ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 224 ความงดงามในโลกมักไร้ค่า-5
บทที่ 224 ความงดงามในโลกมักไร้ค่า-5
ท้องฟ้ามืดแล้ว
อาทิตย์ยามเย็นผ่านพ้น
แผ่นดินทั้งผืนเงียบสงบลง
รวมถึงหอทรงปัญญาด้วยเช่นกัน
แต่สถานที่ที่พวกหลิวรุ่ยอิ่งพักอยู่เงียบสงบอย่างยิ่งมาตลอด
ยามนี้แค่สูญเสียแสงบนฟ้าเท่านั้น
ไม่เห็นความแตกต่างใดเท่าไรนัก
ในบ้านเซียวจิ่วข่านไม่มีตะเกียง
สี่คนนั่งอยู่เงียบๆ เช่นนี้
ได้ยินเสียงใสกังวานที่ไหสุรากระทบกับจอกสุราเป็นครั้งคราว รวมถึงเสียงนุ่มนวลของน้ำสุราไหล
หลิวรุ่ยอิ่งนึกอะไรขึ้นได้
เขายื่นมือคลำตรงหลังเอว
หยิบกระบอกยาสูบอันหนึ่งออกมา
ที่แท้เขาหยิบกระบอกยาสูบอันนั้นมาจากชายชราเลี้ยงม้าแล้วพกติดตัวไว้ตลอด
โอวเสี่ยวเอ๋อกลับมานานแล้ว
นางยกถั่วลิสงทอดกึ่งสุกกึ่งดิบใส่พริกจำนวนมากจานหนึ่ง
แค่ได้กลิ่น หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้แล้วว่ารสชาติแย่ขนาดไหน
แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะโอวเสี่ยวเอ๋อยังคงดื้อรั้น
นางไม่ยอมรับ
น่าเสียดายไม่มีไฟตะเกียงเลยไม่เห็นสีหน้าของนาง
นี่ทำให้ทังจงซงเสียดายเล็กน้อย…
เดิมการมองคนอวดตนเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างหนึ่ง
อย่างไรโอวเสี่ยวเอ๋อก็อวดตนเพื่อให้คนอื่นเห็น
เรื่องนี้มีเพียงฝ่ายเดียวย่อมทำไม่ได้
มีคนแสดงแล้วต้องมีผู้ชมคอยเยินยอด้วย
แต่ไร้แสงไฟเช่นนี้กลับไม่มีใครเห็นสีหน้าอวดโอ้ของโอวเสี่ยวเอ๋อ
ได้ยินเพียงเสียงนางเคี้ยวถั่วลิสง
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มและลุกขึ้นเดินไปห้องครัว
จากนั้นจุดกระบอกยาสูบนี้ด้วยไฟจากถ่านใต้แท่นเตาที่เหลือน้อยนิด
เขากลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง ดูดทีละคำ
แสงไฟแจ่มชัดเป็นครั้งคราว บ้างก็นานบ้างก็สั้น
สว่างด้วยจังหวะแปลกประหลาด
สามคนที่เหลือล้วนเหม่อมอง
พวกเขานึกไม่ถึงว่าหลิวรุ่ยอิ่งสูบยาเส้นเป็นด้วย
หนำซ้ำกระบอกยาสูบเช่นนี้มีแต่คนแก่ที่จะถือไว้ในมือ
หากบัณฑิตจางทำเช่นนี้ทุกคนคงไม่แปลกใจแน่นอน
แต่ตอนนี้เห็นหลิวรุ่ยอิ่งในท่าทางนี้
พวกเขาสามคนไม่เพียงรู้สึกแปลกใจ ยังรู้สึกน่าขันมากด้วย
ทังจงซงเคยเห็นบิดาเขาสูบยาเส้น
ทังหมิงสูบยาเส้นไม่เยอะ
แต่ทุกครั้งที่เจอเรื่องยากจัดการเขามักจุดถ้วยหนึ่ง
ดูดเข้าปากไม่เว้นวาง ให้มันเผาไหม้อย่างช้าๆ มองควันนั้นลอยฟุ้ง
แต่ทังจงซงไม่เคยเห็นใครสูบแล้วแสงไฟสว่างเช่นนี้มาก่อน
สว่างจนส่องใบหน้าของทุกคนที่นั่งอยู่ได้
ด้วยแสงสว่างนี้ ทังจงซงกลับเห็นด้านหลังหลิวรุ่ยอิ่งมีเงาเพิ่มมาเงาหนึ่ง
ชัดเจนว่าไม่ใช่เงาของหลิวรุ่ยอิ่ง
เพราะคนคนหนึ่งมีได้แค่เงาเดียว
ทังจงซงไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางเทวดา
ดังนั้นต้องมีคนมาแน่นอน
ใครจะมาบ้านที่ไม่ได้จุดตะเกียงหลังนี้ในเวลาดึกดื่นเช่นนี้กัน
แน่นอนว่าเซียวจิ่วข่านมีความเป็นไปได้มากที่สุด
เดิมนี่ก็เป็นบ้านเขาอยู่แล้ว
และเขาเป็นคนตาบอด
ไม่ต้องจุดตะเกียงก็เดินได้มั่นคงยิ่ง
น่าเสียดายคนผู้นี้ไม่ใช่เซียวจิ่นข่าน
เพราะเขาคงไม่เรียกหลิวรุ่ยอิ่งว่า ‘นายกองหลิว’
“ไม่นึกว่าท่านประมุขหอจินเฉาจะหาที่นี่พบ”
หลิวรุ่ยอิ่งดูดควันคำหนึ่ง กล่าวเรียบเฉย
เขาไม่รู้ว่าจินเฉาโหย่วเยวี่ยมาที่นี่ทำไม
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีเจตนาร้าย
แต่ยังคงหยุดอยู่ห่างจากด้านหลังของหลิวรุ่ยอิ่งในระยะหนึ่งจั้ง
หากคิดลอบทำร้ายด้วยระยะห่างนี้ย่อมทำไม่ได้แน่นอน
ไกลหนึ่งจั้ง
นอกจากหอกยาวแล้วดาบกระบี่ล้วนเอื้อมไม่ถึง
แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าจินเฉาโหย่วเยวี่ยใช้ลูกคิด
และพลังบนลูกคิดรางนั้นไม่เกี่ยวกับระยะห่างโดยสิ้นเชิง
เขาทำเช่นนี้เพื่อแสดงท่าทีเท่านั้น
“ข้าน้อยเคยมาบ้านของเซียวไต้ซือหลายครั้งเหมือนกัน”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
ถือเป็นการตอบคำพูดก่อนหน้านี้ของหลิวรุ่ยอิ่ง
แต่ความจริงเขากลับหลีกเลี่ยงคำถามที่แท้จริงอย่างชาญฉลาด
เพราะการเคยมาบ้านเซียวจิ่นข่านไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่รู้ว่าตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งก็อยู่ในบ้านของเขา
เหมือนคนกินดื่มถ่ายหนักเบาทุกวัน
แต่เจ้าบอกได้ชัดเจนหรือไม่ว่าคนคนหนึ่งทำอะไรอยู่ในยามนี้
เกรงว่านอกจากสุดยอดนักพรตอินหยางอย่างเซียวจิ่นข่านคงไม่มีใครบอกได้
จินเฉาโหย่วเยวี่ยรู้ว่าสามารถพบเจอหลิวรุ่ยอิ่งได้ที่นี่ ต้องมีคนบอกเขาแน่นอน
ส่วนคนผู้นี้เป็นใคร ไม่จำเป็นต้องคิดให้มาก
เพราะปัญหานี้จะบอกว่าหนักศีรษะก็หนัก จะบอกว่าง่ายก็ง่าย
ในหอทรงปัญญามีอิทธิพลและการแข่งขันมากมาย
แต่หอทรงปัญญากลับมีคนผูกขาดอำนาจเพียงผู้เดียว
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้ม ไม่ได้เปิดโปงอุบายเล่นลิ้นในคำพูดของจินเฉาโหย่วเยวี่ย
“ท่านประมุขหอจินเฉาเชิญนั่ง!”
หลิวรุ่ยอิ่งผายมือกล่าวกับจินเฉาโหย่วเยวี่ย
ไม่มีเรื่องไม่มีทางมาหาถึงที่
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าจินเฉาโหย่วเยวี่ยต้องมีเรื่องมาขอร้องเขาเป็นแน่
แต่เขารู้วิธีเข้าสังคมของจินเฉาโหย่วเยวี่ยแล้ว
นั่นก็คือการแลกเปลี่ยน
ทุกสรรพสิ่งล้วนมีมูลค่าของมัน
การซื้อขายนี้ไม่สำเร็จเพราะเจ้าเสนอราคาไม่สูงพอเท่านั้น
ตราบใดที่ราคาสูงมากพอ ต่อให้เป็นท้องฟ้าผืนนี้ก็ซื้อได้
แม้หลิวรุ่ยอิ่งไม่เห็นด้วยกับแนวคิดและวิธีการเช่นนี้ของเขาอย่างยิ่ง
แต่ในเมื่ออยากคบค้ากับเขาก็จำเป็นต้องเดินตามทางของเขา
แม้เงินไม่อาจซื้ออาทิตย์อัสดงชั่วนิรันดร์และดวงดาวเต็มผืนฟ้ามาได้
แต่มันทำให้เจ้าไปสถานที่ที่อาทิตย์อัสดงและดวงดาวงดงามที่สุด ได้พบตำแหน่งที่ดีที่สุดเพื่อมองอาทิตย์อัสดงและดวงดาว
ความสูงต่ำของราคามักให้เงื่อนไขและโอกาสที่พลิกแพลงได้มากกว่าเดิมแก่เจ้าเสมอ
“พูดกันตามตรง ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยประสานมือกล่าว
“ท่านประมุขหอจินเฉามีเรื่องอันใด”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เขาไม่คิดว่าด้วยความสามารถของตนจะช่วยอะไรเขาได้
นอกจากเขาเห็นอิทธิพลเบื้องหลังตน
กรมสอบสวนกลาง
หัวใจเขาบีบรัด
เพราะเขารู้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่ใช่ผู้แทนการตรวจสอบตัวเล็กๆ ที่ดื่มสุราเฮฮากับตนในจุดพักม้านอกเมืองจี๋อิงวันนั้นแล้ว
ในเวลาสั้นๆ เหมือนนิสัยใจคอของคนทั้งคนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งตั้งแต่หัวจรดเท้า
ทังจงซงไม่รู้ว่านี่ดีหรือแย่
แต่เขาเชื่อในการตัดสินใจของหลิวรุ่ยอิ่ง
ในเมื่อเขาเลือกเช่นนี้ เช่นนั้นก็ต้องมีเหตุผลแน่นอน
“แค่อยากให้นายกองหลิวช่วยข้าสะสางปัญหาหนึ่ง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
เขาหยิบซองจดหมายฉบับหนึ่งออกจากในแขนเสื้อ
ซองจดหมายฉบับนี้ไม่มีผนึก
ใส่ของเอาไว้จนโป่งนูน
เหมือนจะปริออกมา
เขาวางซองจดหมายไว้บนโต๊ะและเลื่อนไปหาหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้หยิบขึ้น
เขาหันศีรษะพ่นควันสุดท้ายแล้วมองจินเฉาโหย่วเยวี่ยเรียบนิ่ง
แสงไฟสลัว
แม้เห็นหน้าตาของอีกฝ่ายไม่ชัด
แต่อย่างไรก็มีเค้าโครงโดยรวม
หากทำได้หลิวรุ่ยอิ่งอยากเห็นสีหน้าของจินเฉาโหย่วเยวี่ย
สีหน้าตอนคนคนหนึ่งไม่ระมัดระวังมักเผยความลับที่เขาไม่อาจพูดออกมาได้มากมาย
ในเมื่อเขามองไม่เห็นจินเฉาโหย่วเยวี่ย
เช่นนั้นจินเฉาโหย่วเยวี่ยก็ไม่เห็นเขาเช่นกัน
ทุกอย่างดำเนินไปท่ามกลางภาพลวงอันมืดสลัวนี้
“ในนี้เป็นตั๋วทองทั้งหมด”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยชี้ซองจดหมายพลางกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งยังคงไม่เอ่ยคำ
ไม่ทำผลงานไม่รับรางวัล
การแลกเปลี่ยนคราวก่อนสำเร็จลุล่วงแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เชื่อว่าจินเฉาโหย่วเยวี่ยจะมอบเงินให้ตนโดยไม่มีสาเหตุ
คนที่ทำเช่นนี้หากไม่บ้าก็โง่
ในใต้หล้าทุกคนจ่ายอะไรล้วนต้องได้รับสิ่งตอบแทน
พ่อค้าฉลาดหลักแหลมอย่างจินเฉาโหย่วเยวี่ยยิ่งแล้วใหญ่
“ทุกใบล้วนเป็นห้าล้านตำลึงทอง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งยังคงไม่เอ่ยคำ
แต่เขารู้ว่าเงินที่ใส่ในซองจดหมายนี้คงซื้อเมืองติ้งซีอ๋องได้ทั้งเมือง
“ข้าอยากมอบตั๋วทองเหล่านี้ให้นายกองหลิวทั้งหมด ครั้งนี้ไม่ใช่การแลกเปลี่ยน แต่เป็นการให้เปล่า”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
จิ่วซานปั้นไม่สนใจเรื่องเงินทอง
แต่ทังจงซงกับโอวเสี่ยวเอ๋อฟังจนหูผึ่งตาเบิกกว้าง
ต้องทราบว่าตระกูลโอวขายกระบี่รายได้ต่อปียังยากถึงห้าล้านตำลึงทอง
แต่ซองจดหมายใหญ่ตรงหน้ากลับถูกยัดด้วยตั๋วทองมูลค่าห้าล้านตำลึงไว้แน่นแทบจะระเบิดออกมาหมดแล้ว
ชั่วขณะหนึ่งหลิวรุ่ยอิ่งก็หวั่นไหวเล็กน้อย
เขาเคยเห็นทรัพย์สมบัติในห้องลับของจินเฉาโหย่วเยวี่ย
ดูท่าเขาคงแลกทั้งหมดนั้นเป็นตั๋วทองแล้ว
แต่ยังมีจางจื่อหานกับซุนมู่หนิงรอแบ่งเงินอยู่สองคน
ในเวลาครึ่งวันดูเหมือนเกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้นอีกไม่น้อย
“พวกเราสามคนตัดสินใจมอบเงินเหล่านี้ออกไปเพื่อให้ภายหน้าได้หลับสนิทขึ้นบ้าง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
เขาเหมือนดูออกว่าหลิวรุ่ยอิ่งระแวง
“เหตุใดพวกท่านไม่เลือกใช้ให้หมด”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ฮ่าๆ…ถ้าอยากใช้เงินข้างในนี้หมด ต่อให้ใช้เป็นสายน้ำลำคลองก็ต้องใช้เวลาเป็นสิบปี”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“เช่นนั้นก็ใช้มันไปสิบกว่าปี”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เกรงว่าใช้หมดแล้วชีวิตนี้จะหลับไม่ลงอีกเลยสักชั่วยาม”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“เหตุใดต้องมอบให้ข้า”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เพราะนายกองหลิวเป็นคนแรกที่เห็นทรัพย์สินเงินทองในห้องลับข้าแล้วไม่หวั่นไหว”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเอ่ย
“ท่านประมุขหอจินเฉากล่าวประโยคนี้ผิดแล้ว…ข้าก็เป็นคน ชอบเงินทองเหมือนกัน ตอนนั้นจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ความหวั่นไหวของนายกองหลิวคือความตะลึง ไม่ใช่ความโลภ ข้าน้อยยังเชื่อสายตาตัวเองอยู่หลายส่วน”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“แต่แลกเป็นตั๋วทองแล้วไม่น่าตกใจเท่าทรัพย์สมบัติเต็มห้องจริงๆ”
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มกล่าว
เขาหยิบถุงผ้าใบเล็กที่ห้อยอยู่บนกระบอกยาสูบลงมา
สองนิ้วยื่นเข้าไปคีบยาเส้นหยิบมือหนึ่งใส่ในกระบอกยาสูบ
สูบอย่างแรงสองสามคำให้ยาเส้นที่ใส่เข้าไปใหม่ติดไฟต่อได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสูบยาเส้นเอง
แต่ฝีมือกลับเชี่ยวชาญอย่างประหลาด
ในสายตาจินเฉาโหย่วเยวี่ยก็มองว่าหลิวรุ่ยอิ่งเหมือนคนสูบจัดที่สูบมาสิบกว่าปีแล้ว
ไหนเลยจะรู้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งเรียนรู้ตอนเห็นชายชราเลี้ยงม้าสูบยาเส้น
ไม่รู้ทำไม
ทุกครั้งที่นึกถึงชายชราเลี้ยงม้าหลิวรุ่ยอิ่งมักรู้สึกสงบเล็กน้อย
สมองก็ใคร่ครวญปัญหาที่ต้องเผชิญตรงหน้าได้อย่างสุขุมมากขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่เข้าใจ
แต่เขาคิดว่าเรียนรู้การสูบยาเส้นอย่างชายชราเลี้ยงม้าอาจช่วยได้บ้าง
เพราะหลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยเห็นชายชราเลี้ยงม้าดื่มสุรา
แต่ทุกครั้งที่เขาจะกล่าวคำบางอย่างที่ค่อนข้างลึกซึ้งเข้าใจยากหรือน้ำเสียงมีจังหวะน่าฟัง เขามักจุดยาเส้น
“น่าตกใจหรือไม่ ตอนนี้ก็มอบให้นายกองหลิวทั้งหมดแล้ว”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“ท่านประมุขหอจินเฉาออกจะเห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“หมายความว่าอย่างไร”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เพราะท่านทำเพื่อให้ตัวเองนอนหลับสนิท แต่ไม่อยากให้ข้านอนหลับสนิท”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
………………………………………..