ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 29 มีบุตรต้องมีอย่างทังจงซง
บทที่ 29 มีบุตรต้องมีอย่างทังจงซง
ในที่ว่าการรัฐติง
ทังหมิงกำลังเดินไปเดินมาในห้องประชุมงานราชการ สีหน้าปกคลุมด้วยเมฆครึ้ม
“สถานที่รวมพลของทัพอีกาดำคือนอกหัวเมืองรัฐติงข้า นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ตั้งแต่ท่านอ๋องกลับไปก็ไม่ส่งข่าวคราวใด หรือหลายวันนี้ทำให้เขาสืบเสาะต้นเหตุเรื่องราวอะไรได้”
จะว่าไป หลังฮั่ววั่งออกจากจวนทังหมิงแล้ว เขากลับทำตัวเหมือนคนไม่สนใจสถานการณ์ ยามนี้เกรงว่าท่าทีเฉยเมยของตนจะนำมาสู่ปัญหาใหญ่โดยไม่คาดคิดเสียแล้ว
หากตอนนั้นตนส่งคนไปสืบหายกใหญ่สักรอบ ถึงแม้ยังไม่เจอร่องรอย แต่สุดท้ายท่านอ๋องถามลงมาอย่างน้อยก็มีข้อแก้ต่างไม่ใช่หรือ ตอนนี้ดีเสียอีก ตนไม่ถามไม่ทำอะไรเลย หากท่านอ๋องอยากกำจัดตนนี่ก็เป็นข้ออ้างที่เยี่ยมที่สุด
เวลาชั่วพริบตา ในใจทังหมิงเกิดความคิดเป็นพันหมื่น
เขาเหมือนยืนอยู่กลางป่าในฤดูใบไม้ร่วง มองลมแรงหมุนม้วนใบไม้ สายตาโกรธเกรี้ยวคิดอยากเลือกใช้อุบายยอดเยี่ยมจากในนั้นและเดินหมากดีสักตา
ฉับพลัน ใจทังหมิงปรากฏความคิดที่แม้แต่เขาเองยังหวาดกลัว
“หรือจะ…ต่อต้าน”
เขาอึ้งงันชั่วครู่ จากนั้นก็เสียสติเล็กน้อย วิ่งไปหน้าแผนที่รัฐติงอย่างบ้าคลั่งและครุ่นคิดถี่ถ้วน ความซับซ้อนของอำนาจต่างๆ เริ่มก่อรูปในสมอง
“ท่านพ่อ!”
ทังจงซงตะโกน
เสียงเรียกท่านพ่อนี้เป็นก้อนหินทำลายสวรรค์กลางน้ำ[1]โดยแท้ ดึงความคิดของทังหมิงกลับสู่ความเป็นจริง
เขาตบๆ ศีรษะของตน คิดว่าตนก็เป็นคนผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ไม่รู้ทำไมเมื่อครู่ถึงผีเข้าเช่นนั้น
“ซงเอ๋อร์มีอะไร”
ทังหมิงเอ่ยถามอย่างใจลอย
ใจคิดว่าหากไม่ใช่เพื่อพวกเจ้าแม่ลูก เพื่อความปลอดภัยของครอบครัว ข้าคงออกไปต่อสู้เสี่ยงตายตั้งนานแล้ว จะยังใช้ชีวิตหวาดหวั่นพรั่นใจเหมือนเดินบนน้ำแข็งบางอยู่ตลอดได้อย่างไร
“ท่านพ่อ ต่อต้านไม่ได้เด็ดขาด!”
คำพูดทังจงซงทำเอาคนตกใจ
‘เพล้ง!’
ถ้วยชาในมือทังหมิงร่วงลงพื้นแตกละเอียด
เขาเบิกสองตากว้างจ้องตรงไปที่ทังจงซง ปากอ้าครึ่งหนึ่ง ลูกกระเดือกเลื่อนขึ้นลง
หากตรงหน้าไม่ใช่บุตรชายของตน เช่นนั้นเขาคงกลายเป็นศพนอนบนพื้นร่างหนึ่งไปแล้ว
“แม้ฮั่ววั่งเรียกรวมพลทัพอีกาดำ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะบุกหัวเมืองรัฐติงเราหรือตระกูลทังของเรา ต่อให้ฮั่ววั่งสะสมความแค้นต่อท่านพ่อมานาน แต่ภัยจากทหารหมาป่ายังอยู่วันหนึ่ง พวกเราตระกูลทังก็ปลอดภัยได้วันหนึ่ง เรื่องถึงขั้นนี้ ตระกูลทังกับรัฐติงเป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน ไม่อาจแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง นอกจากท่านพ่อ ใครจะมีอำนาจในหมู่ชาวบ้านและกองทัพของรัฐติงมากเท่านี้ ผู้ว่าการหัวเมืองเฮ่อโหย่วเจี้ยนกับผู้สั่งการหัวเมืองและคนอื่นๆ นั่นท่านก็เป็นคนอุ้มชูเลื่อนยศให้เอง แม้สถานการณ์ผันแปร ใจคนไม่ซื่อสัตย์ แต่ก็ดีกว่าคนนอก หนำซ้ำพวกเขากับท่านพ่อและตระกูลทังของพวกเราต้องพึ่งพาอาศัยกัน รุ่งเรืองก็รุ่งเรืองทั้งคู่ ย่อยยับก็ย่อยยับทั้งคู่ ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก ฮั่ววั่งยึดทรัพย์ฆ่าล้างตระกูลเราแล้วเขาจะยังไม่เข้ายึดอำนาจการทหารของเฮ่อโหย่วเจี้ยนอย่างนั้นหรือ”
ทังจงซงกล่าวอย่างจริงจัง
ขอบตาทังหมิงรื้นเล็กน้อย
ความสงสัยในใจตนหลังจากทังจงซงบาดเจ็บกลับมาตอนแรกคล้ายกำลังคลี่คลายอย่างช้าๆ
“หากฮั่ววั่งใช้แผนซ้อนแผน ยอมให้เฮ่อโหย่วเจี้ยนเป็นผู้ควบคุมรัฐคนใหม่ พวกเราก็ไม่ต้องกลัว”
ทังจงซงพูดพลางหยิบจดหมายหลายฉบับออกจากในอก
“นี่คือ…”
ทังหมิงไม่ค่อยเข้าใจ
ทังจงซงฉีกเปิดฉบับหนึ่ง ชื่อผู้รับตรงหัวข้อเฮ่อโหย่วเจี้ยนเขียนให้คนคนหนึ่งที่เรียกว่า ‘คุณชาย’ และเนื้อหาในจดหมายกลับเป็นวิธีรับมือการสืบสวนแนวหน้าเขตชายแดนของผู้แทนการตรวจสอบแห่งเมืองหลวงหลิวรุ่ยอิ่ง
ฉีกเปิดอีกฉบับ เป็นจดหมายตอบกลับที่ ‘คุณชาย’ เขียนให้เฮ่อโหย่วเจี้ยน เนื้อหาเกี่ยวกับในหมู่ชาวบ้านผู้อพยพที่ถอนกำลังออกจากเมืองจี๋อิงมียอดฝีมือเลิศล้ำซ่อนตัวอยู่หลายคน ให้เขาเฝ้าติดตามใกล้ชิดกว่าเดิม โดยเฉพาะแม่นางชื่อหลี่อวิ้นที่เคยเป็นนางโลมโรงเตี๊ยมพูนโชคเมืองจี๋อิง
เดิมจุดเขียนชื่อผู้ส่งมุมขวาล่างจดหมายควรเป็นตำแหน่งลงนาม แต่กลับถูกแทนที่ด้วยตราประทับ
“ตราส่วนตัวคุณชายโรงเรืองขวัญ”
อักษรแปดตัวบนตราประทับเสริมด้วยหมึกสีชาดแดงแล้วยิ่งดูประหลาดลึกลับ
“ใช่แล้วท่านพ่อ ข้าคือผู้นำโรงเรืองขวัญ คุณชายที่พวกเขาเรียก ผู้วางแผนเหตุการณ์มหัพภาคติ้งซีที่แท้จริง”
ยังไม่รอทังหมิงตอบสนอง ทังจงซงกล่าวต่อ
“เมื่อก่อนข้าแกล้งโง่ซ่อนคมมาตลอด รวมถึงเรื่องใช้หนี้พนัน เงินชดเชยร้านค้าและอื่นๆ ที่เบิกจากบัญชี ความจริงข้าแอบเอามาพัฒนาโรงเรืองขวัญทั้งหมด”
สุดท้ายขุนพลอาวุโสบนสนามรบอย่างทังหมิงก็กลั้นน้ำตาหยดนี้ไม่อยู่
เขาเบี่ยงกายเล็กน้อย ไม่อยากให้ลูกชายของตนเห็นฉากนี้
มือขวาค้ำมุมโต๊ะสั่นเทาเล็กน้อย นี่เป็นถึงมือขวาที่สามารถกวัดแกว่งดาบตะขอคมเขี้ยวสามหอรบสังหารผู้นำหน่วยกลืนจันทราท่ามกลางกองทัพนับหมื่นได้เชียวนะ
ทังหมิงหวนนึกถึงตอนลูกชายเพิ่งเกิดแล้วตนฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเขา
ทว่าต่อมาภรรยาใช้อำนาจตามใจ ลูกขายเหลวไหลเกียจคร้าน ทำให้ความหวังเต็มอกของเขาค่อยๆ สูญไปจนหมดสิ้น
บัดนี้เห็นลูกชายของตนกลายเป็นคนมีประโยชน์เช่นนี้ จะไม่รู้สึกปลื้มปริ่มและเศร้าใจพร้อมกันได้อย่างไร
เขาปลื้มที่ลูกชายตนไม่เพียงควบคุมสถานการณ์ของรัฐติงได้อย่างแม่นยำ ยังวางหมากภาคพื้นใหญ่ให้ทั้งเขตติ้งซีอ๋องในรอบนี้ออกมาได้ เอ่ยแค่ครั้งนี้ เขาใช้โอกาสตอนหลี่อวิ้นเผยวิชาปาดกระบี่ฐานเมฆาดึงจมูกจูงติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งก็เรียกได้ว่าเป็นความสามารถเหนือธรรมดาแล้ว
เขาเศร้าที่ลูกชายอดทนซ่อนคมตั้งแต่เด็ก กล้าทำเรื่องที่คนทั้งใต้หล้ามองว่าผิดมหันต์ รับชื่อเสียงเลวร้ายที่ว่าเสเพล แล้วตนผู้เป็นบิดายังตำหนิลงโทษทางกายหลายครั้ง เขากลับไม่มีความรู้สึกเคียดแค้นแม้แต่น้อย และยังพยายามเพื่อตนอย่างสุดกำลัง เลือกร่วมเป็นร่วมตาย แสวงหาการอยู่รอดให้คนตระกูลทัง ครั้งนี้ ยังใช้ตัวเองเป็นกระดานหมากและทำลายแขนข้างหนึ่งโดยไม่เสียดาย จะไม่ให้ตนผู้เป็นพ่อออกสีหน้าได้อย่างไร
สุดท้ายใครจะทัดเทียมศัตรูในความผันแปรแห่งติ้งซี มีบุตรต้องมีอย่างทังจงซง
“แล้วตามความเห็นของเจ้า ควรเลือกวิธีอย่างไรหรือ”
ทังหมิงสงบอารมณ์และเอ่ยถาม
“ข้าคิดว่าท่านพ่อควรเขียนจดหมายสั่งให้เฮ่อโหย่วเจี้ยนสร้างความขัดแย้งภายใน ล่อทหารหมาป่าบุกพรมแดนเป็นการใหญ่ จากนั้นทำเป็นต่อต้านไม่ไหวแล้วถอยร่นร้อยลี้ ยกห้าเมืองเขตชายแดนให้ราชสำนักทุ่งหญ้าทั้งหมด”
ทังหมิงฟังแล้วเผยยิ้มเจื่อน เขาไหนเลยจะไม่รู้ว่าการทำเช่นนี้เป็นวิธีแก้ไขสถานการณ์เพียงหนึ่งเดียว แต่ตอนนี้เหมือนคนใบ้กินบอระเพ็ด[2]
………………………..
ราชสำนักทุ่งหญ้า กระโจมใหญ่กองกำลังฝ่ายซ้าย
อั๋งหรานแม่ทัพกองกำลังฝ่ายซ้ายกำลังโมโหโกรธจัดกับคนหนึ่งในกระโจม
ดูเสื้อผ้าการแต่งกายของคนผู้นี้ ไม่เหมือนชาวทุ่งหญ้า
“กลับไปบอกเฮ่อโหย่วเจี้ยน! หากยังไม่ส่งทองคำเงินขาว ม้าพันธุ์ดีหญิงงามมาสังกัดกองกำลังฝ่ายซ้ายข้าตามตกลงอีก เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่รักษาสัญญา! ทหารหมาป่าสี่แสนคนของข้าพร้อมรบทุกเมื่อ!”
คนในกระโจมไม่กล้าแย้งแม้แต่น้อย ได้แต่ขออภัยซ้ำๆ และรับรองว่าต้องส่งถึงเร็วที่สุดแน่นอน
อั๋งหรานเดินลงแท่นขุนพลมาถึงข้างกายคนผู้นี้
ในมือถือดาบโค้งเล่มหนึ่งห้อยลง พลันออกมือตัดหูซ้ายของเขาทิ้ง
คนผู้นี้ส่งเสียงร้องโหยหวน เจ็บจนหมดสติ
“เฮอะ ไร้ประโยชน์สิ้นดี…จับมันยัดกระสอบแล้วโยนหน้าค่ายทหารของเฮ่อโหย่วเจี้ยน”
อั๋งหรานเช็ดคราบเลือดบนดาบโค้งที่ตัวเขาจนสะอาดและกล่าว
จากนั้นเตะใบหูบนพื้นเข้ากองไฟในกระโจม กลิ่นเนื้อฟุ้งตลบทันใด
………………………..
เมืองติ้งซีอ๋อง
บัณฑิตจางคาดไม่ถึงว่าในทัพอีกาดำของฮั่ววั่งจะมียอดฝีมือเช่นนี้ด้วย ยิ่งตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องเข้าเมือง
ตั้งแต่หลังเจ้าหุบเขาประจัญส่งคนออกท่องโลกหล้าคราวก่อนก็ผ่านมาสามสิบห้าปีแล้ว
หนนี้ถึงคราวเขาเรียงรันในเขตติ้งซีอ๋อง
นับเวลา เขาก็น่าจะมาแล้ว
บัณฑิตจางเข้าเมือง เขาเดินตามตรอกซอกซอยทั่วไปในเมืองก่อนรอบหนึ่ง
เพียงแต่การแต่งตัวสกปรกของเขายากจะมีคนต้อนรับ
สุดท้ายหาได้แค่แผงเล็กๆ แห่งหนึ่ง กินก๋วยเตี๋ยวผักไปสองตำลึง
ตอนเขาเห็นประตูหน้าของวังติ้งซีอ๋องพังยับก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้ ถามละแวกนั้นทุกคนต่างพูดจาคลุมเครือ ไม่ยอมพูดให้ชัดเจน จึงได้แต่ล้มเลิก
บัณฑิตจางเห็นว่าจุดแตกหักของประตูหน้าวังไร้ระเบียบยิ่ง คล้ายถูกทุบทำลายเต็มแรง เทียบกับคนที่เขานึกอยู่ในใจแล้วดูไม่เข้ากันนัก จึงไม่สนใจเรื่องชาวบ้านอีก
แม้เขาแอบอาศัยอยู่เขตติ้งซีอ๋องมาหลายปีแล้ว แต่นับรวมครั้งนี้เพิ่งเข้าเมืองอ๋องเป็นครั้งที่สาม
ครั้งแรกเป็นตอนที่เขาเพิ่งเข้าสู่เขตติ้งซีอ๋อง หยุดพักในเมืองอ๋องเพื่อคิดถึงหนทางข้างหน้า
ครั้งที่สองมาจากเมืองจี๋อิงเพื่อรับพู่กันกับที่ทับกระดาษที่สั่งทำก่อนหน้านั้น
ตอนนี้ เป็นครั้งที่สาม
“เสี่ยวเอ้อร์ ขอถามสองสามวันนี้มีคนแปลกๆ มาในเมืองอ๋องใช่หรือไม่”
บัณฑิตจางเดินถึงโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง นั่งลงก็ถามทันที
“ท่านผู้เฒ่า ที่นี่เราเป็นถึงโรงน้ำชาอันดับต้นๆ ในเมืองอ๋อง ไม่ใช่สถานที่ถามเรื่องวิวาทไร้สาระ”
ท่าทีเสี่ยวเอ้อร์เย็นชา กล่าวอย่างเรียบเฉย
บัณฑิตจางมองเสื้อผ้าของตัวเองแล้วก็อดส่ายหัวหลุดยิ้มไม่ได้ เขาล้วงถุงผ้าอันหนึ่งออกจากในอกพลันโยนลงบนโต๊ะ
‘ตึง!’
ในถุงผ้าคล้ายมีของหนักไม่น้อย กระทบกับโต๊ะชาแล้วเกิดเสียงดังลั่น
เสี่ยวเอ้อร์หยิบถุงผ้าขึ้นมา ลองชั่งน้ำหนักบนมือเล็กน้อย สีหน้าพลันเปลี่ยนทันที
“จัดโต๊ะ ยกชา!”
เสี่ยวเอ้อร์ตะโกนกับด้านหลังประโยคหนึ่ง
“ดูแล้วท่านผู้เฒ่าคงมาจากต่างถิ่นกระมัง เช่นนั้นท่านมาหาถูกคนแล้ว! โรงน้ำชาของเราคนแวะเวียนเข้ามาไม่รู้วันละเท่าไร ส่วนใหญ่ก็จะพูดถึงเรื่องแปลกพิลึกหลายอย่าง ไม่ทราบท่านถามด้านใดหรือ”
เสี่ยวเอ้อร์พูดประจบ หลังที่เคยหยัดตรงยามนี้ก็โค้งจนเหมือนกุ้งแห้งตัวใหญ่
“ประตูหน้าวังอ๋องเกิดอะไรขึ้น”
บัณฑิตจางเอ่ยถาม
“โอ้! ท่านเห็นแล้วหรือ นั่นเป็นเรื่องที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นในเมืองติ้งซีอ๋องของเราเลย! เล่ากันว่าเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งที่พาเด็กซนมาด้วย จู่ๆ ก็ก่อเรื่องโดยไม่มีสาเหตุ ยังประมือกับทัพอีกาดำแล้วด้วย!”
พูดถึงตรงนี้กลับหยุดลงเสียอย่างนั้น ตาชำเลืองมองถุงผ้าไม่หยุด
บัณฑิตจางหยิบเงินแท่งหนึ่งจากในนั้นโยนให้เขาอย่างรู้กัน
“มีทัพอีกาดำออกมือ ผู้เฒ่ากับเด็กนี่ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ ไม่นานก็ถูกจับพาเข้าในวังแล้ว จากนั้นทำอะไรไปที่ไหนผู้น้อยก็ไม่ทราบ”
ตาเห็นเงินถึงมือ เสี่ยวเอ้อร์ถึงได้กล่าวคำที่อุบไว้ในปากครึ่งหนึ่งจนจบ
“แล้วทัพอีกาดำรวมพลออกนอกเมืองด้วยเหตุใดกัน”
บัณฑิตจางโยนเงินแท่งหนึ่งให้อีก คิดไม่ถึงเสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้กลับไม่รับแล้ว
“ท่านผู้เฒ่า หากท่านมาที่นี่จากต่างถิ่นเพื่อถามเรื่องแปลกคนประหลาดหายากในเมืองอ๋องผู้น้อยต้องเล่าทุกเรื่องที่รู้ชนิดหมดเปลือกแน่นอน แต่หากเรื่องเกี่ยวกับวังอ๋องหรือทัพอีกาดำ เช่นนั้นก็ต้องขออภัยที่ผู้น้อยบอกอะไรไม่ได้”
บัณฑิตจางยังอยากถามบางอย่างอีก เสี่ยวเอ้อร์กลับหันกายจากไปดูแลคนอื่นแล้ว
บัณฑิตจางทอดถอนใจเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าอำนาจของฮั่ววั่งกับทัพอีกาดำจะมากถึงเพียงนี้ มากจนทำให้เสี่ยวเอ้อร์ที่เห็นเงินแล้วตาโตคนหนึ่งหลีกเลี่ยงไม่พูดถึง
เขานึกถึงวันเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่เมืองจี๋อิงไม่หยุดหย่อน คิดถึงแผงลอยเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ข้างโรงเตี๊ยมพูนโชคนั้นของตน คิดถึงเสี่ยวเอ้อร์ที่มักจะติดบัญชีให้เขาและรู้กับแกล้มสามอย่างที่เขาสั่งประจำ
…………………………………………..
[1] ก้อนหินทำลายสวรรค์กลางน้ำ หมายถึงการเปิดเผยความจริงของเรื่องราว
[2] คนใบ้กินบอระเพ็ด หมายถึงพูดไม่ออก