ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 293 วิหคทมิฬกับอีกา-1
เยว่ตี๋วางจอกสุราลง
แต่สุราในกายังดื่มไม่หมด
เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งคิดว่านางจะดื่มทีละจอก จนเมื่อดื่มหนำใจแล้วจึงค่อยไป
แต่เยว่ตี๋กลับไม่ได้คิดเช่นนี้
“ข้าเป็นคนที่ดื่มสุรา และยังดื่มมากอีกด้วย”
เยว่ตี๋กล่าว
ข้อนี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีข้อกังขาใด
เพราะเขามองออก
คนที่ดื่มสุรามามากกับคนที่เพิ่งหัดดื่มสุราไม่เหมือนกัน
ท่าทางยามเขารินสุรานั้นงุ่มง่ามยิ่งนัก
ยามยกจอกสุราขึ้นมาดื่มจนหมดก็ดูจงใจเกินไป
แต่เมื่อย้อนกลับมามองทางเยว่ตี๋
ไม่ว่าจะรินสุรา ดื่มสุรากลับลื่นไหลในคราวเดียว
ยามมองไปก็ให้ความรู้สึกดั่งเมฆคล้อยธาราเคลื่อน
นางไม่ได้จงใจแหงนหน้าขึ้นแต่อย่างใด
แต่ก็สามารถดื่มสุราในจอกได้จนหมด
ลำคอของนางงดงามนัก
ไร้ริ้วรอย เรียบลื่นขาวนวล
หากยอมเงยคอขึ้นเพื่อดื่มสุรา ก็จะต้องงดงามยิ่งเป็นแน่
แต่การดื่มสุราเงียบๆ และไม่มีท่าทางใหญ่โตเช่นนี้ จึงสามารถเผยพลังยุทธ์ที่แท้จริงออกมาได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าครั้งข้าอยู่ในกรมสอบสวน พวกเขาต่างเรียกข้าว่าอย่างไร”
เยว่ตี๋ถาม
เมื่อดื่มสุราแล้ว นางก็ยิ่งสดชื่นขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งย่อมไม่รู้
เพราะตำแหน่งผู้กำกับการกรมสอบสวนอยู่ห่างไกลกับเขาเกินไป
“พวกเขาล้วนเรียกข้าว่าแม่ทัพใหญ่!”
เยว่ตี๋กล่าว
“แม่ทัพใหญ่?”
หลิวรุ่ยอิ่งประหลาดใจยิ่งนัก
มีเพียงนายทัพที่สามารถนำทัพเข้าสู้รบจึงถูกขนานนามว่าแม่ทัพใหญ่
เยว่ตี๋ไม่เคยรบทัพจับศึก แล้วจะถูกขนานนามว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ได้อย่างไร
“แม่ทัพใหญ่นี้ไม่ได้หมายถึงการทำศึก แต่หมายถึงการดื่มสุรา! คนที่ดื่มสุราในกรมสอบสวนนั้นมีมากมายนัก แต่ผู้ที่สามารถถูกขนานนามว่าแม่ทัพใหญ่ที่แท้จริงมีเพียงข้าเท่านั้น!”
เยว่ตี๋กล่าวอย่างภาคภูมิใจยิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะ
“แต่ภายหลังข้าก็ไม่ดื่มสุราอีกแล้ว”
จู่ๆ เยว่ตี๋ก็เอ่ยออกมา
“แต่ว่านี้เมื่อครู่นี้ท่านยังดื่มสุราอยู่”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดและชี้ไปยังจอกและกาสุราที่วางอยู่บนโต๊ะ
“สำหรับแม่ทัพใหญ่แล้ว การดื่มเพียงเล็กน้อยเช่นนี้นับเป็นการดื่มสุราแล้วหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเบ้ปาก
ไม่ว่าเรื่องใดๆ ล้วนไม่อาจกำหนดได้แน่นอน
“เช่นนั้นหลังจากที่ไม่ดื่มสุราแล้ว ฉายาแม่ทัพใหญ่นี้ก็ไม่ใช่ว่าถูกผู้อื่นชิงไปแล้วหรอกหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“แต่ไม่มีน่ะสิ…ผู้อื่นต้องการเป็นแม่ทัพใหญ่ ย่อมต้องให้แม่ทัพใหญ่คนก่อนพ่ายแพ้ยอมศิโรราบจึงจะได้ แต่ข้ากลับไม่ดื่มสุราแล้ว จึงไม่ไปท้าดวลกับผู้ใดอีก ด้วยเหตุนี้ แม่ทัพใหญ่จึงยังคงเป็นข้าอยู่เรื่อยไป”
เยว่ตี๋กล่าว
“แม่ทัพใหญ่ที่ไม่ดื่มสุรา ชีวิตเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“หลังจากไม่ดื่มสุราแล้ว ก็กลับไม่เป็นอันใด…เพียงรู้สึกว่าวันหนึ่งผ่านไปเนิ่นนานนัก ยิ่งไปกว่านั้นก็คล้ายว่าสหายจะลดน้อยลงไปมาก สหายที่เคยมีก่อนนี้ก็พากันคิดว่าเมื่อข้าไม่ดื่มสุราแล้ว ช่างน่าเบื่ออย่างยิ่ง”
เยว่ตี๋กล่าว
“ก่อนนี้เมื่อพวกเขาเห็นข้าดื่มสุราก็จะหวาดกลัว และยิ่งกลัวว่าจะถูกข้ามอมสุรา ปรากฏว่าภายหลังเมื่อข้าไม่ดื่มสุราแล้ว กลับกลายเป็นว่าแม้แต่กินข้าวก็ยังไม่เรียกข้าไปด้วย พวกเขาต่างบอกว่าหลังจากที่ข้าไม่ดื่มสุราแล้ว ชวนข้าไปกินข้าวด้วยก็ไม่สนุกอีกแล้ว”
เยว่ตี๋พูดต่อ
“หรือพวกเขาต่างรู้สึกว่าเสน่ห์ของท่านล้วนอยู่ที่การดื่มสุรา”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“แม้ไม่ใช่ว่าอยู่ที่การดื่มสุราทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็มีมากกว่าครึ่ง”
เยว่ตี๋เอ่ยยิ้มๆ
หลิวรุ่ยอิ่งเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาคิดเงิน
แต่เสี่ยวเอ้อร์กลับไม่กล้ารับเงิน
หลิวรุ่ยอิ่งอธิบายด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนชั่วร้าย
ดื่มสุรากินอาหารก็ต้องจ่ายเงิน
พร่ำพูดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเสี่ยวเอ้อร์จึงเข้ามารับก้อนเงินไปด้วยอาการตัวสั่นงันงก
ทั้งสามเดินออกมาจากร้านสุรา
แสงตะวันจ้า
หลิวรุ่ยอิ่งหรี่ตาลง
เขาไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์อุ่นสบายเช่นนี้มานานแล้ว
แม้ว่ายามค่ำคืนจะทำให้เขาอยู่อย่างสงบได้
แต่นานๆ ครั้งได้เดินอยู่ใต้แสงตะวันสักสองสามก้าวก็เป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกสบายเรื่องหนึ่ง
“พวกเราไปพักที่โรงเตี๊ยมนั่นก่อนดีหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งชี้ไปข้างหน้าพลางถามเยว่ตี๋
เยว่ตี๋พยักหน้าอย่างใจลอย
“เถ้าแก่ เช่าห้องพักสามห้อง!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“นายท่าน ต้องขออภัยจริงๆ ขอรับ…โรงเตี๊ยมของเราทั้งวันนี้และพรุ่งนี้ล้วนถูกเหมาหมดแล้วขอรับ!”
เถ้าแก่กล่าวขออภัย
“เช่นนั้นในเมืองแห่งนี้ยังมีโรงเตี๊ยมอื่นอีกหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม ไม่ได้ชักช้าให้มากความ
แม้ว่าเขาสามารถพักในที่ทำการกรมสอบสวนได้
ทว่าหลังจากเกิดเรื่องในรัฐติง เขาก็ชอบที่จะอยู่ข้างนอกเพียงลำพังอย่างอิสระเสรีมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น ข้างกายเขาในเวลานี้นอกจากหวาหนงที่สามารถไว้วางใจได้แล้ว แม้แต่เยว่ตี๋เขาก็ยังระแวงอยู่สามส่วน
ระวังไว้ก่อนย่อมไม่ผิด
“แม้ว่าเมืองหยางเหวินจะเจริญ แต่โรงเตี๊ยมกลับมีเพียงที่นี่แห่งเดียวขอรับ…”
เถ้าแก่กล่าว
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกรงใจ
“ผู้ใดเหมาโรงเตี๊ยมหรือ”
จู่ๆ เยว่ตี๋ก็ถามขึ้นมา
“เป็นท่านหัวหน้าอาคารกรมสอบสวนขอรับ! คืนนี้เขาจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดที่นี่ มีสหายหลายท่านมาจากต่างถิ่น ด้วยเหตุนี้เขาจึงเหมาทั้งโรงเตี๊ยมเตรียมไว้เสียเลยขอรับ”
เถ้าแก่กล่าว
เยว่ตี๋กับหลิวรุ่ยอิ่งหันมายิ้มมองหน้ากัน
นึกไม่ถึงว่าหัวหน้าอาคารที่ทำการกรมสอบสวนเล็กๆ ผู้หนึ่ง กลับหน้าใหญ่หน้าโตถึงเพียงนี้
“พี่เยว่ คิดว่าควรทำเช่นไรขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“งานเลี้ยงวันเกิด เรื่องครึกครื้นถึงเพียงนี้จะพลาดได้อย่างไร ถึงยามนั้นไม่เพียงสามารถพักแรมโดยไม่ต้องจ่ายหนึ่งคืน ยังได้กินดีๆ โดยไม่ต้องจ่ายอีกหนึ่งมื้อด้วย!”
เยว่ตี๋กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าเยว่ตี๋ผู้นี้ก็คือโอวเสี่ยวเอ๋อในอีกยี่สิบปีข้างหน้า
เรี่ยวแรงดุดันร้ายกาจเช่นนี้ ใช่ว่าคนทั่วไปจะรับไหว
“แต่ว่าผู้อื่นฉลองวันเกิด ถ้าไปทั้งสองมือเปล่าๆ ก็ออกจะไร้มารยาทไปหน่อย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เจ้าคิดว่าต้องซื้อของกำนัลเล็กน้อยหรือ”
เยว่ตี๋ย้อนถาม
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
คนทั้งสามจึงตัดสินใจว่าจะเดินหาซื้อของบนถนนสายนี้
ขณะเดินไป กลับมีเสียงอึกทึกดังมาจากข้างหน้า
เยว่ตี๋เพิ่งซื้อถังหูลู่มาไม้หนึ่ง
กินไปสองลูก
กำลังกัดลูกที่สามออกจากไม้เสียบ
หวาหนงและหลิวรุ่ยอิ่งมองเยว่ตี๋ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
พวกเขาสองคนคิดไม่ถึงว่า สตรีที่อัศจรรย์เก่งกาจเป็นยอดฝีมือเช่นนี้ ก็ยังมียามที่เหมือนเด็กหญิงตัวน้อยที่ชอบกินถังหูลู่ด้วย
“ทำไม ไม่เคยเห็นคนกินถังหูลู่หรือไร”
เยว่ตี๋ถามอย่างเย็นชา
“มะ…ไม่ใช่ขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งถูกถามเช่นนี้ก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันใด
ทว่าเขากลับเข้าใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาแล้ว
เรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับสตรี
นั่นก็คือ สตรีผู้หนึ่งไม่ว่ากระบี่ของนางจะร้ายกาจเพียงใด ตำแหน่งสูงส่งเพียงใด จะอย่างไรนางก็ยังเป็นสตรีผู้หนึ่ง
ยังคงยืนซื้อเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตรงหน้าแผงขายของโดยไม่ขยับไปไหนอยู่เช่นนั้น
ยังคงซื้อถังหูลู่ไม้หนึ่งกินไปเดินไปอยู่เช่นนั้น
แต่ว่าเสียงเอะอะเมื่อครู่นี้กลับทำให้จิตใจเบิกบานที่นางกำลังกินถังหูลู่อยู่ต้องจืดจางไป
เพิ่งกัดลูกซานจาลูกที่สามลงไป ยังไม่ทันอมไว้ในปากก็ต้องบ้วนออกมาแล้ว
“ไม่อร่อยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เยว่ตี๋กล่าว
“เช่นนั้นเหตุใดพี่เยว่จึงคายออกมาเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ต่อให้เป็นของที่อร่อยกว่านี้ก็ต้องกินในช่วงเวลาที่อารมณ์ดีจึงจะกินลง หากเมื่อครู่นี้เจ้าไม่เอาแต่จ้องข้า เจ้าก็จะเข้าใจว่าเหตุใดข้าต้องคายลูกนั้นออกมา”
เยว่ตี๋กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งมองไปข้างหน้า
กลับเห็นว่านายท่านจางที่ถูกเยว่ตี๋ตัดมือไปเมื่อครู่นี้ กำลังพาคนมาสิบกว่าคน และเดินเข้ามาด้วยท่าทางฮึกเหิม
ทว่า ข้างหน้านายท่านจางยังมีคนอีกผู้หนึ่ง
นายท่านจางเดินตามหลังคนผู้นั้นในระยะห่างครึ่งก้าวด้วยความระมัดระวัง
ท่าทีบ้าอำนาจเช่นก่อนนี้กลับไม่มีให้เห็นอีกแล้ว
มีแต่สีหน้านบนอบอยู่เต็มใบหน้า
“นึกไม่ถึงว่าเจ้านักเลงอันธพาลตัวเล็กๆ ยังมีที่มาที่ไปใหญ่โตเช่นนี้!”
เยว่ตี๋กล่าว
“คนผู้นั้นคือผู้ใดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“คนผู้นั้นนามว่าอย่างไรข้าเองก็ไม่รู้ แต่คนในยุทธภพล้วนเรียกเขาว่าวิหคทมิฬ”
เยว่ตี๋กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นคนผู้นั้นสวมเสื้อผ้าสีดำแต่หัวจรดเท้า
แม้แต่ใบหน้าก็ยังใช้ผ้าดำปกคลุมเอาไว้
ถือกระบี่สีดำคล้ำเล่มหนึ่ง
“วิหคทมิฬ? ข้าว่าเหมือนอีกามากกว่า”
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มพลางเอ่ย
“ผู้คนที่ดูแคลนเขาก็เรียกเขาว่าอีกาจริงดังว่า เพียงแต่คนที่พูดเช่นนี้ต่อหน้าเขาล้วนตายไปหมดแล้ว และยังถูกตัดลิ้นออก จากนั้นก็ถูกเปลี่ยนให้สวมเสื้อผ้าสีขาวหิมะทั้งตัวและโยนไว้กลางถนน”
เยว่ตี๋กล่าว
“เขาเกลียดสีขาวเพียงนั้นเลยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ข้าไม่เคยถามเขา อีกประเดี๋ยวเจ้าก็ลองถามดู”
เยว่ตี๋กล่าว
นายท่านจางมองเห็นเยว่ตี๋มาจากไกลๆ
หลังจากนั้นฝีเท้าของวิหคทมิฬก็หยุดลง
“เจ้าเป็นคนตัดมือหลานชายข้า?”
วิหคทมิฬมองเยว่ตี๋หนหนึ่งจึงเอ่ย
“เขาก็นับว่าเป็นมือกระบี่แนวหน้าในแดนเจิ้นเป่ยอ๋อง ระดับพลังอาจไม่ทัดเทียมซุนเต๋ออวี่ แต่หากว่ากันเรื่องความล้ำเลิศของเพลงกระบี่ ซุนเต๋ออวี่กลับห่างไกลกว่าเขานัก เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็เคยทาบทามเขาด้วยทองจำนวนมากหลายคราว แต่ล้วนถูกเขาปฏิเสธ”
เยว่ตี๋ไม่ได้แยแสต่อคำพูดของวิหคทมิฬแม้แต่น้อย
ซ้ำยังหันหน้ามาพูดกับหลิวรุ่ยอิ่งอีกด้วย
“เจ้ารู้จักข้าดี?”
วิหคทมิฬก็ได้ยินคำพูดนี้เช่นกัน
แต่ไรมาหูของมือกระบี่ย่อมว่องไวเป็นที่สุด
“เคยได้ยินมาบ้าง”
เยว่ตี๋กล่าว
“สังหารคน ทดแทนด้วยชีวิต ติดค้างหนี้ ต้องคืนเงิน พวกเจ้าทั้งสามคนทิ้งมือไว้คนละข้างก็ไสหัวไปได้”
วิหคทมิฬกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเริ่มเดือดดาลขึ้นมา
………………………………………