ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 235 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-10
บทที่ 235 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-10
“คนตาบอดจริงแท้ ในบ้านข้าไม่เคยจุดตะเกียง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
เขารู้ว่าเป็นเพราะจุดนี้จึงทำให้หวาหนงกล่าวหาหลิวรุ่ยอิ่งก่อนหน้านี้
“คนตาบอดทำทุกสิ่งช้ามากใช่หรือไม่”
หวาหนงเอ่ยถาม
เขาเหมือนใช้น้ำเสียงไม่ค่อยเป็น
ไม่ว่าบอกเล่า บรรยายหรือคำถาม
คำพูดที่ออกจากปากเขาล้วนเป็นทำนองเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ
“ใช่ เพราะคนตาบอดมองไม่เห็น เดินถนนทำอะไรก็จะระวังเป็นพิเศษ ภายใต้ความระวังนั้นความเร็วจึงช้าลง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“แต่ข้าเห็นท่านอาจารย์เดินถนนหรือทำอะไรไม่ช้าเลยนะขอรับ พอท่านยื่นมือก็เอื้อมถึงตำแหน่งของไหสุราได้ตลอดด้วย”
หวาหนงกล่าว
“คนตาบอดก็แบ่งระดับ ข้าเป็นคนตาบอดระดับสูงหน่อยก็เลยไม่ค่อยช้า”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“เช่นนั้นที่ท่านอาจารย์สอนข้าดื่มสุรา ที่จริงก็เพื่อทำให้ข้าช้าลงหรือ”
หวาหนงกล่าว
เซียวจิ่นข่านยิ้มเล็กน้อย
ในใจยิ่งเชื่อมั่นในความคิดก่อนหน้านี้ของตน
นั่นก็คือเขาไม่มีอะไรสอนหวาหนงได้จริงๆ
ก่อนหน้านี้คิดว่าหากเขามีความเข้าใจไม่มากพอ อาจยังต้องมีบทเรียนที่สอง บทเรียนที่สาม
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเรียนบทเดียวก็เพียงพอแล้ว
หวาหนงเห็นสีหน้าของเซียวจิ่นข่านจึงรู้ว่าตัวเองพูดถูก
เขาหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง
จากนั้นวางกระบี่ในมือไว้บนโต๊ะข้างๆ
ตอนกระบี่เขาเพิ่งวางลงโต๊ะและมือยังไม่ปล่อยกลับดี
เซียวจิ่นข่านดึงมันไปด้วยท่วงท่ารวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ
พลิกมือหนหนึ่ง
คมกระบี่ออกฝัก
ปลายกระบี่จ่อบริเวณลำคอของหวาหนง
ในปากเขามีน้ำลายที่อยากกลืนลงไปพอดี
แต่ตอนนี้เขากล้าแค่อมไว้ในปากเท่านั้น
เพราะหากกลืนลงไป
ลูกกระเดือกจะขยับ
แต่ปลายกระบี่ของเซียวจิ่นข่านกลับไม่มีช่องว่างใดให้เขาได้ขยับ
มันกดอยู่ตรงจุดที่อ่อนนุ่มที่สุดบนลำคอเขา
แต่เวลาเพียงชั่วครู่เซียวจิ่นข่านก็เก็บกระบี่
วางมันกลับไปบนโต๊ะอีกครั้ง
หวาหนงเหมือนยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ยังคงตั้งคอตรง สีหน้าตื่นตระหนก
เซียวจิ่นข่านเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้รู้สึกน่าสนใจยิ่ง
เซียวจิ่นข่านตบศีรษะเขาหนึ่งที ทำให้หวาหนงอ้าปากหอบหายใจสองสามครั้งอย่างรวดเร็ว นี่ถึงจะนับว่ากลับมาเป็นปกติ
สิ่งแรกที่หวาหนงได้สติกลับมาก็คือคว้ากระบี่ของตน
ทำกับเซียวจิ่นข่านด้วยวิธีเดียวกับที่เขาทำกับตนเมื่อสักครู่
ปลายกระบี่กดอยู่ตรงลำคอเซียวจิ่นข่าน
แต่กดลึกกว่าตอนเซียวจิ่นข่านทำกับตน
ทว่าเซียวจิ่นข่านไม่ตระหนกแม้แต่น้อย
เขารินสุราให้ตัวเองจอกหนึ่ง
กลืนลงไปผ่านคอหอยที่ถูกปลายกระบี่จ่ออยู่
ปลายกระบี่เคลื่อนไหวขึ้นลงตามลำคอ
แม้ดูแล้วใจหายใจคว่ำยิ่ง แต่สุดท้ายยังคงไม่เห็นเลือด
เซียวจิ่นข่านดื่มหมดแล้ววางจอกสุราไว้บนกระบี่ของหวาหนง
หวาหนงขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจความหมาย
หลังจากนิ่งค้างเช่นนั้นอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเขาเก็บกระบี่
เขาหยิบจอกสุราบนกระบี่มาวางไว้ตรงหน้าเซียวจิ่นข่านอีกครั้ง และยังรินสุราให้เขาเต็มจอกด้วย
“นี่เป็นครึ่งหลังของบทเรียนแรก”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หวาหนงไม่รู้ว่าควรพูดอะไร และก็ไม่เข้าใจว่าบทเรียนครึ่งแรกจบลงตอนไหน แล้วตนได้อะไรจากบทเรียนครึ่งแรก
มันผ่านไปอย่างน่าฉงนเช่นนี้
……………………….
หลิวรุ่ยอิ่งยังคงนั่งอยู่ในบ้านของตี๋เหว่ยไท่
ทั้งสองรักษาความนิ่งเงียบไว้
เพียงดื่มสุราตรงหน้าทีละจอก
ทุกครั้งที่หลิวรุ่ยอิ่งดื่มหมด ตี๋เหว่ยไท่ก็จะเป็นฝ่ายเติมให้เขาอีกเล็กน้อย
เพียงแต่สุรานี้มากขึ้นทุกครั้งที่ริน
ผ่านไปสามสี่ครั้งก็เต็มจอกชาแล้ว
ตี๋เหว่ยไท่ยังคงไม่เอ่ยคำ
หลิวรุ่ยอิ่งยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
เตรียมเอ่ยปากร่ำลา
นั่งต่อไปก็เสียเวลาเปล่า
คิดว่าคงไม่มีความหมายอะไร
“นายกองหลิว คนที่ลอบสังหารเจ้าเพื่อชิงกระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปในหัวเมืองรัฐติงเป็นคนของหอทรงปัญญาจริงๆ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวกะทันหัน
เขามองความคิดของหลิวรุ่ยอิ่งทะลุปรุโปร่ง
“ท่านประมุขหอตี๋รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
ตี๋เหว่ยไท่พยักหน้า
“ข้ารู้มาตลอด”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
ประโยคนี้ความหมายลึกล้ำยิ่ง
รู้ไม่ได้แปลว่าเขาเป็นคนทำ
บางคนรู้เรื่องมากมาย แต่ตนไม่ได้ทำเลยสักเรื่อง
หากไม่รู้เห็นเป็นพยานก็ได้ยินข่าวลือ
หลิวรุ่ยอิ่งกำลังพิเคราะห์ความหมายที่แท้จริงในคำว่า ‘รู้’ ของตี๋เหว่ยไท่
“ท่านประมุขหอตี๋ย่อมรู้อยู่แล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวเช่นนี้
เขาจงใจลากเสียงให้ยาวยิ่ง
เหมือนแสดงให้เห็นว่าตนมีแผนในใจแล้ว
ตี๋เหว่ยไท่ยกไหสุราขึ้นแกว่งเล็กน้อย
“ยังเหลือเล็กน้อย พวกเราแบ่งกันดีหรือไม่”
เขากล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ปฏิเสธ
และเขาก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ
หลิวรุ่ยอิ่งเป็นฝ่ายหยิบไหสุรา รินสุราที่เหลือลงจอกแบ่งคนละครึ่ง
“และข้ารู้ว่าเป็นใคร”
ตี๋เหว่ยไท่จิบคำหนึ่งแล้วกล่าวต่อ
“ท่านประมุขหอตี๋ยินดีบอกข้าหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เขารู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
ต่อให้ตี๋เหว่ยไท่ไม่ได้ทำเรื่องนี้
แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลให้บอกตนเหมือนกัน
แม่ไก่แก่ยังรู้จักปกป้องลูกไก่
แล้วตี๋เหว่ยไท่จะไม่ปกป้องคนในหอทรงปัญญาเขาได้อย่างไร
“ข้าก็รู้ไม่นาน แต่หลังจากไตร่ตรองแล้วยังคิดว่าบอกเจ้าดีที่สุด”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ข้าน้อยยินดีรับฟัง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“นายกองหลิวรู้หรือไม่ว่าสายบุ๋นให้ความสำคัญกับสิ่งใดที่สุด”
ตี๋เหว่ยไท่พลันเปลี่ยนหัวข้อ เริ่มพูดนอกประเด็นอีกครั้ง
“ไม่ทราบจริงๆ ขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ที่จริงในใจเขามีคำตอบหนึ่ง
นั่นก็คือวรรณศิลป์
หากสายบุ๋นไม่มีวรรณศิลป์ก็เหมือนผัดกับข้าวไม่ใส่น้ำมันและเกลือ
บทประพันธ์ประเภทนั้นอ่านแล้วรสชาติเหมือนเคี้ยวเทียน
“ความจริงใจ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินคำว่าจริงใจแล้วตระหนักได้เล็กน้อย
แต่ยังคงเลือนราง เข้าใจไม่ชัดเจนแจ่มแจ้งพอ
“คนไม่น่าเชื่อถือย่อมไม่มีที่ยืน บุ๋นไร้ความจริงใจย่อมไร้ค่า หากไม่มีความจริงใจ บทประพันธ์ที่เขียนออกมาอย่างมากก็อวดโอ้ได้รอบหนึ่งเท่านั้น ผู้คนต่างบอกว่าบัณฑิตเหลวไหล บัณฑิตจอมปลอม บัณฑิตดูดาย แต่นั่นล้วนเป็นนิสัยคนเท่านั้น บทประพันธ์คำกลอนที่อยู่ปลายพู่กันบนหน้ากระดาษมีประโยคไหนหรือส่วนไหนที่ไม่ใช่น้ำใสใจจริง ไม่ใช่ความจริงแท้บ้าง”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวอธิบาย
“เช่นนั้นท่านประมุขหอตี๋ย่อมเป็นคนที่จริงใจที่สุดในหมู่บัณฑิต”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ไม่กล้าเป็นที่สุด…แต่ก็นับว่าไม่น้อยทีเดียว”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“หากไม่มีความจริงใจ แล้วสายบุ๋นจะเป็นเช่นไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“หากไม่มีความจริงใจย่อมเกิดเรื่องอย่างที่นายกองหลิวพบเจอ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องที่ตนเจอการลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า
“ท่านประมุขหอตี๋หมายความว่าหากไม่มีความจริงใจ สิ่งที่เหลือก็มีแต่ความโหดเหี้ยม”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ก็ไม่ทั้งหมด หรือต้องบอกว่าแค่ความโหดเหี้ยมยังไม่พอ ความเหี้ยมเกิดจากที่ใดยังต้องหาที่มาของมัน”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ความเหี้ยมเกิดจากความริษยา มีเพียงผู้ลุกไหม้อยู่กลางไฟริษยาถึงจะมีความโหดเหี้ยม”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
นี่ไม่ใช่ความเข้าใจของเขาเอง
แต่เป็นหลักการที่อ่านจากตำราตั้งแต่เด็ก
ขอแค่เป็นคนรู้อักษรก็จะเข้าใจ
“คนทำเรื่องนี้ก็คือคนที่ลุกไหม้อยู่กลางไฟริษยาที่นายกองหลิวพูด ไฟริษยาเผาความจริงใจหมดสิ้น ที่เหลือก็มีแต่ความโหดเหี้ยม คนโหดเหี้ยมทำเรื่องโหดร้ายก็ไม่นับว่าแปลก”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะเยาะในใจ
แม้ตี๋เหว่ยไท่อวดอ้างศีลธรรมจรรยาอยู่กับปากว่าตนเป็นคนจริงใจ
แต่เขาไม่เชื่อว่าในใจตี๋เหว่ยไท่ไม่มีความเหี้ยมโหดใดเลย
หากไม่มีความโหดเหี้ยม แล้วเขาโค่นล้มเก้าตระกูลด้วยอะไร
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เชื่อว่าคนอ่อนแอคนหนึ่งจะมีกำลังเช่นนี้
ความโหดเหี้ยมนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน
บางคนโหดร้ายกับคนอื่น
บางคนโหดร้ายกับตัวเอง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าตอนนี้ความโหดเหี้ยมของตี๋เหว่ยไท่กำลังใช้กับใคร
แต่ตอนแรกเขาต้องโหดกับตัวเองก่อนแล้วค่อยโหดกับคนอื่นแน่นอน
หากไม่โหดกับตัวเองแล้วจะสำเร็จเป็นความอดทนและความเด็ดเดี่ยวได้อย่างไร
แม้ภายหลังเขาไม่ได้ตีเหล็กหลอมดาบอีกแล้ว แต่กลับย้ายเตาตีเหล็กในตอนนั้นเข้าไปไว้ในใจตนแทน
ทุบตีอยู่ในกายทีละค้อนไม่หยุดหย่อน
หล่อหลอมพลังกายและจิตใจของตนเหมือนเหล็กกล้าชิ้นหนึ่ง
ขณะเดียวกันก็ทำให้ใจตนเปลี่ยนแปลงทีละน้อย
“ท่านประมุขหอตี๋เคยทำเรื่องโหดเหี้ยมอะไรบ้างหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
คำถามนี้เรียกได้ว่าพุ่งตรงเข้าประเด็น
เดิมเขานึกว่าจะจี้ใจดำตี๋เหว่ยไท่ได้
นึกไม่ถึง ตี๋เหว่ยไท่กลับค่อยๆ ถอดเสื้อออก
“นี่ก็คือเรื่องโหดเหี้ยมที่ข้าเคยทำ รวมถึงผลที่เกิดจากเรื่องนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นบนแขนขวาของตี๋เหว่ยไท่มีรอยกระบี่ทางหนึ่ง
สะเก็ดเลือดปกคลุมอยู่ภายนอกปากแผล ดูความตื้นลึกไม่ออก
แต่หลิวรุ่ยอิ่งเป็นผู้ใช้กระบี่
วิเคราะห์จากความรู้สึกของเขา
รอยกระบี่ทางนี้คงไม่เบาและไม่ตื้น
“ในหอทรงปัญญามีใครทำให้ท่านประมุขหอตี๋บาดเจ็บเช่นนี้ได้?!”
หลิวรุ่ยอิ่งตกใจกล่าว
นอกจากในหอทรงปัญญา
คนที่ทำให้ตี๋เหว่ยไท่เลือดออกได้ในใต้หล้าคิดว่าคงมีแค่หยิบมือเท่านั้น
“ความโหดเหี้ยมเพียงหนึ่งเดียว เรื่องโหดร้ายเพียงครั้งเดียวที่ข้าทำก็คืออยากรั้งคนผู้หนึ่งไว้ แต่ข้าพ่ายแพ้ สุดท้ายยังคงรั้งไว้ไม่ได้ เดาว่าเป็นเพราะใจข้ายังไม่เหี้ยมพอ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“คนผู้นี้เป็นใครหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“หากรั้งไว้ได้ ทั้งหมดนี้ก็แก้ไขได้อย่างง่ายดาย”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
มือเขาวางไว้บนปากไหสุรา
หลิวรุ่ยอิ่งหายใจเข้าลึก
เขารู้คำตอบแล้ว
……………………………………..