ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 272 หยุดพักใหญ่น้อย-5
บทที่ 272 หยุดพักใหญ่น้อย-5
สายตาของหลิวรุ่ยอิ่งมองตามคนของกรมสอบสวนกลุ่มนี้ขึ้นไปยังชั้นบน
มองจากเครื่องแต่งกายแล้วหัวหน้ากลุ่มเป็นผู้สั่งการกอง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นกองใด
ทว่าเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนที่ออกทำงานข้างนอกนั้น หากไม่ใช่กองสัคคะเนตรเช่นเดียวกับหลิวรุ่ยอิ่งก็ต้องเป็นกองสัคคะกรรณ
แต่ไม่ว่าอย่างไร ทุกคนล้วนเป็นคนของกรมสอบสวนทั้งสิ้น และเรียกได้ว่าเป็นสหาย
เพียงแต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีแก่ใจจะไปสนทนากับพวกเขา
เขาแค่อยากรอให้หวาหนงกลับมาเร็วสักหน่อย
แต่คนที่กลับมาเร็วกว่าหวาหนงกลับเป็นเสี่ยวเอ้อร์
เขาหอบเกาลัดคั่วน้ำตาลห่อโตในอก
วิ่งมาตลอดทาง ส่งกลิ่นหอมมาตลอดทาง
หลิวรุ่ยอิ่งหยิบลูกหนึ่งโยนใส่ปาก
ดูดกินน้ำเชื่อมที่เคลือบอยู่บนเกาลัดชั้นหนึ่ง
จากนั้นจึงกัดลงไปเบาๆ
เสี่ยวเอ้อร์ก็นับเป็นคนซื่อตรงผู้หนึ่งทีเดียว
เกาลัดคั่วน้ำตาลที่เขาซื้อกลับมาอร่อยจริงดังว่า!
แม้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่ค่อยได้กินเกาลัดคั่วน้ำตาลเท่าใดนัก แต่ในเมื่อตนรู้สึกว่าดี ก็ไม่ใช่ว่าดีหรอกหรือ
ในโลกนี้มีคนที่ชอบกินหวาน และมีคนที่ชอบกินเปรี้ยว
แต่หากให้คนที่ชอบกินเผ็ดมากิน ก็เกรงว่าทั้งสองอย่างคงไม่อร่อยทั้งสิ้น
“ไม่เลว! เกาลัดคั่วน้ำตาลนี้ไม่เลวจริงๆ!”
จากนั้นก็เริ่มกินเกาลัดลูกหนึ่งกับสุราอึกหนึ่ง ดวงตามองออกไปนอกหน้าต่าง
แต่หางตาเขากลับมองเห็นคนผู้หนึ่งเดินลงมาจากชั้นสอง
คนผู้นี้สวมชุดลำลอง
แต่จากอากัปกริยาการขยับมือเท้า เพียงมองก็รู้ว่าเป็นคนของกรมสอบสวน
คิดว่าคงไปรอรับในห้องส่วนตัวชั้นบนก่อนหน้านี้
“สหายมาที่นี่ลำพังหรือ”
คนผู้นั้นเดินตรงเข้ามาตรงหน้าโต๊ะของหลิวรุ่ยอิ่งแล้วเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งยกจอกสุราขึ้นมากำลังจะดื่มพอดี
ได้ยินเขาถามดังนี้ กลับต้องแอบหัวเราะอยู่ในใจ
นี่เรียกว่ามหานทีซัดสาดวังราชามังกรโดยแท้
ตนกลายเป็นผู้ต้องสงสัยของกรมสอบสวนไปเสียแล้ว
ทว่าคิดไปก็ใช่
เมื่อครู่สายตาของเขาเอาแต่จ้องไปยังคนกลุ่มนั้น
หลังจากผู้สั่งการกองที่เป็นหัวหน้ากลุ่มขึ้นไปแล้วย่อมไม่อาจวางใจ
จำต้องส่งคนลงมาสืบถามให้รู้ชัด ก็นับว่าสมเหตุสมผลอยู่
“ไม่ ยังมีอีกผู้หนึ่ง”
หลิวรุ่ยอิ่งมองเขาขณะถือวิสาสะนั่งลงตรงข้ามตน
“ที่แท้เป็นดังนี้”
คนผู้นั้นกล่าว
“มีสิ่งใดที่ที่แท้เป็นดังนี้หรือ”
คิดในใจว่าคนผู้นี้ช่างทำงานไม่เป็นเล็กน้อย…
เหตุใดคนที่กรมสอบสวนรับเข้ามายามนี้ล้วนเป็นพวกโง่เง่าเช่นนี้!
แต่เขากลับลืมไปแล้วว่า
ตอนที่เขาเพิ่งไปถึงโรงเตี๊ยมพูนโชคในเมืองจี๋อิงนั้น
เกรงว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะโง่เง่าเบาปัญญายิ่งกว่าคนตรงหน้านี้มากนัก
คนเราล้วนเปลี่ยนไปทั้งสิ้น
และกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงนี้ก็อาจจะช้าหรืออาจจะเร็ว
คนบางคนก่อนจะสิ้นใจถึงเพิ่งตระหนักรู้ และมีบางคนเมื่อพบเจออุปสรรคบางประการจึงเพิ่งรู้สึกสะเทือนใจ
“เพียงแค่รู้สึกว่าสหายท่านนี้ท่าทีสง่างามองอาจ ข้าน้อยคิดอยากคบหาด้วย”
คนผู้นี้ประสานมือคำนับพลางเอ่ย
หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีอารมณ์จะเกี่ยวพันกับคนผู้นี้ต่อไปจริงๆ
จึงยื่นนิ้วและชี้ไปข้างบน
แล้วใช้มือแต้มสุราเขียนอักษรคำว่า ‘สืบ’ บนโต๊ะ
จากนั้นก็ชี้นิ้วมาที่ตนเอง
คนผู้นั้นตกตะลึงก่อน จากนั้นถึงเข้าใจขึ้นมา
เขาไม่กล่าวสิ่งใดอีก ลุกขึ้นโค้งตัวพลางพยักหน้า ก่อนกลับขึ้นไปบนชั้นสอง
ละครสลับฉากเล็กๆ นี้จึงนับว่าจบลง
แต่แล้วหลิวรุ่ยอิ่งกลับรู้สึกเบื่อขึ้นมาอีก
สุรานี้เย็นทีเดียว
ดูทีว่าเหลาสุรานี้จะต้องมีห้องเก็บสุรา
ไม่เช่นนั้นสุราคงไม่เย็นเพียงนี้
แต่เกาลัดคั่วน้ำตาลกลับร้อน
เวลานี้ยังคงมีไอร้อนพวยพุ่งออกมา
หลิวรุ่ยอิ่งกินไปดื่มไปอยู่เช่นนี้ เหมือนน้ำแข็งและไฟอยู่ในปาก
สุราเย็นร้อนแรง
เกาลัดหอมหวาน
ไม่ใช่ว่าเหมือนจิตใจของเขาพอดิบพอดีหรอกหรือ
ทุกคราวที่คิดถึงคนผู้นั้นมักปลุกความอ่อนโยนในตัวเขาขึ้นมาได้ไม่น้อย
แต่พอดึงสติกลับมา สิ่งที่กำลังจะเผชิญหน้านั้นกลับเป็นกลิ่นคาวเลือดรุนแรง
…………………
“ต้องขอเชิญท่านขึ้นข้างบนสักคราว!”
หลิวรุ่ยอิ่งเงยหน้าขึ้นมา ที่แท้เป็นคนที่เพิ่งไปเมื่อครู่กลับมาอีกครั้ง
เขาย่นคิ้ว ในใจรู้สึกรำคาญยิ่งนัก
แต่เขากลับไม่ยอมเปิดเผยฐานะของตนในเหลาสุราแห่งนี้
ด้วยความจนใจ เช่นนั้นตามเขาขึ้นชั้นบนก็ไม่เสียหาย
อย่างไรเสียหวาหนงก็ยังไม่กลับมา
พอลุกขึ้นหลิวรุ่ยอิ่งก็จัดกระเป๋าเสื้อข้างในสาบเสื้อให้เรียบร้อย
ข้างในนั้นนอกจากใส่ตำรา ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ ไว้เล่มหนึ่งแล้ว ยังมีป้ายประจำตำแหน่งนายกองของตนอยู่ด้วย
เมื่อมีของชนิดนี้อยู่ ก็เพียงพอจะพิสูจน์ฐานะของตนเองได้
“เหตุใดท่านต้องแอบอ้างว่าเป็นคนของกองสอบสวนข้า ไม่รู้หรือว่าทำเช่นนี้มีโทษถึงจำคุก”
เมื่อเดินเข้าไปภายในห้องส่วนตัวนั้น ผู้สั่งการที่เป็นหัวหน้าถามขึ้นมาก่อน
“เจ้ามองออกได้อย่างไรว่าข้าแอบอ้าง”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ตนเป็นถึงนายกอง
เดิมทีก็มีตำแหน่งสูงกว่าเขาขั้นหนึ่งอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งทูตพิเศษพายัพแห่งกรมสอบสวนก็ยังไม่ได้ถูกริบกลับไป
ฐานะของตนเทียบเท่าผู้ตรวจการกองสัคคะเนตรมาด้วยตนเอง
จึงไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจพวกเขา
“ท่านสังกัดกองใด มีตำแหน่งใด”
ผู้สั่งการกองผู้นั้นถามต่อ
“นายกองสัคคะเนตร หลิวรุ่ยอิ่ง”
ปากเปล่าไร้หลักฐาน
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยพลางล้วงเอาป้ายประจำตำแหน่งของตนโยนลงบนโต๊ะ
ลำพังแค่เห็นป้ายประจำตำแหน่ง ผู้สั่งการกองผู้นั้นก็ตกใจจนยืนขึ้นทันใด
แต่เพื่อประกันความเสี่ยง อย่างไรก็ต้องเปิดออกดูสักหน่อย
“นึกไม่ถึงว่าเป็นใต้เท้านายกองหลิว ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว!”
ผู้สั่งการกองโค้งตัวลงคำนับขอขมา
คนที่เหลือต่างทำความเคารพพร้อมกัน
“ไม่เป็นไร ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ยิ่งไปกว่านั้นความระแวดระวังของเจ้าก็สมควรแล้ว ข้าเพียงมองพวกเจ้าตอนขึ้นชั้นบนแค่สองสามหน กลับถูกพวกเจ้าสงสัยเสียแล้ว!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ข้าน้อยเองก็ทำไปเพื่อความรัดกุม จะอย่างไรกรมสอบสวนของเราก็มีศัตรูในยุทธภพไม่น้อย ระแวดระวังมากขึ้นไม่เพียงให้ตนเองปลอดภัย ยังให้พี่น้องทุกคนมีข้าวกินเพิ่มขึ้นอีกสองมื้อ ได้มีโอกาสดื่มสุราเพิ่มขึ้นอีกสองจอกขอรับ!”
คนผู้นั้นกล่าว
และยังลูบท้ายทอยอย่างขัดเขินด้วย
“เจ้านามว่าอันใด อยู่กองใด”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ข้าน้อยผู้สั่งการกองสัคคะเนตร ตงอี้ขอรับ!”
คนผู้นั้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า หันหลังเตรียมจะจากไป
กลุ่มย่อยของกรมสอบสวนกลางที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่ล้วนมีคำสั่งและภารกิจของตนเอง
ต่อให้เป็นคนภายในกันเองก็ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด
นึกไม่ถึงว่าตงอี้ผู้นี้กลับเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตรให้หลิวรุ่ยอิ่งเข้ามาร่วมวงสนทนาและดื่มสุรากัน
และยังยกที่นั่งหลักให้เขาด้วย
หลิวรุ่ยอิ่งไม่อาจบอกปัดน้ำใจไมตรีของอีกฝ่าย ได้แต่นั่งลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
ในเวลาเดียวกันก็เรียกเสี่ยวเอ้อร์มา
และอธิบายลักษณะเฉพาะของหวาหนงแก่เขา
บอกว่าหากเห็นเขาเข้ามาก็ให้ไปนั่งตรงที่เขานั่งก่อนหน้านี้
แต่พอคิดดูอีกครั้ง ก็รู้ว่าหวาหนงต้องสั่งอาหารไม่เป็นแน่
จึงบอกเสี่ยวเอ้อร์ว่าให้เลือกอาหารดีๆ ขึ้นชื่อของที่นี่สักห้าหกอย่าง แต่ต้องมีเนื้อสัตว์เป็นหลัก
หลิวรุ่ยอิ่งนั่งลง หันหลังให้หน้าต่างหันหน้าไปทางประตู
ย่อมไม่รู้เรื่องใดๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องถนนข้างหลังตน
ทว่าทั้งโต๊ะที่มีคนนั่งอยู่จนเต็ม กลับมีเพียงผู้สั่งการกองที่เรียกตนว่าตงอี้สนทนากับตนอย่างสนุกสนาน
คนที่เหลือ คล้ายว่ามีความตึงเครียดในใจยิ่งนัก
คอยส่งสายตามองไปนอกหน้าต่างตลอดเวลา
เมื่อดื่มสุราหมดไปหนึ่งขวด
จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งก็ได้ยินเสียงฆ้องดังมาจากนอกหน้าต่าง
นี่เป็นฆ้องเบิกทางของผู้คุ้มภัย
เมื่อเสียงฆ้องดัง ทุกคนก็จะอำนวยความสะดวกด้วยการหลีกทางให้
หากมีคนที่ไม่หลีกทาง คนของสำนักคุ้มภัยก็จะมองว่าเป็นคนมาปล้นของที่คุ้มกัน
และจะลงมือสังหารเขา ทางการของทุกพื้นที่ล้วนไม่อาจคาดโทษว่ามีความผิดฐานฆ่าคนตาย
เสียงฆ้องหยุดลงก็หมายความว่าผู้คุ้มภัยนี้จะหยุดพักทานอาหารหรือไม่ก็พักค้างแรม
และเสียงฆ้องก็หยุดลงตรงข้างหลังของหลิวรุ่ยอิ่งพอดี
ดูท่าแล้วก็จะเข้ามาในเหลาสุราแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
ในช่วงเวลาที่เสียงฆ้องหยุดลงนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าสีหน้าของผู้สั่งการกองที่ชื่อว่าตงอี้พลันเคร่งขรึมขึ้นมา
แต่จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
และดื่มสุรากับหลิวรุ่ยอิ่งต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งย่อมต้องหัวเราะเบิกบาน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ล้วนว่าตามพวกเขา
ที่น่าแปลกก็คือตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงฆ้องจนหลังเสียงฆ้องหยุดลง
ก็ยังคงยกจอกสุราขึ้นมา ปากก็ยังคงสนทนาต่ออย่างครึกครื้น
แต่กลับไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องของกรมสอบสวนเลยสักคำ
หลิวรุ่ยอิ่งอาศัยจังหวะชนจอก เอียงหัวออกไปมองข้างนอกหนหนึ่ง
และพบว่าผู้ที่คุ้มกันนี้กลับไม่ใช่สำนักคุ้มภัยทั่วไป
แต่เป็นทหารองครักษ์ของซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋อง
ทั้งหมดเป็นหีบขนาดใหญ่สิบแปดหีบ
ทุกหีบยังปิดผนึกไว้ด้วยแถบกระดาษไขว้เป็นรูปกากบาท
ไม่รู้ว่าเป็นของสำคัญใด
มิน่าเล่าพวกเขาถึงมาพักค้างแรมในเหลาสุราที่ดีที่สุดในเมือง
สำนักคุ้มภัยทั่วไปจะไม่ฟุ่มเฟือยเพียงนี้
และในเวลานี้เอง ผู้สั่งการกองพลั้งไปชนตะเกียบตก
ทว่าที่ชนตกไปนั้นกลับเป็นตะเกียบของหลิวรุ่ยอิ่ง
………………………………………