ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 304 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-1
- Home
- ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา
- บทที่ 304 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-1
บทที่ 304 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-1
เยว่ตี๋ไม่ได้เดินเล่นไปรอบๆ
นางก้มศีรษะ นับฝีก้าว เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
เมื่อเจอทางแยกกลับไม่สนใจทิศทาง แต่เลือกเลี้ยวซ้ายทุกครั้ง
เดินไปเดินมากลับวาดรูปสี่เหลี่ยมรูปหนึ่งไว้
สุดท้ายก็กลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
แม้ว่านางจะเดินช้า
แต่ก้าวเดินของนางนั้นเบาและคล่องแคล่วผิดปกติ
มั่นคงและยังเผยให้เห็นความหนักแน่น
ผู้ใดบอกว่าความคล่องแคล่วกับความมั่นคงเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน?
อย่างน้อยสำหรับเยว่ตี๋แล้วไม่ใช่
ยังเหลือเวลาก่อนนัดหมายอีกไม่น้อย
แต่เยว่ตี๋รู้สึกเบื่ออย่างยิ่ง
นางไม่ได้พูดกับใครมานานมากแล้ว
แม้นางจะรู้สึกไร้เดียงสาเมื่ออยู่กับหลิวรุ่ยอิ่งและหวาหนง
แต่ก็ดีกว่าการที่นางต้องอยู่คนเดียวเหมือนตอนนี้
ดังนั้นนางจึงนึกเสียใจที่นางเลือกเดินเล่นคนเดียวแทนที่จะอยู่กับพวกเขา
ต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่บุคคลหนึ่งไม่เคยพบเจอ บางทีคนสามคนก็สามารถพบเจอได้
ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะน่าสนใจหรือไม่ อย่างน้อยก็ยังเป็นเหตุการณ์หนึ่ง
คนเราเมื่อยุ่งอยู่ตลอดก็มักจะฝันถึงเวลาว่าง
แต่เมื่อว่างเข้าจริงกลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อหน่าย
ตรงจุดนี้กลับดูขัดแย้งกันอย่างยิ่ง
แต่หากยุ่งกับการทำสิ่งที่ชอบ หรือทำงานร่วมกับคนที่ตนหลงใหล ไม่ว่าผู้ใดล้วนมีความสุขที่จะยุ่งอยู่เช่นนั้นไปตลอด
ทว่าบนโลกมนุษย์นี้ทุกอย่างจะเป็นไปตามใจปรารถนาได้อย่างไร
วิ่งไปมาตลอดเวลา หรือไม่ก็ต้องยุ่งอยู่กับเรื่องที่ไม่ทำให้มีความสุข
บางครั้งก็ได้พบกับเรื่องที่ตนเองชื่นชอบ แต่กลับรายล้อมไปด้วยผู้คนที่ไม่เห็นด้วย
การพบทั้งสองสิ่งจึงเป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างยิ่ง
……………………
เมื่อเยว่ตี๋เดินวนถึงรอบที่สาม
พ่อค้าและลูกจ้างหลายร้านก็วิ่งมายังประตูเพื่อดูนาง
พวกเขาไม่รู้เลยว่าเหตุใดหญิงสาวที่งดงามเช่นนี้จึงเดินเตร่อยู่ที่นี่ราวกับสูญเสียจิตวิญญาณ
นางกำลังตามหาคนอยู่หรือ
ไม่น่าจะใช่
เพราะคนที่กำลังตามหาใครสักคน จะต้องมองไปทางนั้นทางนี้อย่างกระวนกระวาย
แต่เยว่ตี๋กลับไม่ได้เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ
เมื่อสายตาใคร่รู้ของผู้คนรอบข้างเริ่มหลั่งไหลมารวมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดนางก็เงยหน้าขึ้น
สำรวจใบหน้าของผู้คนรอบตัวช้าๆ แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าจ้องตานาง
ถึงอย่างไรการแอบมองก็นำมาซึ่งความพึงพอใจที่ปลอดภัยกว่า
พ่อค้าและลูกจ้างเหล่านี้ไม่กล้าสบตากับเยว่ตี๋ตรงๆ
นางตัดสินใจแน่วแน่ มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมที่จะจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดในคืนนี้
ดีกว่าเดินไปมาอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้ ไม่สู้ไปนั่งรออย่างสงบในโรงเตี๊ยมดีกว่า
อย่างน้อยนางก็สามารถสั่งน้ำชาสักกาหรือสุราสักจอกได้
เมื่อเยว่ตี๋เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม ข้างในมีคนมากมายนั่งอยู่แล้ว
ทว่าไม่มีความพิเศษอื่นใด ทุกคนล้วนแต่เป็นบุรุษ
ดังนั้น เมื่อเยว่ตี๋เดินเข้ามา ทั้งห้องโถงก็เงียบจนน่าประหลาด
อาชญากรในยุทธภพเหล่านี้ ไม่ได้สนทนาเรื่องใดไปมากกว่าเรื่องราวของการหวดดาบ ดื่มสุรา และหาสตรี
แต่ตอนนี้มีสาวงามปรากฏอยู่ต่อหน้าจริงๆ แน่นอนว่าต้องน่าตื่นเต้นกว่าเรื่องราวจริงครึ่งไม่จริงครึ่งที่พวกเขาเล่ามากนัก
“แม่นางท่านนี้ ข้าบอกไปแล้วว่าใต้เท้าหัวหน้าอาคารเหมาที่นี่ไว้แล้ว”
เมื่อเถ้าแก่เห็นว่าเยว่ตี๋กลับมาอีกครั้ง จึงรีบเดินออกมาพูด
“ข้ารู้ ข้ามาเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิด”
เยว่ตี๋กล่าว
“ขอเรียนถามว่าท่านมีเทียบเชิญหรือไม่”
เถ้าแก่เอ่ยถาม
หากเยว่ตี๋มาเพื่องานเลี้ยงวันเกิดจริง แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้นางถึงได้มาจองห้องเล่า
เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้
และผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงวันเกิด ทุกคนต้องมีเทียบเชิญที่จิ้นเผิงเขียนด้วยมือ
การถามของเถ้าแก่ครั้งนี้ ก็เป็นการ ‘เชิญ’ เยว่ตี๋ ออกไปอย่างสุภาพ
ต้องยอมรับว่าการกระทำนี้ช่างอยู่เป็นอย่างยิ่ง
“ข้าไม่มีเทียบเชิญ”
“เพราะเขาเชิญต่อหน้าข้า”
เยว่ตี๋ไม่รอให้เถ้าแก่พูดสิ่งใดก็ยิ้มน้อยๆ และกล่าวต่อ
จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างใน
หาโต๊ะว่างและนั่งลง
สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ชงชาเข้มๆ มาหนึ่งกาและสุราแรงอีกหนึ่งกา
เยว่ตี๋ถือจอกสุราในมือ
บุรุษคนอื่นๆ ล้วนนั่งอยู่ด้านหลังนาง
นางหันหลังให้ทุกคนและยกมือขวาขึ้นสูง
นั่นคือมือที่นางถือจอกสุราอยู่นั่นเอง
“ใครจะดื่มกับข้า”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
ด้านหลังเงียบสงบไร้สุ้มเสียง
อาชญากรในยุทธภพที่หยิ่งผยองเหล่านั้นเชื่องราวกับแมวข้างบ้านหลังถูกถามคำถามนี้
เยว่ตี๋รู้สึกว่าตัวเองนั้นน่าเบื่อหน่ายจริงๆ
สุราจอกนี้ ต่อให้กล่าวว่าจะดื่มหมดจอก ก็ไม่ควรดื่มมันลงไปโดยไม่มีเหตุผล
ดังนั้นจึงส่ายข้อมือเบาๆ จอกสุราเอนเอียง น้ำสุราไหลลงพื้น
หกออกมาทั้งหมด
……………………….
ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง หลิวรุ่ยอิ่งถูกจิ้นเผิงลากไปทั่ว
จิ้นเผิงตื่นเต้นจนพูดเร็วมาก
หลิวรุ่ยอิ่งแทบฟังไม่ทัน
แต่ในฐานะที่เขาเป็นใต้เท้าผู้บังคับบัญชา อีกทั้งยังแนะนำทุกอย่างในเมืองหยางเหวินอย่างกระตือรือร้น
เขาจึงได้แต่ยิ้มแย้มและพยักหน้ารับไม่หยุด
อันที่จริงถนนสายนี้ยาวพอควร
แม้จะไม่ได้ยาวถึงสิบลี้
แต่อย่างน้อยก็ยาวประมาณแปดลี้ครึ่งได้
ทว่าภายใต้การนำของจิ้นเผิง พวกเขากลับใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเดินไปกลับได้ถึงสองรอบ
รอบแรก จิ้นเผิงเพียงให้หลิวรุ่ยอิ่งมองไปที่ร้านค้าทางด้านซ้าย
รอบที่สองจึงให้มองไปทางด้านขวา
ถึงแม้ว่าจะได้ดูทั้งสองด้านอย่างรวดเร็วแล้ว แต่เวลาก็ดูจะผ่านไปอย่างเร่งรีบเหลือเกิน
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าหัวของเขาว่างเปล่า จำอะไรไม่ได้เลย
แต่เขาก็คิดอยากจะมอบของขวัญวันเกิดให้กับใต้เท้าผู้บังคับบัญชาผู้นี้
ตอนนี้ได้พบตัวจริงแล้ว ปัญหาที่น่าปวดหัวดูเหมือนจะหาทางออกได้อย่างง่ายดาย
แต่สองคนที่เดินตามหลังจิ้นเผิงเริ่มหมดความอดทนทีละน้อย
พวกเขาไม่ได้มาเดินเล่น
และไม่สนใจในธรรมเนียมประเพณีของเมืองหยางเหวินที่จิ้นเผิงพูดถึงเลยแม้แต่น้อย
พวกเขามาเพื่อแก้แค้น
มาตามหาสตรีที่ตัดนิ้วของพวกเขาเพื่อแก้แค้น
“พอได้หรือยัง”
ในที่สุดสองคนนั้นก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ และเอ่ยปากขึ้น
“เสร็จแล้ว ชมจนหมดทุกร้านแล้ว!”
เห็นได้ชัดว่าเขาลืมเรื่องที่สองคนนั้นมาหาเขาไปนานแล้ว
“สตรีคนนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่”
ทั้งสองคนถามด้วยน้ำเสียงดุดัน
“หลังจากที่พวกเจ้าหานางพบแล้ว จะแก้แค้นอย่างไร”
จิ้นเผิงยืนนิ่งและถาม
“แน่นอนว่าต้องตอบโต้กลับไปด้วยวิธีเดียวกัน!”
ทั้งสองคนตอบ
“จะตัดนิ้วโป้งนางหรือ”
จิ้นเผิงเอ่ยถาม
“ใช่! และต้องตัดทั้งสองข้าง!”
ทั้งสองคนพยักหน้าตอบ
“เอาเถอะ…ข้ายอมรับว่ามือของหยวนซานนั้นงามจริงๆ แต่เพียงแค่ตัดนิ้วโป้งทั้งสองออกไป ก็มองไม่เห็นความงามเช่นกัน”
จิ้นเผิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง
เขาไม่รู้ต้นสายปลายเหตุระหว่างจิ้นเผิงกับสองคนนี้
แต่ตอนนี้เขากลับจดจำชื่อของสตรีที่ชื่อว่าหยวนซานไว้แล้ว
เรื่องของบุรุษ ส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับสตรีทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือความเกลียดชัง
สุดท้ายแล้วก็มักจะโยงไปถึงสตรี
เช่นนี้อาจดูไม่ยุติธรรมสักเท่าไร
สตรีหลายคนมักต้องแบกรับภาระของความไม่เป็นธรรมนี้
ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำสิ่งใด นอกจากรักคนที่ควรรัก และเกลียดคนที่ควรเกลียด
แต่สุดท้ายกลับเหมือนสายน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำและทะเล กลายเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง
“หรือเจ้ามีวิธีที่ดีกว่านี้อีกหรือ”
ทั้งสองคนถามพลางยิ้มเย็น
พวกเขารู้ว่าจิ้นเผิงและหยวนซานรู้จักกันเป็นอย่างดี
ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าจิ้นเผิงไม่น่าจะยืนอยู่ฝ่ายพวกเขาและให้คำปรึกษาใดๆ
แต่เมื่อจิ้นเผิงพูดประโยคต่อไปกลับทำให้พวกเขาตกใจจนอ้าปากค้าง
“คุณค่าของสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แน่นอนว่าย่อมไม่เท่าเมื่อตอนมันสมบูรณ์ ก็เหมือนกับ…”
จิ้นเผิงกล่าวเพียงครึ่ง
คว้าหยิบแจกันดอกไม้ใบหนึ่งจากคู่ของมันตรงหน้าประตูร้านค้าข้างกายขึ้นมาแล้วทุบมันลงกับพื้น
“ก็เหมือนกับเศษเครื่องปั้นดินเผาที่แตกกระจายบนพื้นนี้ แม้พวกเจ้าจะหยิบชิ้นที่ใหญ่ที่สุดได้ แต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับแจกันที่สมบูรณ์ใบหนึ่ง”
จิ้นเผิงกล่าว
“เจ้าหมายความว่าให้เราตัดมือนางทั้งสองข้างหรือ”
ทั้งสองถาม
จิ้นเผิงกลับหมุนกาย เตรียมจะจ่ายเงินค่าแจกันคู่นั้น
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับรีบจ่ายเงินไปก่อนแล้ว
จิ้นเผิงยิ้มอย่างสุภาพให้หลิวรุ่ยอิ่ง
เขาเป็นเจ้าบ้าน ในขณะที่หลิวรุ่ยอิ่งเป็นแขก
ควรเป็นเขาที่ต้องแสดงความเป็นเจ้าบ้าน
ชื่อเสียงทำให้คนเปลี่ยนไปกระมัง!
หากไม่ใช่เพราะตำแหน่งของตนในฐานะผู้บังคับบัญชานี้ แต่เป็นเพียงหัวหน้าอาคารเล็กๆ หลิวรุ่ยอิ่งย่อมไม่มีทางปฏิบัติเช่นนี้
นี่ไม่ใช่การเสแสร้ง
แต่เป็นธรรมชาติของมนุษย์
จิ้นเผิงเองก็เข้าใจได้
“มือคู่หนึ่งนับเป็นคนผู้หนึ่งได้หรือ คนผู้หนึ่งนอกจากจะมีมือคู่หนึ่งแล้ว ยังมีขาคู่หนึ่ง หนึ่งกายและหนึ่งสมองไม่ใช่หรือ”
จิ้นเผิงถามกลับ
“เจ้าหมายความว่าให้เราแยกชิ้นส่วนนางออกเป็นชิ้นๆ งั้นหรือ?!”
ทั้งสองคนเริ่มตกใจขึ้นเรื่อยๆ
“การแยกเป็นชิ้นๆ จะต่างอะไรกับเศษเครื่องปั้นดินเผาที่กระจัดกระจายบนพื้นเล่า แม้เจ้าจะเก็บมันทั้งหมดได้ แต่มันก็ไม่มีวันกลับมาเป็นดังเดิมได้”
จิ้นเผิงกล่าว
“แล้วเจ้าหมายความว่าอย่างไร”
ทั้งสองคนมองหน้ากัน
ต่างมองเห็นความสับสนงุนงงในแววตาของกันและกัน
“ความหมายของข้าก็คือเจ้าพานางไปทั้งตัว จากนั้นให้นางยอมฟังเจ้า ก็เหมือนกับเอาแจกันที่สมบูรณ์กลับบ้านไม่ใช่หรอกหรือ อีกทั้งหยวนซานก็ไม่ได้น่าเกลียด รูปร่างก็ไม่แย่ ไม่กล่าวานางฉลาดหรือมีคุณธรรมเพียงใด อย่างน้อยนางก็ทำงานใช้แรงอย่างรินชาหรือซักผ้าเหล่านี้ได้”
จิ้นเผิงกล่าว
หลังจากที่ทั้งสองคนฟังจบก็หัวเราะขึ้นมา
พวกเขาเริ่มจินตนาการถึงหยวนซานที่กำลังคุกเข่าแทบเท้าของตน ยอมโดนตีโดนด่า
ยังมีสิ่งใดอีกหรือที่จะทำให้ศัตรูต้องทนทุกข์ทรมานทั้งยังถูกลดทอนเกียรติแต่ก็ยังไม่ตายและตนยังสุขใจได้มากกว่านี้
“อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนี้มีเงื่อนไขอยู่”
จิ้นเผิงเปลี่ยนเรื่องกล่าว
“เงื่อนไขใดหรือ”
ทั้งสองถาม
แต่ยังคงยิ้มอยู่
มุมปากยังคงยกยิ้ม
………………………………………………