ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 271 หยุดพักใหญ่น้อย-4
บทที่ 271 หยุดพักใหญ่น้อย-4
ศพของหัวหน้าโจรล้มลงแทบเท้าเขา
เมื่อเห็นภาพนี้คนที่เหลือก็พากันตัวสั่นงันงก
กระทั่งลืมวิ่งหนี
เพราะเมื่อคนเราตกอยู่ในภาวะตื่นตกใจ ภายในหัวสมองจะว่างเปล่า
หวาหนงเก็บกระบี่กลับไป
แล้วเริ่มขนก้อนหินเหล่านั้นออกด้วยมือ
หลังจากเขาขยับก้อนหินออกไปสามก้อน ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองคนที่เหลือ
“ช่วยหน่อยได้หรือไม่”
หวาหนงกล่าวอย่างสุภาพ
เมื่อคนที่หัวสมองว่างเปล่าได้ยินคำสั่งใดก็จะลงมือทำโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
จึงพากันทยอยก้าวมาข้างหน้า ช่วยหวาหนงย้ายก้อนหินและท่อนซุงเหล่านั้นออกไป
หลิวรุ่ยอิ่งดูถึงตรงนี้ก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
จากนั้นก็มุดกลับเข้าไปในตัวรถ
เมื่อสิ่งกีดขวางบนถนนถูกย้ายออกไปจนหมดแล้ว คนเหล่านั้นก็ยังคงมองเหม่อไปยังหวาหนง
หวาหนงไม่เข้าใจความหมายของพวกเขา เตรียมจะหันหลังเดินกลับไปยังรถม้า
ทันใดนั้นเขาก็คิดขึ้นมาได้ คนเหล่านี้ยังบอกให้เขาเอาเงินมาให้ได้ แล้วเหตุใดตนจึงไม่ให้พวกเขาให้เงินตนเองบ้าง
“เอาเงินทองของพวกเจ้าทิ้งไว้ที่นี่ให้หมด”
หวาหนงกล่าว
เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินก็เริ่มค้นทั่วตัวอย่างรวดเร็ว กระทั่งมีคนไปพลิกศพหัวหน้าใหญ่ที่ตายไปแล้วอีกด้วย
“เงินเหล่านี้เท่ากับเงินยี่สิบตำลึงหรือไม่”
หวาหนงไม่ได้มองทองคำเส้นนั้น
แต่กะน้ำหนักเศษก้อนเงินเล็กๆ ในมือพลางถาม
ทุกคนหันมองหน้ากัน แต่กลับไม่มีสักคนกล้าตอบ
หวาหนงจนปัญญานัก จึงทำได้เพียงกลับไปบนรถม้า
“เงินเหล่านี้พอคืนให้ท่านหรือไม่”
หวาหนงกล่าวขณะเอาเศษก้อนเงินและเม็ดทองคำมอบให้หลิวรุ่ยอิ่งไปทั้งหมด
“ก้อนเงินแตกเหล่านี้ก็ประมาณยี่สิบตำลึงแล้ว ส่วนทองคำเม็ดพ่วงนี้ เกรงว่าจะมีราคาสองร้อยตำลึงเลยทีเดียว!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หวาหนงพยักหน้าด้วยความดีใจ
เมื่อม้าเฒ่าเห็นว่าทางข้างหน้าไม่มีสิ่งกีดขวางทางแล้วจึงเริ่มก้าวเท้าอีกครั้ง เดินไปข้างหน้าไม่ช้าไม่เร็ว
โจรทั้งกลุ่มขยับออกไปข้างทาง มองรถม้าแล่นผ่านไปเงียบๆ
คล้ายว่ายังตั้งสติกลับมาไม่ได้
ภายในตัวรถ หวาหนงมองเม็ดทองคำเหล่านั้นอย่างมีความสุขยิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งกลับมีท่าทีค่อนข้างเคร่งขรึม
เขาเปิดขวดสุราอีกขวด
ยื่นมือออกไปอยากชนขวดกับหวาหนง
เห็นชัดว่าเวลานี้หวาหนงอารมณ์ดียิ่งนัก เขาชนขวดสุรากับหลิวรุ่ยอิ่งจากนั้นก็ดื่มไปกว่าครึ่งขวดในคราวเดียว
“เรื่องที่เจ้าทำไปเมื่อครู่นี้ ถูกครึ่งหนึ่ง ผิดครึ่งหนึ่ง”
หลิวรุ่ยอิ่งดื่มสุราอึกหนึ่งพลางกล่าว
หวาหนงถามพลางวางเม็ดทองคำลง
“เจ้าไม่ควรให้พวกเขาทิ้งเงินทองเอาไว้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“แต่ท่านบอกให้ข้าตั้งกฎเอง ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็อยากคืนเงินท่านโดยไว”
หวาหนงกล่าว
เห็นชัดว่าเขาเริ่มเกิดความฉงนขึ้นในใจอีกแล้ว
“เจ้าสังหารหัวหน้าโจรนั้นทำถูกต้องยิ่งนัก คนประเภทนี้หากปล่อยเอาไว้ ก็ไม่รู้ว่าจะทำร้ายผู้คนในหล้าไปอีกนานเท่าใด แต่คนที่เหลือหากไม่ได้อับจนหนทางก็ต้องถูกบีบบังคับอย่างจนใจ เมื่อพวกเขาแบ่งเงินทองเหล่านี้กันแล้วเกรงว่าคงไม่กลับมาทำเรื่องพรรค์นี้อีก สังหารคนผู้หนึ่งแต่อภัยโทษคนกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่ว่าดีกว่าหรอกหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หวาหนงมองเม็ดทองคำในมือ พลันรู้สึกว่าเม็ดทองคำที่เมื่อครู่วิบวับงดงามเหนือสิ่งใดเวลานี้กลับหม่นหมอง
เขาเองก็ไม่อยากสังหารคน
แต่เพราะก่อนหน้านั้นเขามองเห็นไอสังหารในแววตาของหัวหน้าโจร
ด้วยเหตุนี้ เขาจำเป็นต้องออกกระบี่
“เช่นนั้นยังมีโอกาสชดเชยหรือไม่”
หวาหนงถาม
“ย่อมต้องมี”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ชดเชยเช่นใด”
หวาหนงกล่าว
“ข้าหิวแล้ว อยากกินข้าว อีกประเดี๋ยวข้างหน้าจะผ่านเมืองแห่งหนึ่ง ในเมืองต้องมีผู้คนที่ทุกข์ยาก เงินที่ไร้คุณธรรมเหล่านี้หากแจกจ่ายออกไป เจ้าก็จะนับว่าเป็นวีรชนของคนทุกข์ยากทีเดียว!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“แต่หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะไม่อาจคืนเงินให้ท่านได้”
หวาหนงกล่าวอย่างลังเล
“เงินของข้าไม่จำเป็นต้องรีบคืน สิ่งที่เราต้องแยกแยะให้ชัดเจนก็คือเงินทองต้องได้มาอย่างมีคุณธรรม แม้เจ้าจะไม่ใช่คนที่ไร้คุณธรรม แต่หากใช้ทรัพย์สินที่ไร้คุณธรรมเหล่านี้ แล้วเจ้าจะแตกต่างอะไรกับพวกโจรเมื่อครู่นี้เล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
หวาหนงยิ้มแฉ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าครั้งนี้เขาฟังเข้าใจแล้วจริงๆ
จากนั้นจึงเอนกายไปพิงข้างหลัง เริ่มดื่มสุราอย่างสบายใจ
ไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็หลับไปเสียแล้ว
ผ่านไปเนิ่นนาน หลิวรุ่ยอิ่งถูกเสียงเอะอะข้างนอกปลุกให้ตื่น
ที่แท้พวกเขามาถึงเมืองแห่งหนึ่งแล้ว
เพียงแต่ยามที่หลิวรุ่ยอิ่งตื่นขึ้น รถม้าได้เข้ามาในเมืองแล้ว
เขาจึงมองไม่ชัดว่าเมืองนี้มีชื่อว่าอย่างไรกันแน่
“ข้าก็หิวแล้วเช่นกัน!”
หวาหนงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งบิดขี้เกียจ ลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วยื่นศีรษะออกไปนอกตัวรถ
“เลือกเหลาสุราสักแห่ง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
แต่ความจริงแล้วเขากลับอยากกินเกาลัดคั่วน้ำตาล
เพราะเกาลัดคั่วน้ำตาลมักทำให้เขาคิดถึงคนผู้หนึ่ง
หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือคนข้างกายผู้ที่กินเกาลัดคั่วน้ำตาล
“แต่ข้ากลับไม่เห็นมีผู้คนที่ทุกข์ยาก”
หวาหนงกล่าว
“เรื่องนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ได้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาให้ม้าเฒ่าหยุดเดิน
เพราะเขาเห็นเหลาสุราแห่งหนึ่งแล้ว
“ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ ให้เวลาเจ้าหนึ่งชั่วยาม เจ้าออกไปเดินหาเองให้ทั่วเมือง และแจกจ่ายเม็ดทองคำพวงนี้ออกไปเสีย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หวาหนงพยักหน้ารับ แล้วเดินลงจากรถ
เสี่ยวเอ้อร์ของเหลาสุราเห็นว่ามีรถม้าคันหนึ่งอยู่ตรงหน้าประตูร้านจึงเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มในทันใด
แต่พอเห็นตัวรถที่แสนเรียบง่ายและใช้ม้าเฒ่าลาก กลับหุบรอยยิ้มบนใบหน้ากลับไปหลายส่วน
“นายท่านมาพักทานอาหารหรือค้างแรมขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์ร้องถามอยู่ข้างรถม้า
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ตอบ
เขามองภาพรวมของเหลาสุราแห่งนี้
ลำพังแค่เรื่องการตกแต่งร้านอย่างเดียว น่าจะนับได้ว่าเป็นเหลาสุราอันดับต้นๆ ของเมืองนี้
คิดว่าพ่อครัวก็คงไม่เลวด้วยเช่นกัน
ในเมื่อจะกิน เช่นนั้นก็ต้องกินให้ดีๆ สักมื้อ
“พักทานอาหาร!”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดจบก็กระโดลงจากรถม้า
“เอาหญ้าที่ดีที่สุดให้ม้าของข้ากิน!”
หลิวรุ่ยอิ่งหันไปบอกพลางโยนก้อนเงินแตกให้เสี่ยวเอ้อร์ก้อนหนึ่ง
“ขอรับ! นายท่านโปรดวางใจขอรับ!”
เสี่ยวเอ้อร์เห็นก้อนเงิน ก็รีบใส่ไว้ในช่องแขนเสื้อ
ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็เบิกบานขึ้นมาก
“ไม่ทราบว่านายท่านจะรับอาหารใดบ้างขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์ทำตามคำขอของหลิวรุ่ยอิ่ง หาที่นั่งที่สงบให้เขาจากนั้นก็เอ่ยถาม
“ร้านเจ้ามีเกาลัดคั่วน้ำตาลหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เอ่อ…ในเหลาสุราไม่มีขอรับ ทว่าในเมืองมีอยู่ร้านหนึ่ง หากท่านอยากกิน ข้าก็ไปซื้อให้ท่านได้ขอรับ!”
เสี่ยวเอ้อร์กล่าวอย่างกระตือรือร้น
“เอาสุราชั้นดีมาสองกาก่อน จากนั้นช่วยไปซื้อเกาลัดคั่วน้ำตาลให้ข้าห่อหนึ่ง ยิ่งหวานเท่าใดยิ่งดี!”
หลิวรุ่ยอิ่งให้ก้อนเงินทั้งก้อนไปอีกหนึ่งก้อน
เสี่ยวเอ้อร์จึงวิ่งออกไปอย่างหน้าชื่นตาบาน
กระทั่งไม่ได้แจ้งเถ้าแก่ก่อนสักคำ
ที่นั่งของหลิวรุ่ยอิ่งอยู่ติดหน้าต่าง
เขาชอบที่นั่งที่อยู่ติดหน้าต่าง
เพราะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ข้างนอก
เมืองแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองจี๋อิงมากนัก
เรียกว่าเทียบได้กับถนนที่คึกคักที่สุดในหอทรงปัญญาทีเดียว
จากคำสนทนาของผู้คนสองข้างทาง หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าเมืองนี้อยู่ในเขตของซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋อง
จากนั้นก็เห็นคนที่คุ้นเคยบนถนน
เพียงแต่สิ่งที่เขาคุ้นเคยไม่ใช่คนเหล่านั้น แต่เป็นเสื้อผ้าบนตัวพวกเขา
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะเบาๆ อดรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองไม่ได้
กรมสอบสวนกลางออกสอบสวนทั่วหล้าจึงอยู่ทุกหนแห่งโดยแท้
สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือ คนกลุ่มนี้กลับเดินเข้ามาในเหลาสุราแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
เห็นชัดว่าเถ้าแก่รู้จักคุ้นเคยกับพวกเขา
พอเห็นว่าคนจากกรมสอบสวนเข้าประตูมาก็ออกไปต้อนรับที่หน้าประตูด้วยตนเอง จากนั้นก็พาขึ้นไปห้องส่วนตัวบนชั้นสอง
………………………………………