ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 205 แก่นแท้พฤกษาอัคนี เมฆาวารีหรรษา-6
บทที่ 205 แก่นแท้พฤกษาอัคนี เมฆาวารีหรรษา-6
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าที่ท่านกล่าวมาเป็นเรื่องจริงหรือหลอกลวง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“คนใกล้ตายคำพูดล้วนดูดี ข้าถูกวางยาพิษ แม้ไม่ตายก็ใช้ชีวิตลำบากนัก ท่านช่วยชีวิตข้า ข้าให้หนังสือทางการเหล่านั้นแก่ท่าน ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“ท่านนำเรื่องความเป็นความตายของตนมาพึ่งพิงตัวข้า ช่างทำให้ข้ายากที่จะแบกรับไหวยิ่ง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
จินเฉาโหย่วเยวี่ยยิ้มเล็กน้อย
เขารู้ว่าในใจของหลิวรุ่ยอิ่งสั่นคลอนแล้ว
นอกจากจะฝึกยุทธ์แล้ว เขายังเป็นพ่อค้าวาณิชคนหนึ่ง
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับวาณิชคือผลกำไร
รับผลกำไรสูงสุดด้วยต้นทุนขั้นต่ำ
ด้วยวิธีนี้จึงจะทำเงินและทำการค้าขายได้
เพียงแต่ว่าตอนนี้เขากำลังตกลงซื้อขายกับหลิวรุ่ยอิ่ง
เกรงว่านี่อาจเป็นการค้าขายตอบแทนเดียวที่เขาเคยทำในชีวิตนี้
ชีวิตของเขามีค่ายิ่งนัก
เพราะชีวิตมนุษย์ล้วนมีค่า ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม
มนุษย์มักจะไม่อยากตายกันทั้งสิ้น
ไม่ว่าชีวิตเขาจะอนาถหรือย่ำแย่เพียงใด เขาล้วนต้องการมีชีวิตต่อไป
อย่างไรเสียไม่ว่าชีวิตจะแย่เพียงไหนก็ยังดีกว่าความตาย
“ข้าไม่ต้องการรู้ว่าเหตุใดปีนั้นลู่หมิงหมิงจึงจากหอทรงปัญญาไป เขาเป็นอาจารย์ของข้า หากข้าอยากรู้สิ่งใด ย่อมถามเขาไปโดยตรง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
จินเฉาโหย่วเยวี่ยตะลึงเล็กน้อย
เขาไม่คาดคิดว่าลู่หมิงหมิงและหลิวรุ่ยอิ่งจะมีความสัมพันธ์เช่นนี้
เขาคิดเพียงแค่ว่าหลิวรุ่ยอิ่งเป็นคนจากกรมสอบสวนกลางเท่านั้น
แม้จะไม่รู้จุดประสงค์แน่ชัดในการมาหอทรงปัญญาของเขาก็ตาม
แต่จะต้องไม่ได้มาเพื่อเที่ยวเตร่อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้จินเฉาโหย่วเยวี่ยจึงโยนเหตุการณ์สำคัญของหอทรงปัญญาออกไปเป็นเหยื่อล่อ
เขาต้องการเกลี้ยกล่อมให้หลิวรุ่ยอิ่งลงไปลุยโคลนถอนพิษให้ตน
“นายกองหลิว เรามาคุยกันอย่างเปิดอก ท่านคงจะมาที่หอทรงปัญญาพร้อมกับภารกิจสอบสวนบางอย่าง ข้าไม่รู้ว่าภารกิจของท่านคือสิ่งใด และไม่รู้ว่าเป้าหมายสอบสวนของท่านคือผู้ใด แต่ข้ากล้ารับรองได้ว่าหนังสือทางการที่ข้าสะสมมา ในนั้นจะต้องมีเนื้อหาที่ท่านสนใจและสามารถช่วยท่านได้แน่นอน”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวอย่างจริงจังอย่างยิ่ง
“ข้ามีภารกิจหลวงอยู่กับตัวจริง แต่ท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่ข้าต้องการจะอยู่ในเอกสารทางการของท่าน”
หลิวรุ่ยอิ่งหมุนกายกลับมาถามอีกครั้ง
เขาส่งสัญญาณให้เจ้าหมิงหมิงพาเกาลัดคั่วน้ำตาลออกไปก่อน
“ระวังตัวด้วย!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
จากนั้นพาเกาลัดคั่วน้ำตาลเดินลงบันไดจากชั้นห้าทีละก้าว
“นายกองหลิว ท่านเคยทำการค้าขายหรือไม่”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวถาม
“ไม่เคย…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาไม่เคยทำการค้าขายมาก่อนจริงๆ
จะว่าไปแล้ว เขาไม่ค่อยจะมีความคิดเรื่องเงินมากนัก
ในกรมสอบสวนกลางมีครบทุกสิ่งอย่าง เสมือนกับโลกใบเล็กๆ แต่ไม่มีค่าใช้จ่ายแม้แต่ทองแดงเดียว
นี่เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกของเขา จึงได้มองเห็นว่าโลกภายนอกมีสีสันเพียงใด
สามลัทธิเก้ากระแส ต่างทำตามหน้าที่ ต่างไปตามทางของตน
ร่วมกันนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่โลกนี้
“ไม่ การค้าขายไม่จำเป็นต้องขาย ตราบใดที่เคยซื้อของก็นับว่าทำการค้าขายแล้ว การค้าขายเดิมทีก็มีซื้อมีขาย ขาดฝ่ายใดไปล้วนไม่ใช่การค้าขาย”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“จากคำที่ท่านกล่าวมาเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็เคยค้าขาย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาไม่รู้ว่าจินเฉาโหย่วเยวี่ยต้องการสื่อถึงสิ่งใด
ทำได้เพียงตามน้ำกับคำพูดของเขาต่อไป
“ในเมื่อนายกองหลิวเคยทำการค้าขาย ย่อมรู้หลักเปรียบเทียบร้านรวงอยู่แล้ว ผู้ซื้อเลือกผู้ขาย ผู้ขายก็เลือกผู้ซื้อเช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“ประมุขจินเฉาหมายความว่าท่านกำลังมองหาผู้ซื้อหนังสือทางการนี้หรือ แล้วข้าก็เป็นผู้ซื้อนั่นกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“หมายถึงเช่นนี้”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวพลางหัวเราะ
เขาดีใจยิ่งนักที่หลิวรุ่ยอิ่งเข้าใจความหมายของเขาทันที
ผู้คนล้วนชอบคบค้าสมาคมกับคนฉลาด
เพราะการพูดคุยกับคนฉลาดประหยัดแรงไปได้ไม่น้อยจริงๆ
หลิวรุ่ยอิ่งก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง
ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดของจินเฉาโหย่วเยวี่ยอย่างรวดเร็ว
“นายกองหลิวท่านเป็นผู้ซื้อที่ข้าหาพบ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
เขากำลังเน้นย้ำ
เน้นย้ำความไม่เป็นสองรองใครของหลิวรุ่ยอิ่ง
ในเมื่อผู้ซื้อไม่เป็นสองรองใคร สิ่งที่ผู้ขายจะขายต้องไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน
มิฉะนั้นไม่อาจเข้ากันได้ดี
หากเข้ากันได้ไม่ดีก็ทำการค้าขายไม่ได้
เพียงแต่หนังสือทางการไม่ต้องใช้เงินซื้อ
ต้องใช้ชีวิตของจินเฉาโหย่วเยวี่ยจึงจะซื้อมันได้
หลิวรุ่ยอิ่งตกอยู่ในภวังค์ความคิด
“ข้าเพียงอยากถามท่านสักคำถาม”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูด
“ถามได้”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวเสียงดัง
เขารู้ดี
นี่เป็นสัญญาณว่าการค้าขายกำลังจะเสร็จสมบูรณ์
ดังนั้นยามนี้เขาจึงรู้สึกสุขใจยิ่ง
มากเสียจนหยิบกาสุราจากมือสตรีเล่นว่าวโดยตรงและดื่มอึกๆ เข้าไปเต็มคำ
“เบญจลักขีและผู้ฝึกยุทธ์สวมชุดบัณฑิต”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
จินเฉาโหย่วเยวี่ยชะงักมือ
สุราไหลลงจากคาง เปียกชุ่มปกเสื้อหน้าอก
“คิดไม่ถึงว่านายกองหลิวจะมาเพื่อการนี้”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวด้วยอารมณ์ทอดถอนใจเล็กน้อย
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ปริปากเอ่ยคำใด
ความจริงแล้วเขาพูดมามากพอแล้ว
และคำพูดเหล่านี้ เดิมทีก็ไม่ควรบอกกับคนนอก
แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็หาได้มีเส้นสนกลใดในการสืบสวนเรื่องเหล่านี้เช่นกัน
ไม่มีทางเลือก นับว่าเป็นเรื่องด่วนจำต้องร้องขอความช่วยเหลือ
แต่ว่าเขาเชื่อว่าเมื่อพิจารณาจากระดับของจินเฉาโหย่วเยวี่ยและหอจันทร์กระจ่างในหอทรงปัญญาแล้ว เขาย่อมต้องรู้เรื่องบางอย่างเป็นแน่
ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ร่างกายเขามีพิษ
ไม่มีผู้ใดใช้ชีวิตของตนมาล้อเล่น
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าจินเฉาโหย่วเยวี่ยกำลังเดิมพัน
เดิมพันว่าเขาจะต้องเลือกตอบรับแน่นอน
มั่นใจเต็มเปี่ยมตั้งแต่วินาทีที่เขาเริ่มเรียกรั้งหลิวรุ่ยอิ่ง
“ล้วนมีทั้งสิ้น”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
ครั้นพูดเช่นนั้นพลันใช้มือขวาปาดคราบสุราบนคางของตน
“ได้ ข้าช่วยท่าน!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เรื่องเช่นนี้ไม่อาจล่าช้าได้
ได้แค่เพียงตัดสินใจเฉียบขาดเท่านั้น
สตรีเล่นว่าวเกร็งตัว จากนั้นยืนตัวตรง
นางหยิบกระดาษห่อเล็กออกจากสายรัดเอวของตน
“พ่อหนุ่ม นี่เป็นยาถอนพิษ หากเจ้ามีความสามารถก็มาเอามันสิ”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
จากนั้นคลายปกเสื้อเล็กน้อย ซ่อนกระดาษห่อเล็กไว้ในเสื้อชั้นในของตน
ตำแหน่งที่อ่อนไหวเช่นนี้
ต่อให้หลิวรุ่ยอิ่งจะชนะนาง ก็ใช่ว่าจะเอื้อมมือออกไปได้ง่ายๆ
“ท่านต้องการหนังสือทางการเหล่านั้นหรือไม่”
เสียงของเจ้าหมิงหมิงดังมาจากด้านหลัง
หลิงรุ่ยอิ่งหันกลับมาและเห็นนางยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูนัก
นางพาเกาลัดคั่วน้ำตาลลงไปแล้ว ตนก็ขึ้นมาอย่างเงียบๆ อีกครั้ง
เพียงแต่การเคลื่อนไหวขึ้นมาชั้นบนของนางเบาจนเกินไป
ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้สังเกตเห็นแม้แต่น้อย
เจ้าหมิงหมิงเข้ามาในห้อง
หันหลังให้หลิวรุ่ยอิ่งและยืนอยู่ด้านหน้าเขา
เช่นเดียวกับที่หลิวรุ่ยอิ่งขวางด้านหน้านางในตอนที่คนลึกลับก่อความวุ่นวายในห้องส่วนตัวเมื่อคืนนี้
“ข้าช่วยท่านเอง”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“เหอะๆ…ใบหน้างดงามเช่นนี้อย่าให้มีแผลเป็นอันขาด พี่สาวผ่านมาก่อน หากใบหน้านี้มีแผลแล้ว บุรุษคงจะไม่เอ็นดูเจ้าอีก”
สตรีเล่นว่าวกล่าวพลางดึงสายว่าวในมือ
“จะเคยผ่านมาก่อนหรือไม่เคยผ่านก็ล้วนไม่ต่างกัน คำพูดที่กล่าวเอง ทางที่เลือกเองก็ต้องรับผิดชอบเองด้วย”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“น้องสาวคนดี ช่างคิดทะลุปรุโปร่งยิ่ง! ทว่าพี่สาวมือหนัก หากเกิดกระทบกระทั่งเข้า คุณชายด้านหลังเจ้าไม่เอ็นดูเจ้าแล้ว ก็อย่าได้ตำหนิพี่สาวเชียว”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“เขาหาได้เป็นคุณชายของข้าไม่ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาเอ็นดู เป็นเพียงมิตรภาพระหว่างสหายก็เท่านั้น”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ระหว่างชายหญิงจะเป็นสหายกันได้อย่างไร ฟังคำแนะนำพี่สาว ไม่ควรยื่นเท้าเข้ามาในบึงโคลนนี้ง่ายๆ ไม่เช่นนั้นแม้เจ้าจะล้างสะอาดก็ยังมีกลิ่นดินติดอยู่ตามตัว”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“สตรีไร้ความสามารถย่อมต้องอาศัยรูปลักษณ์เรือนร่างล่อลวงบุรุษ สตรีที่มีความสามารถไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบุรุษใดๆ ย่อมเป็นมิตรสหายกันได้”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
ประโยคนี้แทงใจของสตรีเล่นว่าว
นางใช้รูปลักษณ์และเรือนร่างล่อลวงบุรุษ เพื่อได้มาในทุกสิ่งไม่ใช่หรือ
แม้วิธีนี้จะน่ารังเกียจก็ตาม
แต่ก็มักจะบรรลุเป้าหมายเสมอ
ดังนั้นสตรีเล่นว่าวจึงไม่เคยเบื่อมัน
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเป็นคนแรกที่คลานออกมา สวมอาภรณ์ ลุกขึ้นและออกไปจากเรือนร่างแสนอบอุ่นของนาง
นางจึงไม่พอใจอย่างยิ่ง
หากกล่าวว่าชายเป่าขลุ่ยต้องการเพียงเงินละก็ สตรีเล่นว่าวโลภยิ่งกว่า
เงินก็ต้องการ
ความรักก็ต้องการ
นางต้องการให้จินเฉาโหย่วเยวี่ยลุ่มหลงตัวนางต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นความหลงใหลในเรือนร่าง หรือลุ่มหลงในอารมณ์จนไม่อาจถอนตัวก็ตาม
ขอเพียงลุ่มหลงในตัวนาง สามารถเชื่อฟังคำสั่งของนางย่อมได้ทั้งสิ้น
เจ้าหมิงหมิงที่เป็นอสูรแปลงกาย ย่อมมีอายุยืนยาวกว่านางนัก
แม้จะไม่เคยออกจากภูเขาก็ตาม
แต่การต่อสู้ปะทะในเผ่าอสูร ไม่ได้สงบสุขไปกว่าการวางแผนในโลกมนุษย์
ผู้ที่ลุ่มหลงจะลงเอยด้วยความทุกข์ทั่วสรรพางค์กาย
ทว่าการต่อสู้ในวงศ์เผ่าทำให้เกิดการนองเลือด
สิ่งนี้ไม่อาจนำมาเทียบกัน
พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์
………………………
เจ้าหมิงหมิงโบกมือ
ทันใดนั้นกลิ่นอายลึกลับปรากฏขึ้นในห้อง อัดแน่นจนกลายเป็นเชือกสีขาวนวลคล้ายจันทร์และมีขอบทอง
สตรีเล่นว่าวสัมผัสได้เพียงความอ่อนโยนหมื่นชนิดจากเชือกนี้เท่านั้น
แต่ไร้ซึ่งกลิ่นอายอันตราย
ทว่านางรู้ดี
ยิ่งพลังอ่อนโยนเท่าใด ยิ่งปลดปล่อยได้น่ากลัวเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่กล้าประมาท
ด้ายแน่นตึง
ว่าวโบยบิน
ขวางกั้นไว้ด้านหน้าตน
เจ้าหมิงหมิงสะบัดข้อมือ
เชือกสายนี้เปรียบเสมือนใบไม้ยามสารทฤดูร่วงโรยในแม่น้ำไหลหลาก
ว่าวนั้นเปรียบเสมือนเรือสำเภาลำเล็กในทะเล
ดิ้นรนโคลงเคลงอยู่ในนั้น
สตรีเล่นว่าวกัดฟันแน่น
ทุ่มพลังเต็มที่และหวังว่าจะสามารถสกัดกั้นเชือกของเจ้าหมิงหมิงได้
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่านางลำบากเพียงนี้
ในทางกลับกันเจ้าหมิงหมิงยังคงสงบราบเรียบ
ถึงขั้นไขว้มืออีกข้างไว้ด้านหลังอีกต่างหาก
อาภรณ์พลิ้วไหว ชายกระโปรงสะบัดเบาๆ
เสมือนคนในภาพวาด เทพธิดาในดวงจันทร์
ไม่แปดเปื้อนโลกีย์
เหยียบบนเมฆหมอกร่อนลงสู่โลกมนุษย์
…………………………………………………