ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 244 ไหนเลยจะเคยได้รับความสุขบริสุทธิ์
บทที่ 244 ไหนเลยจะเคยได้รับความสุขบริสุทธิ์
ภายในหอทรงปัญญา
ยามนี้เป็นยามราตรีเช่นกัน
แต่สิ่งที่ต่างจากเมืองติ้งซีอ๋องคือ
วันนี้ไม่มีพระจันทร์
ไม่เพียงไร้จันทร์
กระทั่งดวงดาวก็เกรงว่าจะมองไม่เห็นสักดวง
ถนนสายยาวในหอทรงปัญญามีทั้งครึกครื้น มีทั้งทรุดโทรม
ถนนสายยาวครึกครื้น แม้แต่ตอนนี้ก็ยังนับว่าได้รับความนิยมจากคนหมู่มาก
ทว่าที่ทรุดโทรมกลับมีผู้คนบางตา
ตี๋เหว่ยไท่สวมใส่อาภรณ์สีขาวยาว
ในมือถือพู่กันใหม่เอี่ยมด้ามหนึ่ง
ก้มศีรษะ
ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
จุดสิ้นสุดของถนนสายยาวทรุดโทรมนี้เป็นทางตัน
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเหตุใดเขาจึงเดินตรงต่อไปเรื่อยๆ จนสุดทาง
แต่นั่นคือทิศทางที่เขามุ่งหน้าไป
แม้ว่าก้าวเดินจะเชื่องช้าก็ตาม
ทว่ามั่นคงและเด็ดขาด
ภายใต้อาภรณ์สีขาวนี้
ท้องนภาไร้ดวงดารา
แต่ความสุกสกาวในดวงตาเขากลับเจิดจ้ายิ่งกว่าดาวฤกษ์ดวงใหญ่ที่สุดในท้องนภาเสียอีก
ท้องนภาไร้พระจันทร์เช่นกัน
แต่อาภรณ์ทั้งร่างของเขาขาวยิ่งกว่าหิมะ นี่เป็นแสงจันทร์เดินได้ไม่ใช่หรือ
แผ่นหลังของเขาตรงสง่า
ทั้งร่างดูเปี่ยมพลัง
หากผู้อื่นมองเห็นภาพด้านหลังเช่นนี้ เกรงว่าคงจะคาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้คือตี๋เหว่ยไท่ประมุขหอทรงปัญญาด้วยซ้ำ
แม้ใบหน้าจะดูเป็นตาเฒ่าคนหนึ่ง
แต่หากมีสตรีเยาว์วัยอยู่ที่นี่ ย่อมตื่นตากับความสง่าเหนือสิ่งใดนี้เป็นแน่
มือขวาของเขาจับพู่กันค้างอยู่กลางอากาศ
ราวกับจะเขียนอักษร
แต่บนนภาอันกว้างใหญ่ ไร้กระดาษและหยดหมึก
ตัวอักษรนี้จะเขียนได้ตรงที่ใด
ยิ่งกว่านั้นแม้จะทำท่าทางดังกล่าว แต่ข้อมือของเขากลับนิ่งค้างอยู่เช่นนั้น
ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ
ลมราตรีพัดชายอาภรณ์ของเขาได้ แต่ไม่อาจพัดข้อมือของเขาให้สั่นไหว
พัดกระพือเส้นผมของเขาได้ แต่ไม่อาจทำให้ดวงตาเขากะพริบได้เพียงนิด
ครั้นเดินใกล้สุดทางของถนนสายยาวนี้ ตี๋เหว่ยไท่จึงหยุดฝีเท้า
“เจ้ายังไม่จากไป”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากเงามืด
เสียงนั้นผ่อนคลายอย่างยิ่ง
และอ่อนโยนมาก
ส่งผ่านลมยามค่ำคืนอย่างเงียบๆ เข้าสองรูหูของตี๋เหว่ยไท่
ตี๋เหว่ยไท่มักจะปกป้องสองมือของเขาเป็นอย่างดี
แม้เขาจะทำเกษตรในทุ่งนาบ่อยๆ
แต่หลังจากชะล้างดินโคลนออกไป สองมือของเขาที่เผยออกมากลับขาวผ่องเนียนนุ่ม
คล้ายกับมือของสตรี
ข้อแตกต่างเพียงสิ่งเดียวคือ ข้อต่อที่จับพู่กันนูนออกมาเล็กน้อย
มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบัณฑิต
เขียนอักษรไม่น้อยมาเป็นเวลานานจึงทำให้เป็นเช่นนี้
“ฉะนั้นการจากไปของเจ้าเป็นเพียงการไปให้พ้นสายตาข้า ไม่ใช่การออกจากหอทรงปัญญา”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ข้าไม่ได้ไปให้พ้นสายตาเจ้า”
เสียงในเงามืดเริ่มเปล่งขึ้นอีกครั้ง
“แต่ข้ามองเห็นใบหน้าเจ้าไม่ชัด”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“เราสามารถสนทนาต่อหน้ากันได้ จะมองเห็นหน้าชัดหรือไม่ต่างกันอย่างไรเล่า ต่อให้มองไม่ชัด หรือว่าเจ้าจำใบหน้าของข้าไม่ได้เล่า”
เสียงในเงามืดกล่าว
ขณะเดียวกันเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น
ระยะห่างจากตี๋เหว่ยไท่เพียงสองจั้งเท่านั้น
แม้แสงยามค่ำคืนจะมืดสลัว
แต่สายตาของตี๋เหว่ยไท่ก็พอมองเห็นผู้ที่อยู่ตรงข้ามได้ชัดเจน
แต่ไฉนเขาจึงพูดเช่นนั้น
เกรงว่ามีเพียงเขาเองเท่านั้นที่รู้เหตุผล
“เจ้าไม่ควรมาหาข้าอีก”
เสิ่นชิงชิวกล่าว
สีหน้าของเขาราบเรียบ
ลำคอตั้งตรง
เอนกายไปด้านหลังเล็กน้อย
ดูเหมือนเย่อหยิ่งและดูหมิ่นทุกสิ่งที่ตนกำลังเผชิญอย่างยิ่ง
“เหตุใดข้าจึงไม่ควรมา”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม
“เพราะข้าเพียงอยากเดินบนถนนทุกสายของหอทรงปัญญาให้ทั่วอีกรอบ เพียงอีกรอบเดียว แล้วข้าก็จะจากไปจริงๆ”
เสิ่นชิงชิวกล่าว
“จำได้ว่าเมื่อนานมาแล้วข้าขอให้เจ้ามาเที่ยวเล่น แต่เจ้าปฏิเสธ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“เดิมพันเป็นเช่นไร ข้าก็เป็นเช่นนั้น ตอนนี้เดิมพันสิ้นสุดแล้ว ข้าจะกระทำสิ่งใด ข้าก็สามารถกระทำสิ่งนั้น”
เสิ่นชิงชิวกล่าว
“หรือระหว่างเราจะมีเพียงเท่านี้เล่า”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
สิ้นเสียงประโยคนี้ เขาสั่นเครือเล็กน้อย
แต่การสั่นเครือนี้กลับทำให้เสิ่นชิงชิวโน้มกายไปข้างหลังมากยิ่งขึ้น
“ลูกไม้นี้ไม่จำเป็นระหว่างเจ้ากับข้าแล้วกระมัง…”
เสิ่นชิงชิวกล่าว
เขายื่นมือซ้ายออกไปแล้วหันฝ่ามือไปข้างหน้า
ทำท่าทาง ‘หยุด’
ตี๋เหว่ยไท่มองเข้าไปในดวงตาเขา
นัยน์ตาของเสิ่นชิงชิวสดใสยิ่งกว่าตี๋เหว่ยไท่
หากนัยน์ตาของตี๋เหว่ยไท่ดั่งดาวดวงใหญ่สองดวง เช่นนั้นเสิ่นชิงชิวก็เป็นดั่งทางช้างเผือก
ดาวดวงใหญ่เป็นเพียงหนึ่งในทางช้างเผือก
ทว่าทางช้างเผือกครอบครองดาวดวงใหญ่นับไม่ถ้วน
สูงต่ำตัดสินได้ทันที
แต่ผู้ที่ครอบครองดวงดาวในตาจะต้องมั่นใจเต็มเปี่ยม
ไม่ว่าจะเป็นสองมือสองเท้าของตนหรือจะเป็นพู่กันหรือกระบี่ในมือคู่ต่อสู้
ล้วนมั่นใจเต็มเปี่ยม
แต่ระดับความมั่นใจกลับมีหลายระดับ
ทางช้างเผือกย่อมรุนแรงและทรงพลังยิ่งกว่าดาวดวงใหญ่
ตี๋เหว่ยไท่ไม่เคยยอมรับประโยคนี้
เขาเริ่มเล่นพู่กันในมือ
พู่กันด้ามนี้
เป็นพู่กันด้ามหนึ่งที่ธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาไปได้มากกว่านี้จริงๆ
ตี๋เหว่ยใช้ปลายพู่กันแข็งกระด้างทิ่มแทงฝ่ามือของตนอย่างต่อเนื่อง
ทิ่มเป็นจังหวะที่พิศวงอย่างยิ่ง
“หากเจ้าไปแล้ว เราก็จะไม่เป็นเช่นนี้อีกแล้ว”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
ประโยคนี้ไม่มีอาการสั่นเครือใดๆ
แต่กลับทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบอ้างว้างดั่งน้ำค้างแข็งทำลายทุ่งหญ้า
“หากยังไม่ลงมือละก็ ต่อให้เจ้าจะต้องการเช่นนี้ก็หาได้มีโอกาสอีกไม่”
เสิ่นชิงชิวกล่าว
ในที่สุดมือขวาที่เขาไพล่ไว้ด้านหลังก็เผยออกมา
กระบี่เล่มหนึ่งอยู่ในมือ
กระบี่ยาวสามฉื่อสามชุ่น
รูปร่างปราดเปรียวและเบาบาง
ยาวกว่ากระบี่ธรรมดาไม่น้อยทีเดียว
แม้กล่าวว่าอาวุธนี้ ยาวหนึ่งชุ่นแข็งแกร่งหนึ่งชุ่น
แต่ความแข็งแกร่งหนึ่งชุ่นก็หมายถึงความยากหนึ่งชุ่น
กระบี่ยิ่งยาว ปลายกระบี่ก็ยิ่งห่างจากข้อมือ
การควบคุมก็จะยิ่งยาก
พลังที่สูญเสียจากตัวกระบี่ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
สำหรับคนทั่วไปแล้ว กระบี่ยาวเช่นนี้ได้ไม่คุ้มเสีย
กระบี่ยาวเล่มนี้ไม่มีฝักกระบี่
เสิ่นชิงชิวเตรียมพร้อมอย่างดีสำหรับช่วงเวลานี้
ฉะนั้นกระบี่จึงออกจากฝักเรียบร้อย
เขาลูบไล้ตัวกระบี่เบาๆ
สัมผัสได้ถึงความเนียนลื่นและเย็นเฉียบในคราวเดียว
นี่เป็นประสบการณ์ที่พิลึกอย่างหนึ่ง
แต่เสิ่นชิงชิวกลับชื่นชอบสัมผัสนี้ยิ่งนัก
ทว่าเขาลูบไล้มันเพียงหนเดียว
เพราะสิ่งที่โปรดปรานต้องทำเท่าที่จำเป็น
ครั้นทำแล้ว จะเริ่มเบื่อหน่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทว่าสิ่งที่เกลียดชังกลับต้องทุ่มเทสุดกำลัง
ทำนานครั้งเข้าก็จะสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
ต่อให้เกลียดชังเพียงใด ก็ไม่มีโอกาสแล้ว
กระทั่งยังเกิดความเสียดายและทอดถอนใจด้วยซ้ำ
ถนนสายยาวที่ทรุดโทรมเงียบสงบยิ่งนัก
จะว่าไปก็แปลกพิลึก
ยามที่เสิ่นชิงชิวเผยกระบี่ของตนออกมา แม้แต่สายลมยังต้องสงบลง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายลมเกรงกลัวคมกระบี่หรือเกลียดชังท่าทีของตี๋เหว่ยไท่กันแน่
หากเกรงกลัวคมกระบี่นี้ เช่นนั้นกระบี่ของเสิ่นชิงชิวจะน่ากลัวเพียงใดเล่า
กระทั่งลมยังกังวลว่าตนจะโดนบาด จำต้องหยุดพักและเปลี่ยนเส้นทาง
ในเมื่อเสิ่นชิงชิวเผยกระบี่ออกมา เช่นนั้นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป
แสงเย็นเยียบส่องสว่างไปทั่วทั้งถนนสายยาว
เวลาเพียงครู่เดียวกลับแผ่ความอบอุ่นมาเป็นระยะๆ
อิฐบนกำแพงสุดถนนสายยาวด้านหลังเขาหลุดออกเล็กน้อย
จากนั้นพังทลายลงมาทั้งหมด
ศีรษะขนาดใหญ่กลิ้งออกจากกำแพงที่พังทลาย
กลิ้งตลบตลอดทางจนถึงเท้าของตี๋เหว่ยไท่
“ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รอดแล้ว ถูกต้องหรือไม่”
เสิ่นชิงชิวกล่าว
แม้ว่าประโยคนี้แฝงน้ำเสียงตั้งคำถาม แต่กลับใช้วิธีกล่าวเหมือนบอกเล่า
ตี๋เหว่ยไท่แย้มยิ้ม
ยืนยันได้ว่าสิ่งที่เสิ่นชิงชิวกล่าวนั้นเป็นความจริง
คนผู้นี้ไม่รอดจริงๆ
แม้ว่าเขาจะเป็นคนของหอทรงปัญญา
หรือเป็นศิษย์สายตรงของตี๋เหว่ยไท่
แต่สิ่งที่เขาทำเดิมก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมีชีวิตอยู่ได้นาน
แม้จะรอดถึงพระอาทิตย์ขึ้นในวันนี้ แต่ก็รอดไม่ถึงพระจันทร์ตกในวันพรุ่งนี้
เจ็บปวดระยะยาวไม่สู้เจ็บปวดระยะสั้น
กระบี่ของเสิ่นชิงชิวย่อมไม่ทำให้เขาเจ็บปวดอีกต่อไป
สำหรับผู้ที่ต้องตาย นี่เป็นโชคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
ตี๋เหว่ยไท่ไม่แม้แต่จะมองศีรษะคนที่เท้าด้วยซ้ำ
พลางยกเท้าขึ้นและเตะมันไปด้านข้าง
แต่คราบเลือดบนดินและกลิ่นคาวเลือดในอากาศยังคงอบอวลอยู่นาน
โดยเฉพาะยามที่สายลมสงบนิ่ง
ตี๋เหว่ยไท่ยกพู่กันขึ้นแล้ววาดไปบนพื้น
ดินโคลนที่อยู่บนพื้นตรงหน้าพลิกกลับหลายหนราวกับถูกไถกลบ
กลบคราบเลือดเหล่านั้นไว้ด้านล่าง
ด้วยวิธีเช่นนี้ กลิ่นคาวเลือดจึงลดลงไปมากโข
“สะอาดเสียบ้างถึงจะดี”
ไม่รู้ว่าตี๋เหว่ยไท่กล่าวกับเสิ่นชิงชิวหรือพึมพำกับตนเอง
“ทนมองคราบเลือดไม่ได้ก็ไม่ควรฆ่าคน ดื่มสุราไม่ได้ก็กินแตงกวาให้มากหน่อย”
เสิ่นชิงชิวกล่าว
“คนย่อมต้องฆ่า คราบเลือดของผู้อื่นย่อมดีกว่าคราบเลือดของตนเป็นไหนๆ แตงกวาย่อมต้องกิน แต่ยามดื่มสุรา ถั่วลิสงย่อมคล่องคอกว่าแตงกวามากนัก”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าที่เที่ยวอวดอ้าง ‘ความสุขบริสุทธิ์’ มาโดยตลอดจึงเห็นแก่ตัวได้มากเพียงนี้เล่า”
เสิ่นชิงชิวกล่าวถาม
“เพราะความเห็นแก่ตัวย่อมดีกว่าจิตใจสาธารณะ ความเห็นแก่ตัวนำมาซึ่งประโยชน์อันแท้จริง ข้ามองเห็น สัมผัสได้ กินได้ แต่จิตใจสาธารณะย่อมพูดยาก ผู้ที่มีใจสาธารณะที่ข้าพบเห็นล้วนชื่อเสียงฉาวโฉ่ ตายไปไร้ที่ฝังศพ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง ฉะนั้นข้าจึงไม่ตำหนิเจ้า”
เสิ่นชิงชิวครุ่นคิดอยู่นานจึงพยักหน้ากล่าว
“เจ้าควรตำหนิข้า เช่นนี้เจ้าถึงจะมีจิตใจเห็นแก่ตัวบ้าง บางทีข้าอาจมีคำพูดมากกว่านี้ หรือบางทีอาจเป็นดังเช่นแต่ก่อน”
เสิ่นชิงชิวได้ยินสิ่งนี้พลันแหงนหน้าขึ้นหัวเราะร่า
เสียงหัวเราะตรงไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า
ทำเอาแผ่นกระเบื้องของบ้านเรือนบนถนนสายยาวทรุดโทรมนี้สั่นสะเทือนจนแตกเพล้งกระจายไปทั่วพื้น
“ดูท่าทางเจ้าจะไตร่ตรองดีแล้ว”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
ในวาจาแฝงไปด้วยความอ้างว้างและไร้ทางเลือก
“เจ้าให้ข้าไตร่ตรองสิ่งใด”
เสิ่นชิงชิวกล่าวถาม
เขาหยุดหัวเราะ
“ไตร่ตรองสิ่งที่ข้าพูดไปเมื่อครู่”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
เขารู้ว่าเสิ่นชิงชิวรู้ดีแต่จงใจถาม
แต่อย่างไรก็ต้องเอ่ยไปอีกหน
เพราะโอกาสพรรค์นี้ ให้เพียงหนเดียวนับว่าไม่ยุติธรรมจริงๆ
ให้สามหนก็ดูเหมือนจะอืดอาดยืดยาดเกินไป
ทว่าสองครั้ง
พอเหมาะพอดี!
ตอนนี้เป็นครั้งที่สอง
ตี๋เหว่ยไท่กำลังรอคำตอบของเสิ่นชิงชิว
แต่เสิ่นชิงชิวกลับหรี่ตาลง
เขารู้จักตี๋เหว่ยไท่หมดไส้หมดพุง
ฉะนั้นเขาจึงรู้ว่าไม่ว่าตนจะตอบสิ่งใดไป ผลลัพธ์ในวันนี้ล้วนเหมือนเดิม
ไม่ชักกระบี่ ไม่ปลีกกายหนี
แม้ชักกระบี่ก็ไม่แน่ว่าจะถอนตัวออกไปได้
แต่ครั้นมาถึงจุดนี้แล้วก็ต้องลองดูสักหน่อย
“แม้ข้าไม่ลอง ก็ยังต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าของกรมสอบสวนกลางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
เสิ่นชิงชิวกล่าว
ตี๋เหว่ยไท่เงียบไป
สถานการณ์นี้เกิดจากฝีมือเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาไม่มีสิ่งใดต้องแก้ตัว
การเงียบหมายถึงการยอมรับ
“แต่ไม่ว่าข้าจะตายในคุกหลวงของกรมสอบสวนกลางหรือตายภายใต้พู่กันของเจ้า ข้าล้วนเลือกเอาชนะใจ”
เสิ่นชิงชิวกล่าว
“เพราะแต่เดิมข้าก็ไร้ชื่อเสียงและไร้ตัวตนจึงไม่ต้องกังวลว่าชื่อเสียงจะป่นปี้ ข้าจะเสียใจกับการตายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าภพหน้าข้าจะต้องมีสหายที่ดีและพบพี่น้องที่ดีอย่างแท้จริงเป็นแน่”
เสิ่นชิงชิวกล่าว
คราก่อนที่เขาจากไป แม้จะใช้ดรรชนีกระบี่สามพันเอาชนะตี๋เหว่ยไท่เพียงครึ่งกระบวนท่า
แต่เขารู้ว่าตี๋เหว่ยไท่จงใจ
หากไม่บาดเจ็บเพียงนิดจะสมเหตุสมผลได้อย่างไร
กลยุทธ์ทุกข์กาย กลยุทธ์หญิงงาม
จึงจะเป็นสองกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลที่สุดตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน
กลยุทธ์แรกจะได้รับความเห็นใจและความสงสารในชั่วพริบตา
จากการเผชิญหน้าศัตรูกลับกลายเป็นพวกเดียวกับศัตรู
กลยุทธ์ที่สองสามารถละทิ้งการป้องกันทั้งหมดในทันที
ถูกหนามกุหลาบทิ่มแทงจนตายในหมู่บ้านอันเงียบสงบ
“เรื่องของภพหน้า…ก็รอไว้เอ่ยภพหน้าเถิด บางทีภพหน้าไม่แน่ว่าเราอาจได้พบกันอีก”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
เขาพลันยกมือขึ้นเช่นกัน
ปลายพู่กันตรงไปยังหว่างคิ้วของเสิ่นชิงชิว
………………………………………………..