกูลหลินสว่างไสว
หลินเย่าหราน เศรษฐีผู้มั่งคั่งของเมืองเหอคุนกำลังจัดงานเลี้ยงใหญ่ในบ้าน เพื่อเฉลิมฉลองให้ลูกชายที่เกิดครบหนึ่งเดือนเต็ม
ชาวเมืองเหอคุนทุกคน ไม่ว่าจนหรือรวยล้วนอยู่ในรายชื่อแขกที่ได้รับเชิญ
หลินเย่าหรานเป็นคนฉลาด มีพรสวรรค์และจิตใจดี
ทรัพย์สมบัติของบรรพบุรุษเพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่าภายใต้การดูแลของเขา
ความมั่งคั่งเพื่อใช้ช่วยเหลือผู้คน
หลินเย่าหรานปฏิบัติตามคำสอนของบรรพบุรุษ ช่วยเหลือคนยากคนจน
ด้วยการสนับสนุนและความช่วยเหลือจากหลินเย่าหราน ทุกคนในเมืองเหอคุนต่างได้ตามที่ปรารถนา ทุกครัวเรือนได้รับอาหารและเสื้อผ้าที่เพียงพอ สร้างบรรยากาศแห่งความสุขสงบ
ในตอนนี้ หลินเย่าหรานยกจอกสุราในมือขึ้น ในใจเต็มไปด้วยความปีติยินดี
“ข้าผู้แซ่หลินรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เชิญท่านทั้งหลายมาร่วมงานที่คฤหาสน์หลิน!”
หลินเย่าหรานกล่าว
แต่ยังไม่ทันได้ยกจอกสุราขึ้นดื่ม จอกสุราในมือของหลินเย่าหรานก็แตกกระจายลงพื้น
ตามด้วยเสียงเพล้งๆๆ ที่ดังขึ้นต่อเนื่อง!
บนโต๊ะหลัก จอกสุราในมือของผู้อาวุโสทุกคนก็แตกกระจายลงพื้นเช่นกัน
หลินเย่าหรานมองเศษจอกสุราที่กระจัดกระจายบนพื้นด้วยความตื่นตระหนก!
‘วิธีการใช้เครื่องมือลับเช่นนี้คุ้นเคยเหลือเกิน หรือจะเป็นเขา’
ยังไม่ทันได้คิดต่อ
กลุ่มคนสวมหน้ากากในชุดดำหลายสิบคนยืนล้อมหลินเย่าหรานและแขกในงาน
หลินเย่าหรานยังคงสงบนิ่ง แต่เอื้อมมือไปที่บริเวณเอว
“ศิษย์พี่หลิน ท่านจะให้ข้าปลิดชีพชาวเมืองเหอคุนทั้งเมืองหรือ”
คนผู้หนึ่งก้าวมาข้างหน้าพร้อมเอ่ยขึ้น
“ไม่คิดว่าแม้ข้าจะหลบอยู่ที่นี่ เจ้าก็ยังหาข้าพบ แต่นี่เป็นบุญคุณความแค้นของเราสองคน ไม่ควรทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน”
หลินเย่าหรานกล่าว
จากนั้นเขาก็ให้สัญญาณ แขกทุกคนจึงรีบออกจากงาน
เมื่อหลินเย่าหรานเห็นแขกคนสุดท้ายเดินออกไปแล้ว เขาจึงผ่อนคลายลง
และพูดขึ้นว่า
“มาเถอะ!”
คนนั้นหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว
จากนั้นฟาดฟันกระบี่ไปทางหลินเย่าหราน
กระบี่คมกริบรวดเร็วดั่งอัสนี
แต่สีหน้าหลินเย่าหรานยังคงสงบ
ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหวมาก แต่เขาก็หลบกระบี่นี้ไปได้
“ศิษย์พี่ยังคงเยือกเย็นเช่นเคย!”
หลังจากกระบี่แรกพลาดไป
คนผู้นั้นจึงพูดขึ้น
เดิมทีเขาไม่ได้คาดหวังผลจากการฟันกระบี่ครั้งนี้
เพราะเขารู้จักศิษย์พี่ของตนเป็นอย่างดี
เขารู้จักหลินเย่าหราน
แม้ว่าตอนนี้เขาอาจจะดูเป็นเพียงชายมั่งคั่งคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ฝีมือวิถียุทธ์ของเขายังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุด
“เจ้าเองก็เช่นกันไม่ใช่หรือ สันดานแก้ยาก!”
หลินเย่าหรานตอบกลับอย่างเย็นชา
“สิบห้าปีแล้ว ควรปล่อยวางเสียที”
หลินเย่าหรานกลับรู้สึกทอดอาลัยขึ้นมา
ลึกๆ ในใจเขาไม่ต้องการเป็นศัตรูกับคนผู้นี้
ต่อให้เขาฆ่าตนก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่เช่นนั้น เขาคงชักกระบี่แล้ว
“ปล่อยวางไม่ได้…”
คนผู้นั้นพูดขึ้นหลังจากนิ่งคิดอยู่ชั่วขณะ
“เจ้าต้องการเช่นใด”
หลินเย่าหรานถาม
“ไม่จำเป็นต้องถามข้า ถามมันดูก็แล้วกัน”
คนผู้นั้นยกกระบี่ยาวในมือขึ้น
“ถามกระบี่หรือ”
หลินเย่าหรานถาม
“ถูกต้อง!”
คนผู้นั้นพยักหน้า
“ต้องเป็นเช่นนั้นจริงหรือ”
ในใจหลินเย่าหรานยังคงไม่ยอม
ดังนั้นเขาจึงย้ำคำถามอีกครั้ง
“ต้องเป็นเช่นนี้แหละ!”
คนผู้นั้นยืนกราน
“ดี!”
หลินเย่าหรานเก็บความลังเลสุดท้ายของเขาทิ้งไป
และตอบรับ
ชั่วขณะนั้น แสงกระบี่ล้อมรอบคนทั้งคู่
เห็นเพียงแสงกระบี่กับแสงไฟผสานกันเป็นหนึ่งเดียว
เงาร่างของทั้งสองหมุนราวกับพายุ ถูกห่อหุ้มด้วยแสงกระบี่ที่ระยิบระยับ
ขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด จู่ๆ ก็มีเสียงสตรีที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวดังขึ้น
“ศิษย์พี่! อาวุธลับ!”
เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง
พริบตานั้น แสงกระบี่หายไป
มีเสียงสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน
“ศิษย์น้องหญิง!”
เห็นเพียงระหว่างหลินเย่าหรานกับคนผู้นั้นมีสตรีที่งดงามผู้หนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่
หนามพยศอันหนึ่งทิ่มแทงเข้าไปที่คอหอยของนางพอดี
สตรีผู้นั้นตายแล้ว
ข้างกายเหลือเพียงเลือดสดที่ไหลไม่หยุด
หลินเย่าหรานโศกเศร้าอย่างยิ่ง
พลันรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง เลือดสดไหลพุ่งออกจากหน้าอก
หลินเย่าหรานยิ้มเบาๆ กอดภรรยาแน่น แล้วค่อยๆ ล้มลง
จนถึงตอนนี้ ใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้มจางๆ
แต่รอยยิ้มจางๆ นั้นกลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกโกรธแค้น
แม้จะปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากาก ทว่าสองตาแดงก่ำ
เขาดูเหมือนคนบ้าคลั่ง ฆ่าทุกคนที่พบ ไม่สนว่าเป็นเด็กหรือชรา
พริบตา คนในคฤหาสน์ตระกูลหลินทั้งคนแก่และเด็กเกือบหนึ่งร้อยชีวิตถูกสังหารจนหมดสิ้น
จากนั้น ก็เป็นคราวของเมืองเหอคุน
สันดานของมนุษย์ยากจะเปลี่ยนแปลงจริงๆ
สิบห้าปีผ่านไปอย่างช้าๆ กักขังคนไม่ได้ เหลือไว้เพียงความเกลียดชัง
หลินเย่าหรานหลบซ่อนอยู่ที่นี่ แต่สุดท้ายก็ยังมีชะตากรรมเช่นนี้
คนคนหนึ่งต้องถอยออกมาอย่างไรจึงจะหลุดพ้น
ต้องถอยไปที่ใด ถึงจะไม่ถูกนับว่าอยู่ในยุทธภพ
เมื่อก่อนหลินเย่าหรานก็ไม่รู้
เขาเพียงรู้สึกว่าหากหลีกหนีไปไกลๆ ก็คงจะดีแล้ว
แต่ในที่สุด เขาก็เข้าใจ
กระบี่ที่ไม่ขจรไกล มิตรยามแก่ก็มีเพียงน้อย
ได้กอดคนรักไว้และลาโลกนี้ด้วยน้ำมือของสหายเก่า
ยังมีสิ่งใดที่ไม่พอใจ
คิดย้อนไป หากไม่บ้าระห่ำเช่นนั้น บางทีจุดจบอาจไม่เป็นเช่นนี้
แต่ความบ้าระห่ำเหล่านั้น หากลดลงไปสามส่วน
จะยังนับว่าบ้าระห่ำอยู่หรือไม่
ต้องเป็นไปโดยไม่มีอะไรขวางกั้น กวาดล้างทุกสารทิศเท่านั้นจึงจะถูก
“ฟ้ากว้างใหญ่ ดินไพศาล โลกมนุษย์อยู่ศูนย์กลาง ตะวันแผดเผา จันทร์หนาวเหน็บ ขึ้นบูรพาลับประจิมเพื่อผู้ใด เงินทองในมือไหนเลยจะมั่นคง ชั่วพริบตาผืนดินกลับทุรกันดาร คงเหลือเพียงกลิ่นสุราลอยฟุ้ง…”
นี่คือเพลงสุดท้ายที่ก้องอยู่ในห้วงความคิดหลินเย่าหราน
เป็นบทเพลงที่คนในอ้อมแขนมักจะร้องให้เขาฟัง
……………………………………………..