ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 3 ผู้แทนการตรวจสอบแห่งเมืองหลวง
บทที่ 3 ผู้แทนการตรวจสอบแห่งเมืองหลวง
เมืองจี๋อิง ร้านขายผ้ารุ่งเรือง
ร้านที่เปิดใหม่บนถนนหลักแห่งนี้เพิ่งปรับปรุงเสร็จสิ้นเมื่อสองสามวันก่อน กระดาษแดงที่ระเบิดจากประทัดหน้าประตูยังไม่ถูกลมพัดปลิวไป
หลังฝนตกรอบหนึ่งมันผสมกับโคลน ย้อมพื้นดินเป็นสีแดงผืนใหญ่ ดูแล้วน่าเฉลิมฉลองเป็นพิเศษ
เถ้าแก่ยืนคำนับและกล่าวถ้อยคำมงคลกับแขกที่มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนลูกจ้างก็ทักทายลูกค้าที่เข้าร้านอย่างกระตือรือร้น บนตัวพวกเขาพาดผ้า ผ้าดิ้น และขนสัตว์ชนิดต่างๆ งดงามฉูดฉาด สีสันหลากหลาย
………………
ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน นอกชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ค่ายทหารรัฐติง
‘ไอ้ขี้ขลาดกลัวตาย ข้าให้เจ้าหนีรึ!’ นายทหารถือแส้หนังในมือฟาดไปยังผู้ที่ถูกล่ามโซ่สุดแรงเกิด รอยแส้ตัดสลับกันทั่วร่างกาย หาผิวหนังที่สมบูรณ์ไม่ได้สักชุ่น[1]เดียว
ไอเย็นเยียบกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่หลังศีรษะของเขาและแผ่ขยายออกมาตามไรผม ราวมือใหญ่ข้างหนึ่งกำลังออกแรงกระชากเส้นผมของเขา ดึงเอาความทรงจำส่วนหนึ่งที่เขาไม่อยากให้ปรากฏซ้ำที่สุดออกมา…
‘เจ้าโกงนี่! เมื่อครู่ข้าฟันโดนเจ้าแล้วชัดๆ ตอนนี้ข้าต้องถือโล่ เจ้าถือดาบ ถึงตาเจ้าโจมตี!’
‘เหลวไหล เห็นอยู่ว่าข้าถือโล่กันไว้แล้ว! ท่านดู รอยสีขาวบนด้านนี้ก็คือรอยที่ท่านฟันออกมาเมื่อครู่’
ฝั่งตะวันออกของหมู่บ้าน เด็กน้อยน้ำมูกยืดสองคนใช้โล่ที่ถักทอด้วยหวายและกระบี่อ่อนทำจากกิ่งหลิวเล่นกันสนุกสนานเต็มที่ เด็กที่ถือโล่สวมเพียงเสื้อยาวจนสุดข้อเท้าตัวหนึ่ง แม้แต่กางกางก็ไม่มี
‘เหยียนจื่อ พรุ่งนี้พวกเราไปหักง่ามต้นหยางที่หมู่บ้านใกล้ๆ สักสองสามกิ่งมาทำกระบี่กันเถอะ ต้นหลิวอ่อนเกินไป ไม่ทันไรก็หักแล้ว ไม่สนุกเลย…’
เหยียนจื่อพยักหน้า
ที่จริงแล้วเขาไม่ค่อยชอบการละเล่นที่ออกไปทางแข่งขันชิงชัยนี้เท่าไรนัก หากทำได้ เขาอยากไปขุดไส้เดือนหรือเก็บใบไม้มากกว่า แต่คนอื่นบอกเขาว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ลูกผู้ชายควรเล่น มีแต่คนเฒ่าคนแก่เท่านั้นที่ต้องการไส้เดือนไปตกปลา แล้วก็มีแต่เด็กผู้หญิงที่เก็บใบไม้เล่นพ่อแม่ลูก
เวลานี้ถูกล่ามโซ่อยู่ที่นี่ เขากล้ายืนยันว่าตนไม่ชอบการละเล่นนั้นจริงๆ
เขาไม่ใช่คนโหดร้ายอะไรอยู่แล้ว
โล่ที่ถักจากหวายนั้น ช่องว่างของมันท่วมด้วยเลือดสด
หุบเขาทอดยาวมีทั้งทางสะดวกและขรุขระเกินทน บรรจบเป็นขวากหนามแห่งการลาจากอันไม่มีวันหวนคืนครั้งแล้วครั้งเล่า
‘เหยียนจื่อ! ข้าต้องไปแล้ว พอข้ากลับมาพวกเราค่อยไปหมู่บ้านใกล้ๆ กันนะ เจ้าขุดไส้เดือนไว้ให้เยอะๆ ก่อน ถึงตอนนั้นข้าจะพาเจ้าไปตกปลาใหญ่กลับมาตุ๋นกิน’
‘ท่านจะได้กลับมาตอนไหนล่ะ’
เหยียนจื่อเอ่ยถามพลางมองพี่ชายที่ตัวสูงกว่าเขาครึ่งศีรษะและโตกว่าสองปี
พี่ชายไม่ได้พูดอะไร เพียงวางมือลงบนหน้าผากเขาด้วยรอยยิ้มแป้น ยามออกเดินทางเขามองโล่หวายที่แห้งแตกกับกระบี่หลิวที่หักเป็นสองสามท่อนตรงมุมกระท่อมโดยไม่รู้ตัว
เขาฟื้นสติขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อลืมตาอีกครั้งกลับเห็นเหล็กนาบสีแดงประหนึ่งดวงอาทิตย์หยุดอยู่หน้าจมูกที่ห่อหุ้มด้วยสะเก็ดแผลของเขา
ความร้อนอันแผดเผาทำให้เขาหลั่งน้ำตาโดยไม่รู้ตัว
‘อ้าก!’ เขารวบรวมกำลังน้อยนิดเฮือกสุดท้ายที่มีกัดมือของนายทหารไว้
เหล็กนาบที่เขียนอักษร ‘หนี’ ชิ้นนั้นประทับลงบนไหล่อย่างไม่เอนเอียงไปทางใด
กลิ่นเหม็นสาบทะลวงเข้ารูจมูกของเหยียนจื่อ เหมือนกับกลิ่นโหลเก็บไส้เดือนห้าใบบนขอบหน้าต่างในบ้านตอนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน
ความทรงจำกับความเป็นจริงทับซ้อนกันอีกครั้ง…
‘ผ่านไปอีกห้าวันแล้ว…’ เหยียนจื่อมองถนนโคลนตมเล็กๆ ด้านนอก พลางแบกไส้เดือนโหลหนึ่งไปหมู่บ้านใกล้เคียงตามลำพัง
‘แกร๊ง!’ โหลหล่นแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยระหว่างที่ถูกฉุดกระชาก
เหยียนจื่อต่อต้านสุดกำลัง เขาพลิกหาที่กำบังเหมือนไส้เดือนที่เป็นอิสระเหล่านี้ไม่หยุดหย่อน
เขาถูกดึงและลากมายังบริเวณท่าเรือ
มีคนมารวมกันอยู่ที่นี่ไม่น้อยแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ต่างร้องไห้
‘พี่เจ้าถูกจับตัวแล้ว ตามกฎของวังติ้งซีอ๋อง เจ้าต้องไปแทนที่ตำแหน่งของเขา ตอบแทน…’
เหยียนจื่อยืนมองแม่น้ำใสสะอาดตรงท่าเรืออย่างเหม่อลอย ในแม่น้ำมีปลาใหญ่ว่ายอยู่มากมาย
หัวสมองเขาทึ่มทื่ออยู่หน่อย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเพียงรู้สึกเสียดายไส้เดือนที่ตกแตกโหลนั้นเป็นอย่างมาก
‘ข้าไม่ได้หลบหนี แล้วก็ไม่ได้หักหลังด้วย! ข้าแค่อยากไปหาพี่ชายข้าแล้วไปตกปลาใหญ่กับเขา พวกท่านบอกข้าว่าเขาถูกจับตัวแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไปปล่อยเขาออกมา!’
เหยียนจื่อสับสนไปหมดแล้ว เขาตะโกนใส่เจ้าหน้าที่ทรมานตรงหน้านี้
กองทัพชายแดนถือคำว่าตายในสงครามอย่างยิ่ง ไม่รู้ผู้ใดเป็นคนเริ่มหรือเริ่มตั้งแต่เมื่อใด คนที่ตายในสงครามล้วนเป็นคนที่ถูกจับตัว
‘ข้ายังมีไส้เดือนอีกสี่โหล’
‘เขาเคยรับปากข้าว่าเขาจะไม่ตาย’ เหยียนจื่อกัดมือหัวหน้าหน่วยเล็ก[2] ในปากเอ่ยคำที่ฟังไม่ชัดเจนไปด้วย
น้ำลายจากเนื้อหนังและเลือดไหลเลียบคางลงมาตามลำคออย่างต่อเนื่อง
เมื่อถึงตรงนี้ความทรงจำหยุดลงฉับพลัน เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง
สามปีที่แล้วจนสามวันก่อน
นี่อาจเป็นชะตากรรมอย่างหนึ่งก็ได้
………………
เหยียนจื่อถือถ้วยชาพลางมองลูกค้าที่เดินกันขวักไขว่ในโถง
ผ้าใหม่พับหนึ่งถูกตัดออก
‘แควก’ เสียงกรรไกรตัดแบ่งพับผ้าดึงความคิดของเขากลับมาที่ชาในมือ
หลังเริ่มกิจการร้านขายผ้าเขาถึงได้นึกเสียใจว่าเหตุใดตนไม่ไปทำธุรกิจอื่น อย่างเช่น บริหารคาราวานพ่อค้า เดิมพันชีวิตหรือขายเสบียงหาเงินสักก้อนในช่วงที่แว่นแคว้นกำลังประสบภัย เพราะเสียงตัดผ้านั้นคล้ายคลึงกับเสียงแส้หนังแช่น้ำที่หวดลงบนกายเหลือเกิน
‘ชาอาจจะไม่ได้ผลเท่าสุราจริงๆ’ เหยียนจื่อแอบคิดในใจ
ดังนั้นเขาผู้ไม่เคยดื่มสุราจึงหยัดกายเดินเข้าโรงเตี๊ยมพูนโชค
เหยียนจื่อนั่งอยู่ตรงนั้น
เขานั่งเฉยมาพักใหญ่แล้ว
เมื่อเทียบกับคนทั้งหลายเขานิ่งเงียบดั่งรูปปั้นดินเผาชิ้นหนึ่ง
บนโต๊ะมีเพียงสุราที่แม่นางหลี่อวิ้นมอบให้แขกทุกโต๊ะเมื่อครู่
ทว่ากาสุรานั้นเต็ม แต่จอกกลับว่างเปล่า
ครั้งแรกยากที่สุดเสมอ เหยียนจื่อไม่รู้ว่าควรเริ่มอย่างไร
ตอนเด็กๆ เขากับพี่ชายอิจฉาผู้ใหญ่ที่ดื่มสุราได้เหล่านั้นมาก แต่ไม่ว่าของสิ่งใด ขอเพียงเจ้าไม่มีในยามที่ต้องการ ถึงแม้ภายหลังจะมีแล้ว อีกทั้งมีมาก ก็ไม่นับว่ามี
อย่างไรบนโลกนี้ก็มีคนมากมายต้องละทิ้งความสุขใจเพื่อหาเลี้ยงชีพ
………………
“ถ่ายทอดคำสั่งใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐ ทหารหมาป่ารุกรานพรมแดน เมืองทั้งห้าบริเวณชายแดนนอกจากเมืองที่กองทัพชายแดนสังกัดอยู่ ให้ลี้ภัยไปที่ว่าการรัฐติงโดยไม่มีข้อยกเว้น!”
เป็นเสียงกีบม้าอันรีบเร่งอีกระลอกหนึ่ง
ครั้งนี้ทุกคนในโถงโรงเตี๊ยมได้ยินกันหมดแล้ว และได้ยินละเอียดทีเดียว
ครั้งนี้ไม่ได้นุ่มนวลและเบิกบานเช่นคราวก่อนโดยสิ้นเชิง
ทุกถ้อยคำกระแทกบนหัวใจของคนทั้งหลายอย่างหนักหน่วง กดทับจนหายใจไม่ออก
เว้นเพียงสี่คน
บัณฑิตจางยังใส่เมล็ดถั่วเข้าปากไม่หยุด
เหยียนจื่อในที่สุดก็รินสุราให้ตนเองจอกหนึ่ง
หลี่อวิ้นยังชวนคุยถามนู่นถามนี่เด็กหนุ่มข้างตัวเช่นเดิม
ส่วนเด็กหนุ่มกลับมีสีหน้ายินดี เขาคว้าห่อผ้าข้างกายแล้วพุ่งตัวออกไป
“ข้าน้อยหลิวรุ่ยอิ่ง ผู้แทนการตรวจสอบพิเศษภาคตะวันตกเฉียงเหนือจากกองสัคคะเนตร ภายใต้การบังคับบัญชาของผู้กำกับการกรมสอบสวนกลาง ขึ้นตรงต่อฉิงจงอ๋อง ขอถามตอนนี้สถานการณ์รบที่ชายแดนเป็นอย่างไร มีทหารหมาป่ารุกรานชายแดนอยู่เท่าไร”
เด็กหนุ่มชูป้ายหยกแผ่นหนึ่งขึ้น เอ่ยถามเสียงสูงมีชีวิตชีวายิ่ง เขาใช้เวลาระหว่างเดินทางก่อนหน้านี้ไปพักใหญ่กว่าจะจำยศทั้งแถบนี้ได้
เมื่อได้ยินดังนั้นทหารผู้นี้ก็สีหน้าเปลี่ยน รีบพลิกตัวลงจากม้า
“คารวะใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบ ตอนนี้ยังไม่ทราบสถานการณ์รบ ผู้น้อยก็เพิ่งเร่งมาถึงจากที่ว่าการรัฐติงเพื่อถ่ายทอดคำสั่งของผู้ควบคุมรัฐ แต่ตอนที่ผู้น้อยออกเดินทาง ใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐสั่งการให้ใต้เท้าผู้ดูแลรัฐจัดเตรียมทหารและม้าพร้อมรับมือข้าศึกแล้วขอรับ”
กรมสอบสวน
ตั้งแต่ผู้บังคับการกรมลงไปล้วนฟังคำสั่งจากฉิงจงอ๋องเพียงผู้เดียว
ผู้ใต้บังคับบัญชาหกกองนั้น แต่ละกองต่างรับผิดชอบหน้าที่พิเศษ และไม่ว่าระดับขั้นสูงหรือต่ำล้วนมีอำนาจตัดสินใจตามสถานการณ์ สามารถชี้ความผิดเหล่าขุนนางและจัดการขั้นเด็ดขาดก่อนรายงานให้เบื้องบนทราบได้ ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หรือใส่ใจข้อบังคับ แต่อาศัยเพียงความรู้สึก ความต้องการ หรือความคิดของตนเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ผู้คนทั่วหล้าตั้งแต่นอกอาณาจักร อ๋องทั้งสี่ ไปจนถึงประชาชนธรรมดาต่างเกรงกลัวพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง
กองสัคคะเนตรที่หลิวรุ่ยอิ่งสังกัดอยู่นั้นรับผิดชอบหน้าที่สำคัญในการติดตามสถานการณ์ของอ๋องอีกสี่คน และบรรดารัฐในใต้หล้า รวมถึงอิทธิพลนอกดินแดน
เหตุใดต้องตรวจสอบอ๋องทั้งสี่ด้วยน่ะหรือ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้คิดให้กระจ่าง เขาจำได้เพียงวันที่เข้ากรมสอบสวน ใต้เท้าผู้สั่งการกองบอกเขาว่า ‘ถึงแม้จะกล่าวว่าใต้หล้านี้อ๋องทั้งห้าปกครองร่วมกัน แต่อย่างไรก็เป็นห้าอ๋อง ไม่ใช่หนึ่งฮ่องเต้ ในโลกนี้ตราบใดที่ไม่ใช่หนึ่งเดียว เรื่องที่แน่นอนก็คือจะต้องมีความแตกแยก เกิดความขัดแย้งขึ้น’
แม้ผู้แทนการตรวจสอบพิเศษไม่ใช่ตำแหน่งขุนนางอย่างเป็นทางการ แต่ ณ ที่นี้และยามนี้มันกลับเป็นตัวแทนแห่งอำนาจสูงสุดของกองสัคคะเนตรกรมสอบสวนกลาง
‘ข้าถึงกับมีใต้เท้าผู้ตรวจการกองคอยหนุนหลัง ท่านผู้นั้นเก่งกาจกว่าใต้เท้าผู้สั่งการกองเสียอีก เป็นขุนนางใหญ่สุดในกองสัคคะเนตร!’
สำหรับเจ้าหนุ่มน้อยที่เพิ่งเข้ากรมสอบสวนอย่างหลิวรุ่ยอิ่ง ตำแหน่งผู้แทนการตรวจสอบพิเศษถือเป็นเกียรติสูงสุดแล้ว ถึงขั้นแข็งแกร่งกว่ารัฐทายาทของรัฐเหล่านั้นเยอะ
เป็นต้นทุนการอวดโอ้ที่ใหญ่ที่สุดตอนดื่มสุราคุยโวกับสหาย ยิ่งเป็นฐานะสูงส่งที่ทำให้หญิงสาวเข้าหาและชมชอบ
แต่คำขอเหล่านี้กลับออกจะมากไปสำหรับเขา
ตั้งแต่จำความได้เขาก็ใช้ชีวิตอยู่ที่กรมสอบสวน
พ่อแม่เขาสละชีพให้กรมสอบสวนก่อนเขาจำความได้เสียอีก
ดังนั้นเกิดมาเขาก็เป็นคนของกรมสอบสวนแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยสงสัยอะไรในเรื่องนี้มาก่อน
นี่คือชะตา
ทหารที่ขี่ม้าเร็วมาถ่ายทอดคำสั่งคนนั้นยังคงน้อมตัวหลังจากรายงานจบ เมื่อเห็นว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่พูดอะไรอยู่นานจึงเงยหน้ามองเล็กน้อย
“อีกสี่เมืองลี้ภัยออกมาเรียบร้อยหรือยัง”
“ตอบใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบ สี่เมืองอื่นผู้น้อยแจ้งหมดแล้วขอรับ แต่ผู้น้อยไม่แน่ชัดในสถานการณ์ลี้ภัย เมืองจี๋อิงเป็นที่สุดท้ายที่ผู้น้อยถ่ายทอดคำสั่งในครั้งนี้”
“อืม กลับไปรายงานเถิด แล้วก็เรื่องที่ข้าอยู่ที่นี่ไม่ต้องบอกผู้ควบคุมรัฐกับผู้ดูแลรัฐของพวกเจ้าเป็นการชั่วคราว”
หลิวรุ่ยอิ่งหันตัวกลับไปในโถงโรงเตี๊ยม สายตาของทุกคนล้วนหวาดกลัวถึงสิบส่วน เขามองไปยังหลี่อวิ้นตามจิตใต้สำนึก พบว่านางยังคงเอียงศีรษะยู่ปากด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม คล้ายว่ามีคำถามกองโตที่ยังถามไม่หมด
“ใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบ เมื่อครู่ข้าเรียกเจ้าว่าน้องชาย เจ้าจะจับข้าไปสังหารทิ้งหรือไม่”
หลี่อวิ้นเอ่ยถามพลางกัดเล็บมืออย่างร้อนใจ
หลิวรุ่ยอิ่งทั้งฉิวทั้งขัน ไม่รู้เลยว่าควรตอบคำถามนี้อย่างไรดี
“ทุกคนรีบแยกย้ายเถอะ เร่งเก็บข้าวของลี้ภัย”
บัณฑิตจางหยัดกายเอ่ยพลางเดินไปนอกร้าน เขายังห่วงแผงลอยรับเขียนจดหมายเล็กๆ นั่นของเขา
พอคิดดู นับแต่ทหารหมาป่ากลุ่มใหญ่รุกรานพรมแดนคราวก่อนก็ผ่านมานานมากแล้ว
นานจนผู้คนลืมรสชาติของการบ้านแตกสาแหรกขาด พลัดที่นาคาที่อยู่ไปแล้ว กระทั่งออกมาจากโรงเตี๊ยมพูนโชคและมองเห็นหินพักม้าตรงทางเข้าถึงได้ตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้
“ความโหดเหี้ยมอำมหิตของทหารหมาป่าทุ่งหญ้าน่ากลัวกว่ากรมสอบสวนเยอะเลย พวกเราขี่ม้า พวกมันขี่หมาป่า ม้าของพวกเรากินหญ้า หมาป่าของพวกมันกินคน!”
ขณะผู้คนกำลังทยอยเร่งกลับบ้าน มุมตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองพลันเกิดแสงเพลิงโหมทั่วฟ้า เสียงร้องสังหารสะเทือนเลือนลั่นมุ่งหน้ามารวดเร็วอย่างมืดฟ้ามัวดิน
จุดดำเล็กหลายจุดค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นในฉากยามราตรี
ทหารหมาป่า! ทหารหมาป่าเข้าเมืองแล้ว!
บัณฑิตจางเพิ่งเก็บที่ทับกระดาษเข้าในอ้อมอกก็พลันถอนหายใจเล็กน้อย
หรือว่าโศกนาฏกรรมหลายปีก่อนจะฉายซ้ำอีกครั้งในวันนี้
เงาสีแดงสายหนึ่งลอยออกมาจากกลางฝูงชน โจมตีจุดสำคัญของทหารหมาป่าตรงๆ
หมาป่าทุ่งหญ้าสูงเท่าครึ่งตัวคนกำลังจะพุ่งเข้าใส่ฝูงชนอย่างโหดร้ายทารุณ ทว่าจู่ๆ ร่างพลันเอียงทรุดลงไป ทำให้ผู้ขี่มันอยู่ด้านบนกระเด็นออกไปไกลยิ่ง กระแทกกับชายคาบ้านของชาวบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง แม้ชาวทุ่งหญ้าจะผิวหยาบเนื้อหนา สูงใหญ่กำยำ แต่คราวนี้ก็ต้องอยู่ในสภาพไม่รู้เป็นหรือตาย
ฝูงชนที่ชุลมุนมองหมาป่านอนร้องโหยหวนบนพื้นด้วยความมึนงง
พวกเขาไม่เคยเห็นหมาป่าทุ่งหญ้าที่ดุร้ายอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน ในใจถึงกับแอบสงสารมันอยู่บ้าง เพราะเสียงร้องนี้ช่างน่าเวทนาจริงๆ
เดรัจฉานตัวนี้ครวญครางอยู่สองสามทีก็หมดลมหายใจ ผู้คนนึกถึงเงาสีแดงก่อนหน้านี้ขึ้นได้จึงหันตามไปมอง พบว่าที่ทับกระดาษในอกบัณฑิตจางหายไปชิ้นหนึ่ง
“ท่านผู้เฒ่าวิทยายุทธ์เยี่ยมยอดจริงๆ!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวชื่นชม
“นี่คือกระบี่ของเจ้าหรือ”
บัณฑิตจางจ้องกระบี่ที่เพิ่งดึงออกจากฝักในมือเขาเขม็ง
“เป็นของตกทอดจากพ่อแม่ข้า”
บัณฑิตจางที่ยามปกติทุกคนเห็นว่าพิลึกเสเพล เนื้อตัวมอมแมมและชอบทำตามอำเภอใจกลับมีวิทยายุทธ์เช่นนี้ ผู้คนที่ไม่ทันเคลื่อนย้ายออกไปล้วนเข้ามาอออยู่ข้างกายเขาทั้งหมด เบียดเสียดกันไปมา เหมือนว่ายิ่งอยู่ใกล้เขาก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัย
“แอบเรียนวิทยายุทธ์ของกองทัพชายแดนต้องถูกตัดหัว”
บัณฑิตจางเอ่ยกับเหยียนจื่อที่ยืนอยู่ข้างไหล่
“ข้าไม่ได้แอบเรียน เสียดายที่ไม่มีของถนัดมือ ไม่เช่นนั้นก็อาจฆ่ามันได้ในคราวเดียว”
ผู้คนต่างคิดว่าบัณฑิตจางเป็นคนลงมือสังหารทหารหมาป่า
มีเพียงตัวเขาที่รู้ดี
ก่อนเงาสีแดงสายนั้นของที่ทับกระดาษจะพ้นมือ หมาป่าก็ถูกฟันขาขวาด้านหน้าจนพับไปแล้ว
“ด้วยฝีมือเช่นเจ้าการต่อสู้เพื่อความมั่งคั่งอยู่ในกองทัพชายแดนคงไม่ใช่เรื่องยาก เหตุใดต้องหนีด้วยล่ะ”
“ข้าไม่ชอบสู้รบ ข้าแค่อยากตกปลา”
เหยียนจื่อก้าวไปเก็บที่ทับกระดาษของบัณฑิตจางกลับมา ถูตรงหน้าอกจนสะอาดแล้วส่งคืนกลับไป
โรงเตี๊ยมพูนโชคชั้นสาม ในห้องติดถนน
หลี่อวิ้นมองข้างล่างอย่างเงียบเชียบ
สายตาและความคิดของนางไม่ต่างกับบัณฑิตจาง
ก่อนอื่นเป็นกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่ง ค่อยเป็นวิชาของกองทัพชายแดนอันโดดเด่นชุดนั้นของเหยียนจื่อ
“หุบเหวดารา…”
หลี่อวิ้นพึมพำ
……………………………………
[1] ชุ่น เป็นหน่วยวัดของจีน มีระยะประมาณหนึ่งนิ้ว
[2] หัวหน้าหน่วยเล็ก ตำแหน่งทหารกำกับดูแลพลทหารห้านาย