ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 265 จากไปพร้อมรอยยิ้ม-7
บทที่ 265 จากไปพร้อมรอยยิ้ม-7
“สหายทั้งสอง รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงเผากระจกทองแดงด้านนี้บนเตาไฟอยู่ตลอด”
ในที่สุดหลางอ๋องหมิงเย่าก็พับตำรา
ยกจอกสุราขึ้นพลางชี้เตาไฟและกระจกทองแดงแล้วกล่าว
“ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ!”
ทั้งสองคนกล่าว
“ลองคิดดู!”
หลางอ๋องหมิงเย่าเคี้ยวเนื้อในปากและเอ่ยสามคำอย่างคลุมเครือ
อั๋งหรานและอั๋งสยงเริ่มจ้องมองกระจกทองแดงและครุ่นคิดอย่างหนัก
แต่เขาทั้งสองก็ไร้ความคิดใดจริงๆ
ทว่าในเมื่อหลางอ๋องออกคำสั่งให้พวกเขา ‘ลองคิดดู’
แม้สมองจะโล่งก็ต้องแสร้งทำท่าทางเช่นนี้
“เมื่อใดที่ดินแดนทุ่งหญ้าแปรเปลี่ยนจนทหารหมาป่าวิ่งทะยานเจ็ดเดือนก็ไปไม่ถึงชายแดนเสียทีคงจะดีไม่น้อย…”
หลางอ๋องหมิงเย่ายกจอกสุราและกินเนื้อไปพลาง
ทันใดนั้นก็หลับตาและพึมพำทอดถอนอารมณ์
“ท่านหลางอ๋อง! ออกจะง่ายดาย ขอเพียงท่านออกคำสั่ง ข้าจะใช้ทหารฝ่ายซ้ายทั้งหมดยึดครองอาณาจักรติ้งซีอ๋องในคราวเดียว! เพื่อขยายดินแดนทุ่งหญ้าของเรา!”
อั๋งหรานลุกขึ้นยืนและกล่าวอย่างกระตือรือร้น
ครั้นได้ยินว่าจะเกิดสงคราม เลือดร้อนของเขาพุ่งพล่านโดยไม่รู้ตัว
แม้แต่จุดไท่หยางตรงขมับยังเต้นตุบๆ
หลางอ๋องหมิงเย่าลืมตาและมองเขานิ่งๆ
อั๋งหรานกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า
เขาได้ยินแม้กระทั่งเสียงตนเองกลืนน้ำลาย
“ข้าเพียงอ่าน ‘เติร์ก’ แล้วทอดถอนใจเล็กน้อยเท่านั้น…ตำนานก็คือตำนานอยู่วันยังค่ำ! แม้จะตีอาณาจักรติ้งซีอ๋องพ่าย ก็ไม่พอให้ทหารหมาป่าวิ่งทะยานอยู่เจ็ดเดือนก็ไม่ถึงชายแดนได้อยู่ดี”
หลางอ๋องหมิงเย่าเอ่ยเบาๆ
“เช่นนั้นก็ตีทั้งอาณาจักรห้าอ๋องไปเลย! จากชายฝั่งทะเลบูรพาจนถึงทางตะวันตกทุ่งหญ้าของเรา! ไม่ว่าทหารหมาป่าต้องทะยานไปนานเพียงใด แต่ใต้หล้านี้ก็กว้างใหญ่มากแล้ว!”
อั๋งสยงกล่าว
“กล่าวได้ถูกต้อง! หากใต้หล้าอยู่ในกำมือข้า ย่อมไม่ต้องกังวลเรื่องทหารหมาป่าวิ่งทะยาน”
หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าว
“แต่หากให้พวกเจ้าเดินทัพจนเหนื่อยอ่อนจริงๆ พวกเจ้าจะเต็มใจหรือ”
หลางอ๋องหมิงเย่าเปลี่ยนเรื่องและกล่าวต่อ
“มีสิ่งใดให้ไม่เต็มใจเล่า”
พี่น้องทั้งสองถามอย่างนึกสงสัย
หลางอ๋องหมิงเย่ายิ้มขัน
“ก่อนหน้านี้ถามพวกเจ้าว่ากระโจมหลวงข้าเป็นเช่นไร พวกเจ้าล้วนบอกว่าดี แต่ไหนเลยจะเทียบได้กับตำหนักในหน่วยของพวกเจ้าเล่า กระโจมหลวงของข้าสามารถนำไปพร้อมกับการยกทัพปราบปรามได้ แต่ตำหนักของพวกเจ้าเกรงว่าจะย้ายไปด้วยไม่ได้กระมัง!”
หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าวจบ
ทั้งสองคนกลับก้มหน้าด้วยความละอายใจ
ทั้งยังวางจอกสุราในมือ
ความสงบสุขในช่วงหลายปีมานี้ ทำให้พวกเขากลายเป็นคนหยิ่งผยองไปนานแล้ว
จึงสร้างตำหนักหลังใหญ่ให้ตน
ผนังในตำหนักตกแต่งด้วยไข่มุกจากทะเลใต้และอัญมณีจากอาณาจักรเจิ้นเป่ย
แม้แต่บนอิฐปูพื้นทุกชิ้นยังต้องฝังด้วยอัญมณีโมรา
ส่วนเขี้ยวราชสีห์ ขนของพยัคฆ์ ก็ยังมีอีกนับไม่ถ้วน
อาศัยในตำหนักหรูหราโอ่อ่าเช่นนี้มานาน
จะเต็มใจจากไปได้อย่างไร
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงต้องทนลำบากจากการเดินทัพใหญ่ทางไกล
จงรู้ไว้ว่าหลางอ๋องหมิงเย่าไม่เคยสร้างตำหนักให้ตนเองด้วยซ้ำ
แม้ว่าเหล่าอดีตหลางอ๋องจะมีตำหนักของตน
แต่หลังจากหลางอ๋องหมิงเย่าขึ้นครองราชย์กลับรื้อพวกมันทิ้งทั้งหมด
ราษฎรสร้าง สร้างเพื่อราษฎร
หลังรื้อถอนตำหนักแล้ว เขาจึงนำสมบัติจำนวนนับไม่ถ้วนมาแลกกับทหาร ม้า เงิน และเสบียง แจกจ่ายให้กับหน่วยต่างๆ
เขาพักอาศัยอยู่ในกระโจมหลวงแห่งนี้มาโดยตลอด
ชาวทุ่งหญ้าก็ควรมีลักษณะเช่นชาวทุ่งหญ้า
จะลืมตนไม่ได้!
หากแม้แต่กระโจมยังอาศัยอยู่ไม่ได้
เช่นนั้นเกรงว่าทุ่งหญ้าคงอยู่ไม่ไกลจากการล่มสลายแล้ว
“บรรพบุรุษเรามีคำกล่าวสืบทอดปากต่อปากว่าไม่เพียงระลึกถึงการมีสุขมีภัยเจ็ดสิบเจ็ดปีในอดีตให้ขึ้นใจ แต่ยังต้องมองทะลุการมีสุขมีภัยเจ็ดสิบเจ็ดปีในภายภาคหน้าด้วย พวกเจ้าคิดว่าอีกเจ็ดสิบเจ็ดปีให้หลัง ตำหนักนี้จะกลายเป็นเช่นไร”
หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าวถาม
เห็นได้ชัดว่าอั๋งหรานและอั๋งสยงพูดไม่ออกหลังจากถูกถาม
คิดว่าตอนที่สร้างตำหนักของอดีตหลางอ๋องเหล่านั้นขึ้น ก็คงไม่มีทางรู้ว่าจะถูกรื้อถอนในยุคสมัยของหลางอ๋องหมิงเย่า
มองทะลุการมีสุขมีภัยเจ็ดสิบเจ็ดปีในภายภาคหน้า ช่างยากเหลือเกินจริงๆ…
แม้แต่สุดยอดนักพรตอินหยางเช่นเซียวจิ่นข่านก็เกรงว่าจะอนุมานให้แม่นยำได้ยากเช่นกัน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนมุทะลุโง่เขลาในทุ่งหญ้าเหล่านั้น
“แต่นี่จะตำหนิพวกเจ้าก็ไม่ได้ วีรีบุรุษเติร์กในตำนานทุ่งหญ้าของเราก็มีตำหนักโอ่อ่างดงามด้วยไม่ใช่หรือ ว่ากันว่าอยู่ต่ำกว่าท้องนภาเพียงสามนิ้วมือเท่านั้น
หลางอ๋องหมิงเย่าชี้ตำราในมือของตนแล้วพูด
ในยามนี้อั๋งหรานและอั๋งสยงนับว่ารู้ถึงจุดประสงค์ที่หลางอ๋องหมิงเย่าเรียกเขาทั้งสองมาที่นี่แล้ว
“ท่านหลางอ๋อง เราละอายใจยิ่งนัก! ครั้นกลับไปจะรื้อถอนตำหนักทิ้งเสียและอาศัยในกระโจมค่ายเช่นท่าน ส่วนความเสียหายของตำหนักเหล่านั้น พวกเราจะรับผิดชอบทั้งหมดเอง ไม่ให้เกี่ยวพันไปถึงชนเผ่าแม้แต่น้อยเด็ดขาด”
อั๋งสยงลุกขึ้นกล่าว
อั๋งหรานก็ลุกขึ้นและพยักหน้าเห็นด้วยอยู่ข้างๆ
“ไม่จำเป็น…สร้างเสร็จแล้วรื้อถอนจะน่าเสียดายเพียงใด ยิ่งกว่านั้นข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนี้”
หลางอ๋องหมิงเย่าโบกมือและกล่าว
จากนั้นเขาเดินลงจากบัลลังก์ไปยืนอยู่ด้านหน้ากระจกทองแดง
“พวกเจ้าดูกระจกนี้สิ บางทีอาจจะส่องเห็นเงามนุษย์?”
หมิงเย่าหลางอ๋องกล่าวถาม
“กระจกทองแดงนี้ถูกเผาจนแดงก่ำ ทว่ากลับส่องไม่เห็น…”
อั๋งหรานกล่าว
“ไม่ผิด กระจกทองแดงเผาไหม้ เช่นเดียวกับใจที่หยิ่งผยองไม่ใช่หรือ ทันทีที่ใจเย่อหยิ่งขึ้นมาก็จะอวดดี มองไม่เห็นสิ่งใดอีกต่อไป”
หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าว
อั๋งหรานและอั๋งสยงไม่ตอบรับคำ
เพราะหลางอ๋องหมิงเย่ายังชี้แนะไม่จบ
ทว่า ‘ใจหยิ่งผยอง’ นี้หมายถึงพวกเขาสองคนไม่ใช่หรือ
ที่แท้แล้วนี่เป็นที่มาของความกระสับกระส่ายก่อนหน้านี้นี่เอง
หลางอ๋องหมิงเย่าเขี่ยถ่านไฟ
การเขี่ยเล่นนี้ เปลวไฟพลันพุ่งขึ้นสูงยิ่งนัก
ปกคลุมกระจกทองแดงจนมิด
“ใจหยิ่งผยองจะถูกไฟแห่งความปรารถนาทำลาย แต่จนท้ายที่สุดหัวใจก็จะถูกกลืนกินไปจนสิ้น ไม่ต้องเอ่ยถึงส่องเห็นเงามนุษย์แล้ว เกรงว่าในเปลวไฟนี้แม้แต่กระจกทองแดงเองก็มองเห็นได้ยากด้วยซ้ำกระมัง! พวกเจ้าว่าถูกต้องหรือไม่”
หมิงเย่าหลางอ๋องกล่าวถาม
“ท่านหลางอ๋องพูดถูกต้องอย่างยิ่ง! ข้าจะยับยั้งความปรารถนาไม่ให้มันกลืนกินจิตวิญญาณอย่างแน่นอน!”
อั๋งสยงกล่าวอย่างนอบน้อม
หลางอ๋องหมิงเย่าไม่เอ่ยวาจา
ทว่าสั่งให้องครักษ์นำเตาไฟออกไป
แม้กระจกทองแดงจะแดงก่ำ แต่มันก็ค่อยๆ เย็นลงทีละน้อย
หลางอ๋องหมิงเย่าหยิบจอกสุราขึ้นมาและสาดใส่กระจกทองแดง
‘ซ่า!’
น้ำสุราระเหยเป็นไอทันทีที่กระทบกระจกทองแดง
จากนั้นทั่วทั้งกระโจมหลวงคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราเข้มข้น
แต่ในทางกลับกันกระจกทองแดงเย็นลงแล้ว
“ช่วงหลายปีมานี้ข้าชราลงไปมากทีเดียวจริงๆ…”
หลางอ๋องหมิงเย่ามองตนเองในกระจกทองแดงแล้วกล่าว
กระจกทองแดงในยามนี้สามารถส่องเห็นเงามนุษย์แล้ว
“ท่านหลางอ๋องย่อมดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ เสมือนดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยตกบนทุ่งหญ้า!”
อั๋งหรานและอั๋งสยงคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วกล่าว
“ฮ่าๆ! ดวงอาทิตย์ล้วนแต่ขึ้นและตกทุกวัน! ที่ไม่ตกก็มีเพียงกองไฟของทุ่งหญ้าข้าเท่านั้น!”
หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าว
จากนั้นพยุงทั้งสองให้ลุกขึ้น
“มา จัดสุรา! วันนี้พวกเราสหายทั้งสามจะสนทนากัน ไม่เมาไม่กลับ!”
หลางอ๋องหมิงเย่าสั่งกำชับ!
เขาหมุนกายกลับไปนั่งบนบัลลังก์อีกครั้ง
เหล่าองครักษ์นำกระจกทองแดงออกไป
หามไหสุราสามใบใหญ่เข้ามา
ในไหสุรามีกระบวยไม้วางอยู่และยามนี้ลอยอยู่บนน้ำสุรา
มันเคลื่อนที่เล็กน้อยตามการกระเพื่อมของน้ำสุรา
ทั้งสามคนคอแข็งดื่มเก่ง
ในเมื่อกล่าวว่าไม่เมาไม่กลับ จอกสุรากาสุราธรรมดานั้นย่อมไม่เพียงพอ
เหล่าองครักษ์นำชามใหญ่สามใบมอบให้แต่ละคน
นี่เป็นภาชนะตวงสุราที่ชาวทุ่งหญ้าใช้ดื่มสุรา
หลางอ๋องหมิงเย่าตักสุราก่อน
ใช้กระบวยไม้ตักสุราในไหใส่ชามใหญ่
หนึ่งกระบวยเต็มหนึ่งชามใหญ่พอดี
พอสามกระบวย ก็เต็มล้นสามชามใหญ่
“ชน!”
หลางอ๋องหมิงเย่ายกชามขึ้นพลางกล่าว
ชนชามสามหน
ทว่าจำต้องดื่มสามชามให้หมดเกลี้ยงในคราวเดียว
ทั้งยังต้องแข่งกันว่าผู้ใดเร็วหรือช้ากว่ากัน
ผู้ที่ดื่มเกลี้ยงช้าที่สุดจะต้องตักสุราให้ผู้ที่ดื่มเกลี้ยงไวที่สุด
อั๋งหรานและอั๋งสยงต่างมีแผนการในใจ
ยามที่ดื่มชามที่สองล้วนจงใจชะลอความเร็วลง
เพราะพวกเขาจะต้องให้หลางอ๋องหมิงเย่าเป็นผู้ที่ดื่มไวที่สุด
ทว่าทั้งสองต้องแข่งกันว่าผู้ใดจะช้าที่สุด
ถึงอย่างไรโอกาสที่จะตักสุราให้หลางอ๋องหมิงเย่าหาได้ยากยิ่งนัก
ในที่สุดอั๋งหรานและอั๋งสยงก็ยกชามที่สามขึ้นมา
แต่พวกเขาเห็นหลางอ๋องหมิงเย่าดื่มชามที่สามจนเกลี้ยงแล้ว
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องระมัดระวังชามที่สามนี้
ไม่อาจช้าจนเกินไปจนทำให้หลางอ๋องหมิงเย่าสังเกตเห็นว่าจงใจ
และไม่อาจเร็วเกินไปจนเป็นอันดับสองโดยไม่ได้สิ่งใดเลย
ยามที่อั๋งสยงคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้
ทันใดนั้นอั๋งหรานแหงนหน้าขึ้น
ดื่มสุราที่เหลืออีกครึ่งชามในอึกเดียว
ชามที่สองดื่มจนเกลี้ยง
อั๋งสยงไม่รู้ว่าอั๋งหรานมีเจตนาใด
แต่ในเมื่อตนเองดื่มช้าที่สุดก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องชักช้าอืดอาด
ทำได้เพียงรีบดื่มมันเร็วๆ แล้ววางชามลง
“ดูท่าแล้วต้องให้สหายอั๋งสยงตักสุราให้ข้าแล้ว!”
หลางอ๋องหมิงเย่าหัวเราะพลางกล่าว
มีหรือที่เขาจะไม่รู้กลอุบายที่สองพี่น้องทำเมื่อครู่นี้
เพียงแต่รู้แก่ใจทว่าไม่ควรพูดก็เท่านั้น
“เป็นเกียรติของข้าอย่างยิ่งที่ได้ตักสุราให้ท่านหลางอ๋อง!”
อั๋งสยงกล่าว
จากนั้นเดินไปข้างหน้าแล้วตักสุราในไหทีละกระบวยให้หลางอ๋องหมิงเย่า
“เฮ้อ…ข้าไม่ได้ดื่มสุราดีๆ มานานแล้วจริงๆ! ช่วงเวลาสำราญในวัยเยาว์มันสั้นเกินไปจริงๆ”
ขณะที่อั๋งสยงตักสุราให้หลางอ๋องหมิงเย่า จู่ๆ เขาก็ทอดถอนอารมณ์เอ่ยเช่นนี้
“ไฉนท่านหลางอ๋องจึงกล่าวเช่นนี้ หากท่านยินดี เราสองพี่น้องล้วนสามารถเมามายไปกับท่านได้ทุกวัน!”
อั๋งหรานกล่าว
เขาละทิ้งโอกาสที่จะตักสุราให้หลางอ๋องหมิงเย่า
ฉะนั้นจึงต้องช่วงชิงคำพูดประเด็นนี้ก่อน
“พญาอินทรีในตอนยังเล็กก็ส่งเสียงร้องไม่หยุดหย่อนเช่นกัน นั่นเป็นเพราะมันไม่มีขนและยังบินไม่ได้ เมื่อใดที่ปีกของมันเต็มตัวและสามารถบินโฉบบนท้องฟ้าได้ มันก็จะส่งเสียงร้องน้อยครั้ง”
หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าว
…………………………………………………………………..