ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 212 ลอยไปให้ไกลดั่งควัน-1
บทที่ 212 ลอยไปให้ไกลดั่งควัน-1
ความจริงแล้วเซียวจิ่นข่านมีเรื่องที่จำไม่ได้มากมายนัก
โดยเฉพาะเมื่อช่วงหลายปีหลังจากที่เยี่ยเหว่ยกลายเป็นอาจารย์ของเขา
ในช่วงหลายปีนี้จริงๆ แล้วมีหลายเรื่องราวเกิดขึ้น
แต่เขากลับลืมมันจนสิ้น
ไม่ใช่ว่าความจำของเขาไม่ดี
แต่เขาตั้งใจลืมมันอย่างมีสติ
หลายๆ เรื่องเขาซ่อนมันไว้ในส่วนที่ลึกยิ่งนัก
หากไม่ไปกระตุ้นใดๆ ก็จะไม่นึกถึงอีก
หากใช้ชีวิตอาศัยอยู่ที่เดียวเป็นเวลายาวนาน
แน่นอนว่าไม่มีทางไปกระตุ้นมัน
เซียวจิ่นข่านใช้ชีวิตอยู่ที่หอทรงปัญญามานาน
สำหรับทุกสิ่งในที่แห่งนั้นล้วนเห็นบ่อยจนชินตาแล้ว
แต่ทันทีที่ออกไป
ความสมดุลทั้งหมดนี้จะถูกพังทลายลง
ตลอดทางที่เดินมาจากหอทรงปัญญา
มีสถานที่หลายแห่งกระตุ้นเซียวจิ่นข่าน
มีหลากหลายเรื่องราวที่เขาหวนนึกถึงความทรงจำใหม่อีกครั้ง
แต่เขาเป็นคนที่สามารถแยกแยะลำดับความสำคัญได้
การมาในครั้งนี้หาใช่การรำลึกนึกถึงอาจารย์ไม่
เซียวจิ่นข่านกล่าว
แต่กลับไม่มีเนื้อความถัดไป
เพราะเขารู้ว่าตนไม่พูด อาจารย์ก็รู้อยู่ดี
เขาเอ่ยปาก เพียงต้องการเร่งเร้าอาจารย์เท่านั้น
แม้ว่าโดยทั่วไปเขาจะตามใจเยี่ยเหว่ยก็ตาม
แต่มักจะมีบางช่วงสำคัญที่ต้องห้ามยิ่ง
ช่วงเวลาพิเศษ วิธีการที่ไม่ธรรมดา
เยี่ยเหว่ยไม่ตอบ
ในมือของเขาถือผักกาดหัวใหญ่หัวหนึ่ง
กำลังฉีกดึงใบผักกาดหัวนี้โยนให้ห่านป่าขาเป๋กินทีละนิดๆ
แต่ห่านป่ากลับเมินใบผักกาดชั้นนอกเหล่านี้
มันอยากจะกินแกนผักกาด
“เจ้าชอบกินแกนผักกาดหรือ”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
เถี่ยกวนอินเหลือบมองเซียวจิ่นข่าน
เพราะเขาไม่รู้ว่าประโยคนี้กำลังถามผู้ใด
“ข้าไม่ชอบกินผักกาด แต่แกนผักกาดอร่อยกว่าใบผักกาดแน่นอน”
เถี่ยกวนอินกล่าวพลางยักไหล่
“ข้าก็ไม่ชอบกินผักกาด แต่หากต้องกิน ข้าก็คงไม่เลือกกินแต่ใบผักกาด”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“แต่หากไม่กินใบผักกาดชั้นนอกจนหมด กลับกินแต่แกนผักกาด จะไม่น่าเบื่อเกินไปหรือ”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ยามที่กินผักกาด อดทนกินแต่ใบผักกาดไม่อร่อยเหล่านี้ก่อน แล้วเฝ้ารอความสุขของแกนผักกาดคำสุดท้าย หรือนี่จะไม่ใช่เรื่องที่น่าพอใจยิ่ง”
เยี่ยเหว่ยเห็นว่าไม่มีผู้ใดตอบจึงกล่าวต่อ
ผักกาดในมือถูกปอกไปกว่าครึ่ง
ในที่สุดห่านป่าขาเป๋ก็ทนความหิวไม่ไหวจึงอ้าปากงับกิน
“แต่หากกินหัวชั้นนอกเหล่านี้คำแล้วคำเล่าจนเกลี้ยง เกรงว่าจะไม่มีพื้นที่ว่างในท้องไว้กินแกนผักกาดนั่นแล้ว ลิ้มรสความสุขไม่ได้ก็ไม่เรียกว่าความสุข ไม่ช้าก็เร็วมันจะกลายเป็นความริษยา”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“แน่นอนว่าเจ้าเป็นคนที่ไร้ความอดทน ไม่เช่นนั้นคงไม่ตรงมาหาข้า”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ข้าเพียงไม่อยากมีอารมณ์ริษยาแม้แต่น้อย อารมณ์เช่นนั้นไม่ดีนัก…ข้าเคยเป็น แต่ไม่อยากลองมันอีกแล้ว”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เยี่ยเหว่ยปิดปากเงียบ
เซียวจิ่นข่านรู้ว่าอาจารย์ถามประโยคนี้กับเขา
ปล่อยให้เขาตัดสินใจ
การกินใบผักกาดชั้นนอกจนเกลี้ยงคำแล้วคำเล่าเฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งทำอยู่ตอนนี้
วิเคราะห์สิ่งต่างๆ จากเส้นสนกลในอีกครั้ง
เข้าใกล้ความจริงทีละน้อย
แต่ผักกาดขาวนั้นก็คือความจริง
ไม่ว่าชั้นนอกจะสรรค์สร้างกี่คำโกหก กี่อุปสรรคขวางกั้น
ล้วนไม่อาจซ่อนเร้นความน่าดึงดูดของแกนผักกาดไว้ได้
เซียวจิ่นข่านลังเลแล้ว
เขาไม่รู้ว่าควรเลือกเช่นไร
แม้ว่าเขาจะเคยตัดสินใจสิ่งสำคัญต่างๆ มามากก็ตาม
แต่การตัดสินใจเหล่านั้นล้วนเกี่ยวข้องกับตน หาได้เกี่ยวกับผู้อื่นไม่
คราวนี้ต่างออกไป
เรื่องในคราวนี้เกี่ยวข้องกับหลิวรุ่ยอิ่ง
เรื่องเกี่ยวกับผู้อื่นย่อมไม่มั่นใจเหมือนเรื่องตนเอง
ต่อให้ตอนนี้เซียวจิ่นข่านจะกลายเป็นหนึ่งในห้าสุดยอดนักพรตอินหยางในใต้หล้าก็ไม่มีข้อยกเว้น
มีประโยคหนึ่งกล่าวได้ดี
เป็นตายขึ้นอยู่กับคำเดียว
คนมีชีวิตสุขสบายตายเพราะคำพูด
คนตายบรรจุในโลงศพฝังดินเหลืองยังถูกเล่าปากต่อไปไปหลายร้อยปี ราวกับเมื่อวานเพิ่งกินข้าวดื่มสุรากับใครสักคน
………………………..
ในเวลานี้เอง
มีคนเข้ามาในร้านอาหารอีก
ไม่มากไม่น้อย
ห้าคนพอดี
แต่เป็นห้ายอดดรุณแห่งหอทรงภูมิ
ครั้งนี้แม้แต่ดรุณต้านลมปราณและดรุณสกัดจุดที่คราวก่อนไม่ได้มาก็มาด้วย
“เหตุใดพวกเขาไปแล้วยังย้อนกลับมาอีกเล่า”
เซียวจิ่นข่านถาม
เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับห้ายอดดรุณและหลิวรุ่ยอิ่งในคืนวันฝนตกนั้น
“เพราะพวกเขายังไม่เสร็จธุระ แน่นอนว่าจึงไปแล้วย้อนกลับมาอีก”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
ยามนี้ผักกาดในมือเขาเหลือเพียงแกนผักกาด
แต่ห่านป่าขาเป๋กินอิ่มแล้ว
ครั้นเห็นทั้งห้าคนนี้มาก็กระพือปีกด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
เซียวจิ่นข่านมองแกนผักกาดในมืออาจารย์และจมอยู่ในภวังค์ความคิด
หากเรื่องในโลกนี้เป็นดั่งเขาคิดล้วนสามารถรู้ผลลัพธ์ได้
ทั้งยังรู้กระบวนการโดยละเอียดได้อีกด้วย
แต่เขาพูดไม่ได้
ยิ่งไม่อาจชี้แนะใดๆ ให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง
หากผลลัพธ์และกระบวนการนี้ไม่อาจทำให้เขาพึงพอใจได้ละก็
สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็ดหมือนคนธรรมดาทั่วไปทุกประการ
เพียงอาศัยความแข็งแกร่งของตนเปลี่ยนแปลง
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่าการรู้มากไป มองการณ์ไกลเกินไปไม่ใช่เรื่องดี
เซียวจิ่นข่านมักจะทนทุกข์ทรมานจากเรื่องนี้
แม้ว่าตอนนี้จะดีขึ้นมากแล้ว
แต่ก็ยังไม่เด่นชัดเท่าเยี่ยเหว่ย
แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยกล่าวเช่นกัน
ฮั่ววั่งก็ไม่เคยถาม
เกรงว่าในใต้หล้าจะมีเพียงไม่กี่คนที่ยินดีรับรู้ความรุ่งโรจน์ ร่วงโรยเจ็บปวดและความตายของตน
แม้ว่าพรุ่งนี้จะตายไปก็ตาม
วันนี้ก็ยังสามารถอยู่อย่างมีความสุข
แต่หากมีคนบอกกับเขา
สิบสองชั่วยามที่เหลืออยู่นี้ย่อมผ่านไปอย่างหวาดกลัวและตื่นตระหนกอย่างแน่นอน
เซียวจิ่นข่านรู้จุดประสงค์ของห้ายอดดรุณนี้เช่นกัน
แต่ยามนี้ในใจของเขาตัดสินใจแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งเป็นสหายของเขา
เขารับปากว่าจะช่วยเขา
แต่สิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งขอให้เขาช่วยเหลือ ตนไร้ความสามารถจริงๆ
ทำได้เพียงช่วยเขาพูดเท่านั้น
แก้ไขปัญหารอบข้างบางส่วนแทนเขา
บางทีหลิวรุ่ยอิ่งอาจล่วงรู้หรือชั่วชีวิตนี้ไม่อาจล่วงรู้
แต่เซียวจิ่นข่านไม่ได้สนใจ
ตราบใดที่ตนทำไปแล้ว ถามใจไร้สิ่งใดให้ละอายก็ย่อมดี
……………………
ตอนที่ดวงตาของเขายังไม่บอดสนิทเคยพบกับแม่นางผู้หนึ่ง
แม่นางผู้นั้นแต่งกายสวมใส่อาภรณ์ธรรมดา
กล่าววาจาไม่เก่งและแต่งหน้าไม่เป็น
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ช่วงไม่กี่วันนั้นเซียวจิ่นข่านมักจะพบนางอยู่เสมอ
เขานั่งดื่มสุราในเหลาสุรา
แม่นางผู้นั้นขายเต้าฮวยอยู่ริมทางตรงข้ามเหลาสุรา
เดาว่าฝีมือของนางไม่ดีพอ
ดังนั้นแทบจะไม่มีผู้ใดยินดีซื้อเต้าฮวยของนาง
เซียวจิ่นข่านก็ไม่เคยซื้อมัน
เพราะเขาไม่แม้แต่ชายตามองเต้าฮวยสามเหรียญทองแดงด้วยซ้ำ
ยิ่งกว่านั้นเต้าฮวยทั้งนุ่มและอ่อนละมุน
ไม่จำเป็นต้องเคี้ยว สามารถไหลเข้าไปในลำคอลงสู่ท้องโดยตรง
นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขยาดเป็นที่สุด
เซียวจิ่นข่านชอบกินของที่ต้องเคี้ยวหนึบหนับ
เขารู้สึกว่ากึ่งหนึ่งของความสนุกในการกินคือการเคี้ยวอาหาร
ขาดกระบวนการนี้ไป เช่นนั้นไม่กินข้าวยังดีกว่า
แต่ยามที่เขาไม่มีเงินไปร่ำสุราที่เหลาสุรา ยามที่ลำบากใจยิ่งนัก
เขากลับอยากลิ้มชิมเต้าฮวยที่แม่นางผู้นั้นขาย
ทว่าในเวลานี้เขาไม่มีแม้แต่สามเหรียญทองแดง
เซียวจิ่นข่านจ้องมองแผงขายของอยู่นานทีเดียว
แม่นางผู้นั้นก็เงยหน้ามองเขา
อย่างไรเสียถูกคนผู้หนึ่งจ้องเป็นเวลานาน ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนสังเกตเห็น
ทันทีที่เห็นสายตาของอีกฝ่ายมองมาที่เขาเช่นกัน
เซียวจิ่นข่านหันหน้าไปทันทีและแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
แต่เสียงท้องร้องโครกคราก ส่งเสียงฟ้าร้องคำรามไม่อาจหลอกลวงผู้ใดได้
แม้แต่แม่นางผู้นั้นก็ได้ยิน
นางระบายรอยยิ้มบางๆ
หยิบชามขึ้นมาและใช้ผ้ากันเปื้อนของตนเช็ดๆ
แผงขายของนางเล็กมาก
มีเพียงโต๊ะและเก้าอี้สองชุดเท่านั้น
แต่อุปกรณ์ทานอาหารบนโต๊ะกลับวางไว้ตรงนั้นอย่างเป็นระเบียบ
แม้แต่ผ้ากันเปื้อนบนกายนางยังสะอาดสะอ้านไร้ฝุ่นเขรอะ
นี่เป็นสิ่งที่หาในแผงลอยริมถนนได้ยากยิ่ง
ไม่สนว่ารสชาติเต้าฮวยจะเป็นเช่นไร อย่างน้อยนางก็ให้ความสำคัญและพิถีพิถันกับเรื่องนี้ยิ่งนัก
แม่นางตักเต้าฮวยหนึ่งชาม
ชูไปทางเซียวจิ่นข่านและทำท่าทำทางเล็กน้อย
เซียวจิ่นข่านขมวดคิ้วไม่รู้ว่านี่หมายความว่าอย่างไร
ยิ่งกว่านั้นเขาขัดสนและไม่มีเงินซื้อด้วยซ้ำ
“ช่วยข้าชิมหน่อยได้หรือไม่ ข้ารู้สึกว่ารสชาติพอใช้ได้ แต่ลูกค้าช่างน้อยยิ่งนัก…”
แม่นางกล่าว
เซียวจิ่นข่านเก้อกระดากเล็กน้อย
แต่เขาก็อยากกินมันมากจริงๆ
น้ำลายสอในปากไหลไม่หยุด
แต่เขาก็ยังวางมาดไว้เช่นเดิม
นั่งลงอย่างรักษาภาพลักษณ์
เต้าฮวยนี้รสชาติวิเศษยิ่ง
เซียวจิ่นข่านไม่รู้ว่าเพราะตนเองหิวเกินไปหรือมันอร่อยเป็นทุนเดิม
ทว่าเขากินเพียงคำเดียวแล้วก็หยุดลง
“เหตุใดเจ้าจึงให้ข้าชิมรสชาติหรือ”
เซียวจิ่นข่านถาม
“เพราะข้ารู้จักเจ้า”
แม่นางยิ้มพลางกล่าว
“เจ้ารู้จักข้าหรือ”
เซียวจิ่นข่านถามอย่างนึกสงสัย
เพราะในความทรงจำของเขานั้นไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับแม่นางผู้นี้เลย
“เมื่อก่อนเจ้าจะนั่งดื่มสุราที่ชั้นสองที่นั่นทุกวัน”
แม่นางชี้เหลาสุราฝั่งตรงข้ามแล้วกล่าว
นี่กลับทำให้เซียวจิ่นข่านรู้สึกกระดากอายมากยิ่งขึ้น
………………………………………………………….