ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 222 ความงดงามในโลกมักไร้ค่า-3
บทที่ 222 ความงดงามในโลกมักไร้ค่า-3
“นายกองหลิว หลังจากกลับไปครั้งนี้มีแผนอะไรหรือไม่”
ทังจงซงเอ่ยถาม
พวกเขาสามคนยังอยู่ในบ้านของเซียวจิ่นข่าน
แต่นอกจากจิ่วซานปั้น หลิวรุ่ยอิ่งกับทังจงซงไม่ได้ยกจอกสุรามาสักพักแล้ว
“เจ้าเรียกข้านายกองหลิวขนาดนี้แล้ว เจ้าว่าข้ามีแผนอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยพลางกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง
“ไม่รู้ ข้าเรียกเจ้าว่านายกองหลิวเพราะเจ้าเป็นนายกองหลิวอยู่แล้ว”
ทังจงซงส่ายหน้ากล่าว
สุดท้ายยกจอกสุราขึ้นมาอีกครั้ง
“เรื่องแรกเกรงว่าต้องเลิกสุรา”
หลิวรุ่ยอิ่งคลึงจอกสุราอยู่กลางฝ่ามือครู่หนึ่งพลางกล่าว
“เลิกสุราหรือ ทำไมต้องเลิกสุรา”
ทังจงซงเอ่ยถาม
“หรือในกรมสอบสวนฐานะนายกองของเจ้ายังดื่มสุราไม่ได้อีก”
ประโยคนี้ไม่ใช่การหยอกเย้า
ทังจงซงฉงนที่หลิวรุ่ยอิ่งพูดว่าจะเลิกสุราจริงๆ
“มีคนคนหนึ่งอ่านกลอนบทหนึ่งให้ข้าฟังเมื่อเช้า กลอนยาวมาก แต่ข้าจำได้แค่ประโยคสุดท้าย”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“กลอนอะไรทำให้เจ้าจำได้แม่นขนาดนี้”
หากเป็นกลอนที่ฟังครั้งเดียวแล้วทำให้เขาจำได้ มันต้องดึงความรู้สึกร่วมของเขาอย่างมากแน่นอน
“ผู้คนถามข้าว่าติดสุราหรือ แท้จริงเพียงคิดถึงสหายในจอก”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
จิ่วซานปั้นยิ้มแล้ว
เขายิ้มสุขใจยิ่ง
น้ำสุราไหลออกมาจากมุมปากก็ไม่สนใจสักนิด
เขาใช้แขนเสื้อเช็ดและรินให้ตัวเองอีกหนึ่งจอกเต็มๆ ทันที
“เจ้าไม่มีสหายในกรมสอบสวนกลางสักคนเลยหรือ”
ทังจงซงเอ่ยถาม
“เป็นสหายทั้งหมด เพียงแต่ไม่เหมาะดื่มสุราด้วยกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“เช่นนั้นก็ไม่นับเป็นสหาย”
ทังจงซงกล่าวดูแคลน
หลิวรุ่ยอิ่งก็ยิ้มเล็กน้อย
เติมให้ตัวเองจอกหนึ่ง
หันมาชนจอกกับจิ่วซานปั้นรวมถึงทังจงซง
เพราะในกรมสอบสวนล้วนเป็น ‘สหาย’ ที่ดื่มสุราด้วยกันไม่ได้ หลิวรุ่ยอิ่งถึงได้เศร้ากับการจากลาเช่นนี้
“แต่กลอนวรรคนี้เขียนได้ดีจริงๆ”
ทังจงซงกล่าว
“เหตุใดเจ้าไม่ถามว่าใครเขียน”
“ไม่จำเป็น…หากข้ารู้จัก ข้าก็จะเริ่มเปรียบเทียบบทกลอนกับตัวเอง หากข้าไม่รู้จัก ข้าก็จะไปหาวิธีทำความเข้าใจอีก ยังไม่สู้ฟังกลอนวรรคนี้อย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับใคร และไม่เกี่ยวกับเรื่องใด”
ทังจงซงกล่าว
เพียงแต่หลิวรุ่ยอิ่งในยามนี้กำลังคิดเรื่องอื่น
หรือต้องบอกว่าคนอื่น
เจ้าหมิงหมิง
เขาไม่รู้จะได้พบนางอีกเมื่อไร
เหมือนครั้งนี้ที่จู่ๆ นางปรากฏตัวในหอทรงปัญญาแล้วทำให้หลิวรุ่ยอิ่งประหลาดใจมาก
เพียงแต่บนตัวเจ้าหมิงหมิงซ่อนความลับไว้มากเกินไป
ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งไม่อาจปฏิบัติกับนางเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไปได้
สิ่งที่เขาสับสนคือต้องบอกลาเจ้าหมิงหมิงหรือไม่
คนพูดคำว่าลาก่อน
เพื่อให้มาพบกันอีก
แต่ไรมาคนที่บอกลากันก่อนจากเหล่านั้นคงมั่นใจในการพบกันครั้งหน้ามากกระมัง
ไม่อย่างนั้นจะเอ่ยสองคำที่หนักอึ้งออกมาง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร
แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้เลยว่าตัวเองจะได้พบกับเจ้าหมิงหมิงอีกเมื่อไร ถึงขั้นจะได้พบกันหรือเปล่า
ดังนั้นเขาจะไม่วาดภาพเพ้อฝันเลื่อนลอยให้ตัวเอง
ด้วยเหตุนี้หลิวรุ่ยอิ่งก็จะไม่ไปบอกลาเจ้าหมิงหมิงเช่นกัน
จากไปเหมือนตอนอยู่หัวเมืองรัฐติงก็พอ
ไปอย่างเงียบเชียบ
ไม่มีการรบกวนใด
เพียงฝังไว้ในใจไม่เอ่ยคำออกไป ความกดดันนี้คงจะลดลงไม่น้อย
คำที่เอ่ยออกมามีนัยของคำสัญญาเสมอ
หากคำสัญญานี้ไม่สำเร็จ
ไม่ว่าคนอื่นเป็นอย่างไร หลิวรุ่ยอิ่งก็จะไม่สบายใจเอามาก
เขาไม่เคยสัมผัสความอบอุ่นจากความรักมาก่อน
ก็เหมือนคนนอนตื่นสายเป็นกิจวัตรไม่เคยเห็นความงดงามของดวงอาทิตย์ยามเช้า
แต่เมื่อก่อนหลิวรุ่ยอิ่งได้เห็นดวงอาทิตย์ยามเช้าทุกวัน
เมื่อก่อนชีวิตของเขาเต็มไปด้วยกฎระเบียบ
ไม่เคยนอนดึกสักเวลาและจะไม่ตื่นก่อนเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
เขามักยืนยืดเส้นยืดสายอยู่หน้าประตูก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นเสมอ
จนออกเดินทางครั้งนี้
เขาได้เรียนรู้การดื่มสุรา
ในช่วงเวลานับจากนั้นเขาก็สูญเสียดวงอาทิตย์ยามเช้าไป
หากเป็นวันมืดครึ้มและวันฝนตก
เช่นนั้นก็ไม่มีกระทั่งดวงอาทิตย์ยามเช้าแล้ว
คนดื่มสุราไม่มีทางตื่นเช้า
เพราะสุราต้องการการนอนหลับมาเจือจาง
หากไม่ดื่มเยอะย่อมไม่ต้องนอนเยอะขนาดนั้น อาจยังได้เห็นดวงอาทิตย์ยามเช้า
เพียงแต่เทียบกับ ‘สหายในจอก’ ของเขาแล้ว ระดับการดื่มของหลิวรุ่ยอิ่งแย่เกินไปอย่างแท้จริง
และถ้าดื่มสุราได้ไม่เต็มที่ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าใจไม่น้อย
จุดนี้ต่อให้เป็นคนคออ่อนเพียงใดก็รู้สึกเช่นนี้
แต่ทุกครั้งที่ถึงช่วงเต็มที่ หลิวรุ่ยอิ่งก็เมาไปนานแล้ว
เขาต้องหลับกว่าห้าชั่วยามถึงจะมีแรงกลับมา
……………………..
“จิ่วซานปั้น ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอคำแนะนำสักหน่อย”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยปากถามกะทันหัน
“อะไรหรือ”
จิ่วซานปั้นเงยหน้ากล่าวอย่างงุนงง
เพราะน้ำเสียงและสีหน้าของหลิวรุ่ยอิ่งค่อนข้างเคร่งขรึม
เขาไม่รู้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งอยากถามอะไรเขา
“เจ้าดื่มสุราทุกวันเช่นนี้ มีวิธีแก้เมาอะไรใช่หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“มีสิ! ข้าบอกแล้วข้าเคยฝึก ‘เคล็ดหวนต้นกำเนิดกลายสุรา’!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งหมดความสนใจเล็กน้อย…
ที่จริงก่อนหน้านี้ไม่นานเขาก็เคยถามคำถามนี้กับจิ่วซานปั้น
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกับทังจงซงไม่เชื่อ
เพียงคิดว่าเขาคุยโวไปเรื่อย
หลิวรุ่ยอิ่งตั้งใจให้ผ่านไปช่วงหนึ่งแล้วค่อยถาม แค่อยากลองดูว่าครั้งนี้จิ่วซานปั้นจะพูดอย่างไรอีก
หากสองครั้งไม่เหมือนกัน เช่นนั้นก็ยืนยันได้แล้วว่าคราวก่อนจิ่วซานปั้นพูดเหลวไหลจริงๆ
หากสองครั้งเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาความจำดีเกินไป ก็เป็นเพราะเขาพูดความจริงอยู่แล้ว
“เจ้าไปเมื่อไร จะกลับเมืองหลวงหรือ”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
แต่ไม่ได้ตอบว่าไปเมื่อไร
เพราะเขาก็ยังไม่ได้ตัดสินใจเหมือนกัน
ความจริงถ้าอยากไปตอนนี้ก็ไปได้
หากไม่ไป คนมักหาเหตุผลและเรื่องนับร้อยพันให้ตัวเองทำได้เสมอ
ตอนนี้ก็มีเรื่องสำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง
นั่นคือรอเซียวจิ่นข่านกลับมา
ถึงเขากลับมาดื่มสุราแค่จอกเดียวก็นับว่าทำสิ่งที่พูดก่อนหน้านี้สำเร็จแล้ว
ในใจหลิวรุ่ยอิ่งก็จะไม่มีภาระใดอีก
อย่างไรก่อนไปเขาก็รับปากเรื่องนี้ไว้
หากทำไม่ได้คงไม่สบายใจตลอดทางกลับ
“เจ้ามีแผนอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ข้ายังวัดระดับสายบุ๋นในหอทรงปัญญาไม่เสร็จ แต่ข้าคงจะไปร่วมงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมแน่นอน”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“เช่นนั้นก็เจอกันเมืองหลวง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
เขารู้ว่าความสามารถอย่างจิ่วซานปั้นต้องได้ไปงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมนั้นแน่นอน
“เรื่องของเขาถือว่าจบแล้วหรือ”
ทังจงซงชี้จิ่วซานปั้นพลางเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าเขาหมายถึงการตายของเหลี่ยงเฟิน
แต่เขากลับไม่ได้พูดชัดเจน
เพียงพยักหน้า
เพราะหลิวรุ่ยอิ่งมีแผนในใจแต่เนิ่นแล้ว
และความมั่นใจของเขาก็อยู่ในเอกสารที่จินเฉาโหย่วเยวี่ยมอบให้เขา
จินเฉาโหย่วเยวี่ยอาจนึกไม่ถึงว่าข้อมูลที่มีค่าที่สุดในเอกสารเหล่านี้ของตนไม่ใช่ตอนนั้นลู่หมิงหมิงออกจากหอทรงปัญญาเพราะอะไร
แต่เป็นพี่ใหญ่ที่ตายไปนานแล้วของ ‘เบญจลักขี’ ยังมีชีวิตอยู่
เพียงแต่ถูกใครบางคนซ่อนเอาไว้
หลายปีมานี้ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไร ใช้ชีวิตอย่างไร
หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร แต่รู้ว่าเขาใช้ชีวิตอย่างไร
เรื่องเหล่านี้ไม่ได้บันทึกในเอกสาร
หลิวรุ่ยอิ่งใช้สมองของเขาอนุมานออกมาทั้งหมด
พี่ใหญ่ของ ‘เบญจลักขี’ ต้องอยู่ในหอทรงปัญญาแน่นอน
และคงไม่ไกลจากสถานที่ที่พวกเขาดื่มสุราตอนนี้มากนัก
ส่วนมีชีวิตอยู่ด้วยอะไร มีเพียงสองคำ
ฆ่าคน
แม้ใครๆ ก็ฆ่าคนได้
หลิวรุ่ยอิ่ง จิ่วซานปั้นและทังจงซงที่นั่งอยู่ในนี้ล้วนเคยฆ่าคน และไม่ใช่แค่คนเดียว
แต่ฆ่าคนด้วยเหตุผลกับฆ่าคนเพื่อให้ได้ฆ่าเป็นแนวคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
แม้การฆ่าคนล้วนเป็นเรื่องไร้หลักการทั้งหมด
แต่เรื่องไร้หลักการมักมีข้ออ้างเสมอ
ไม่อยากถูกคนอื่นฆ่าตายจึงฆ่าคนอื่นเสีย
นี่ก็เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดไม่ใช่หรอกหรือ
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่เหมาะจะพูดในสถานการณ์ตอนนี้
หนึ่งเพราะเขาสองคนไม่ควรรู้อย่างแท้จริง
สองเพราะรู้แล้วพวกเขาอาจจะมีปัญหาไม่น้อย
คิดถึงตรงนี้ หลิวรุ่ยอิ่งพบว่าตัวเองยังกลับไม่ได้จริงๆ
เพราะเขายังมีอีกหลายคนต้องไปพบสักหน่อย
ก่อนอื่นคืออาจารย์ของเขา
บัณฑิตขั้นเจ็ดผู้ตีเหล็กและดีดฉิน หนึ่งในเจ็ดหัตถ์เทวะสายบุ๋น…ลู่หมิงหมิง
อย่างไรก็เคยคารวะเป็นอาจารย์อย่างเป็นทางการ
จะไปโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้ไม่ได้
ถัดมาก็เป็นตี๋เหว่ยไท่
ประมุขหอทรงปัญญาผู้ลือนามสะเทือนใต้หล้า
มีเพียงเขาที่สามารถพิสูจน์ความชัดเจนให้เหลี่ยงเฟินได้ และยังจบงานที่ตนมาหอทรงปัญญาได้เช่นกัน
สุดท้ายก็เป็นโอวเสี่ยวเอ๋อกับโอวหย่าหมิงผู้นำตระกูลโอวของนาง
โอวเสี่ยวเอ๋อเป็นสหายของเขา
โอวหย่าหมิงเป็นผู้อาวุโสของโอวเสี่ยวเอ๋อ
จากภาพรวมหรือส่วนตัว จากความรู้สึกหรือเหตุผลก็ควรไปบอกลาสักครั้งเป็นดี
เพียงแต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่สบายใจเล็กน้อยว่าทำไมวันนี้โอวเสี่ยวเอ๋อไม่มา
แต่พอคิดอีกที ผู้นำตระกูลเขาอยู่ที่นี่
ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องเคลื่อนไหวไม่สะดวกอยู่บ้างทั้งนั้น
เปรียบเทียบกับการสำรวมกิริยาก่อนหน้านี้ก็เป็นเรื่องปกติ
เมื่อคนที่ไม่เคยรู้จักความรักคนหนึ่งมีเพื่อนพ้อง
ความรู้สึกนี้ก็จะไหลทะลักลงมาเหมือนน้ำท่วมเขื่อนแตก
ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งก็เป็นเช่นนี้
ในใจเขาเหมือนมีคำพูดมากมายอยากพูดกับสองคนตรงหน้า
แต่หัวข้อเยอะเกินไป ไม่รู้ควรเริ่มพูดจากตรงไหน
เขาถึงได้นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่พักใหญ่
ทังจงซงเข้าใจเรื่องคบหาผู้คนมากกว่าหลิวรุ่ยอิ่ง
ดังนั้นตราบใดที่หลิวรุ่ยอิ่งไม่เอ่ยปาก เขาก็ไม่พูด
บางครั้งการนั่งอยู่เงียบๆ เช่นนี้ก็เป็นการใช้เวลาร่วมกันอันดียิ่งอย่างหนึ่ง
เขาเชื่อว่าหลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสได้
……………………………………….