ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 202 แก่นแท้พฤกษาอัคนี เมฆาวารีหรรษา-3
บทที่ 202 แก่นแท้พฤกษาอัคนี เมฆาวารีหรรษา-3
ทันทีที่ ‘หมื่น’ นี้ออกมา
ดูเหมือนร่างชายเป่าขลุ่ยจะแบกพลังมหาศาลบนหลัง
ตามด้วยเสียงดัง ‘กึกๆ’ มาเป็นระลอก
ไม่เพียงแต่กระดูกทั้งร่างกายของเขาถูกพลังมหาศาลบีบจนส่งเสียงดังกึกๆ
ผงไข่มุกใต้ฝ่าเท้าแตกละเอียดอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นเม็ดเล็กๆ เพราะร่างกายของเขาบดขยี้มัน
ชายเป่าขลุ่ยเริ่มแบกรับไม่ไหว
ยามที่หัวเข่ากำลังจะกระแทกพื้น เขาใช้ขลุ่ยไม้ไผ่ในมือพยุงร่างเอาไว้
ขลุ่ยไม้ไผ่นี้ดูเบาบางไม่ทนลม แต่ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งเพียงนี้
ดวงตาจินเฉาโหย่วเยวี่ยเป็นประกาย
ดูแล้วขลุ่ยไม้ไผ่ของเขาไม่ใช่ของธรรมดา
แม้จะไม่ล้ำค่าเท่าลูกคิดหยกของตน แต่ย่อมเป็นวัตถุหายากอย่างแน่นอน
“เจ้าไม่ไปช่วยเขาหรือ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเอ่ยถามสตรีเล่นว่าว
ทว่าสตรี้เล่นว่าวกลับมองท่าทางเจ็บปวดของชายเป่าขลุ่ยพลางหัวเราะ
ทั้งยังโน้มตัวลงแนบหน้าชิดติดกับเขา
“มีสิ่งใดให้ช่วยกันเล่า”
สตรีเล่นว่าวเอ่ยพลางยิ้มอย่างมีเสน่ห์
“หากเจ้าทั้งสองไม่ร่วมมือกัน เกรงว่าวันนี้จะกลับไปมือเปล่า สู้มานั่งคุยกันดีๆ สุราอาหารนี้ก็เตรียมเสร็จแล้ว”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“อาหารเย็นชืดหมดแล้ว สุราก็ไม่ร้อน ต่างจากเศษอาหารอย่างไร”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“แต่เมื่อครู่ที่เจ้าว่ามันก็ถูกต้องมาก”
สตรีเล่นว่าวเอานิ้วมือขวาเข้าปากตนแล้วดูดมันพลางกล่าว
ใบหน้าจินเฉาโหย่วเยวี่ยฉายแววรังเกียจ
หากเป็นแต่ก่อน เกรงว่าเขาอาจรู้สึกว่าสตรีเล่นว่าวมีเสน่ห์มากล้น
แต่หลังจากผ่านอะไรมามากมายจนถึงวันนี้ หากมองมันอีกกลับรู้สึกขยะแขยง
“สิ่งที่ข้ากล่าวถูกต้องมากคือสิ่งใดหรือ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยถาม
“แบ่งสองคนไม่สู้แบ่งคนเดียวดีกว่า ทว่าแบ่งหนึ่งคนไม่สู้ไม่แบ่งเสียดีกว่า”
สตรีเล่นว่าวเอานิ้วออกจากปากจนส่งเสียงดัง ‘ป๊อก’
“แบ่งหนึ่งคนคือไม่แบ่งไม่ใช่หรือ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเอ่ยถาม
ชายเป่าขลุ่ยยังคงถูกพลังมหาศาลทับไว้
แม้ว่าจะเงยหน้าไม่ขึ้น แต่หูของเขาไม่ได้หนวก
คำพูดเหล่านี้ลอยเข้าหูของเขาทุกคำ
ชั่วครู่หนึ่ง อวัยวะภายในทั้งหมดลุกเป็นไฟด้วยความโกรธ
หมัดที่กำแน่นไม่รู้ว่าควรจะเหวี่ยงไปทางใด
“ไม่แบ่งก็หมายความว่าอยู่ที่ผู้ใดก็เป็นของผู้นั้น”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
ลูกตาของจินเฉาโหย่วเยวี่ยพลันหดตัวลงทันทีที่ได้ยิน
ร่างกายถอยหลังไปสองก้าว
เขารู้ว่าสตรีเล่นว่าวไม่มีทางใจกว้างถึงเพียงนี้
สิ่งที่นางถูกใจล้วนต้องได้มาเท่านั้น
หากไม่ได้ก็ต้องทำลายมันทิ้ง
หากทำลายไม่ได้ เช่นนั้นก็สังหารผู้รู้เหตุการณ์และฝังทิ้งให้หมด
ผู้คนบนโลกมักคิดว่าตายไปทุกอย่างพลันสิ้นสุด
แต่วิธีที่สมบูรณ์กว่าความตายคือการลืมสิ้น
ในจุดนี้สตรีเล่นว่าวทำได้ไร้ที่ติ
และไม่รู้ว่านางความจำไม่ดีจริงๆ หรือบรรลุความคิดเช่นนี้เป็นเดิมทุนอยู่แล้วกันแน่
แต่ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางไม่อยากจำ นางล้วนลืมมันจนหมดสิ้น ชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางนึกถึงมันอีกเลย
ทำให้ตนลืมนั้นง่ายนัก
ทำให้ผู้อื่นลืมนั้นยากนัก
คงไม่อาจเจาะเข้าไปในสมองอีกฝ่ายและเผาความทรงจำเหล่านั้นทั้งหมดหรอกกระมัง
ฉะนั้นวิธีการของนางคือสังหารผู้รู้เหตุการณ์ก่อนแล้วค่อยทำให้ตนเองลืมในตอนท้าย
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเคยถามนาง แต่ตนดันลืมไปเสียได้
เหตุใดต้องสังหารคนให้ลำบากด้วยเล่า
การลืมสิ้นก็แสดงว่าจิตใจบรรลุมากพอแล้ว
แต่การสังหารคนจะไม่เป็นการหวนกลับทางเก่าหรือ
สตรีเล่นว่าวอธิบายสิ่งนี้ว่า
นางทนสายตาขุ่นเคืองริษยาจากผู้อื่นไม่ได้
ทันทีที่สิ้นเสียง พลันมองจินเฉาโหย่วเยวี่ยอย่างอ่อนโยน
นางเป็นสตรีที่มีเสน่ห์ด้านความเป็นสตรีมากจริงๆ
มีเสน่ห์ด้านความเป็นสตรีที่สามารถครองใจบุรุษได้
ในเมื่อจินเฉาโหย่วเยวี่ยเป็นบุรุษย่อมไม่มีข้อยกเว้น
ถูกนางกุมหัวใจไว้ในกำมือแน่นเหมือนอย่างเคย
อีกทั้งนางมักรู้อยู่เสมอว่าบุรุษต้องการสิ่งใด หมายจะได้ยินสิ่งไหน
ทุกคำพูดที่ออกจากปากของสตรีเล่นว่าว ไม่เคยทำให้จินเฉาโหย่วเยวี่ยรู้สึกว่าไม่น่าฟัง
ทุกการเคลื่อนไหวจากปลายนิ้วของนาง ไม่เคยทำให้จินเฉาโหย่วเยวี่ยรู้สึกไม่สบายกาย
สิ่งที่เขาชอบที่สุดคือหลังจากสตรีเล่นว่าวทำตัวร้ายกาจไปแล้ว จะสอดมือเข้าไปในกลุ่มผมของเขาแล้วลูบไปข้างหลัง
สุดท้ายหยุดอยู่ที่หูของเขา
ฝ่ามือประคองแก้มครึ่งซีกของเขา นิ้วค่อยๆ ไล้ไปตามใบหูของเขาเบาๆ
ทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้จินเฉาโหย่วเยวี่ยรู้สึกทั้งชาทั้งอ่อนระทวยไปทั้งร่าง
คล้ายกับงูถูกเลาะข้อต่อหลุดออก
เพียงแต่ตอนที่เขาหลับตาอย่างสบายใจและเพลิดเพลินไปกับมัน กลับไม่เห็นรอยยิ้มชั่วร้ายและเลือดในดวงตาของสตรีเล่นว่าว
“พวกเจ้าตามหาข้ามานานเพียงนี้ เพียงเพื่อจะบอกข้าว่าอยู่ที่ผู้ใดก็เป็นของผู้นั้นหรือ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยนั่งลงและกล่าว
ตามด้วยดีดลูกคิด
ในที่สุดชายเป่าขลุ่ยก็ทนพลังกดดันมหาศาลนี้ไม่ไหวจนหมดสติไป
“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาวิถียุทธ์ของเจ้าไม่เคยถดถอย!”
“ไม่มีผู้ใดทำข้าเสียเวลา ย่อมตามหาสิ่งที่มีประโยชน์ทำ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“ฉะนั้นพวกเราจึงตามหาเจ้าอยู่นานแต่ก็ไม่พบ”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“หรือสิ่งที่ทำแล้วมีประโยชน์จะกลายเป็นการซุ่มเงียบเช่นนี้”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเลิกคิ้วแล้วย้อนถาม
“ไม่ใช่การซุ่มเงียบ แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็นเช่นนี้”
สตรีเล่นว่าวส่ายศีรษะและกล่าว
นางนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจินเฉาโหย่วเยวี่ย
“เกรงว่าพวกเจ้าลงมือตามหาตระกูลที่มั่งคั่งขึ้นทันตาอยู่ตลอดกระมัง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเอ่ยถาม
“ไม่ผิด! ดังนั้นเราอยู่ที่แม่น้ำจักรพรรดิมานานถึงหนึ่งปี คิดว่าหากเชงเม้งเจ้าไม่มา เทศกาลเรือมังกรย่อมต้องมา อย่างแย่ก็คงไม่รอดพ้นปีใหม่”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“คิดไม่ถึงว่าข้าจะรอดพ้นปีใหม่”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวพลางหัวเราะ
“ทั้งยังไม่ใช่เพียงปีใหม่เดียวเสียด้วย”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“ทว่าเจ้าสร้างหอจันทร์กระจ่างอยู่ที่นี่ ดังนั้นจะไปแม่น้ำจักรพรรดิหรือไม่ก็คงไม่ต่าง บุรุษล้วนเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ข้าคิดก็ยังถูกต้อง”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“หากบุรุษเหมือนกันหมด สตรีเช่นเจ้าคนเดียวก็เพียงพอ ไม่อาจมีเพิ่มเด็ดขาด”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“ทำไมเล่า ข้าไม่ดีหรือ”
สตรีเล่นว่าวยืนขึ้นกล่าว
แสร้งกระเซ้าเย้าแหย่อวดเรือนร่างอย่างตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง
“สตรีบางคนรู้จักเพียงขึ้นเตียง สตรีบางคนรู้เพียงเข้าครัว แต่ข้าทั้งขึ้นเตียงและเข้าครัวเป็น!”
สตรีเล่นว่าวกล่าวพร้อมรินสุราให้ตน
“ไม่เพียงขึ้นเตียงและเข้าครัวเป็น ยังร่ำสุราเก่งยิ่งกว่า”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวเสริม
สตรีเล่นว่าวได้ยินพลันหัวเราะ
แลบลิ้นเลียรอบปากจอกสุรา
ขณะเดียวกันดวงตาทั้งคู่ยังจ้องจินเฉาโหย่วเยวี่ยไม่ละสายตา
เพียงมองตรงสบตากับเขา
“ในเมื่อเจ้าบอกไม่แบ่ง เช่นนั้นก็ออกไปเสียเถิด หอจันทร์กระจ่างเป็นสถานที่ประโลมโลก เดิมก็ไม่เหมาะที่สตรีจะเทียวมา ไม่เหมือนโรงเตี๊ยมให้ผู้คนพักแรม”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“ถูกที่หอจันทร์กระจ่างหาใช่โรงเตี๊ยม และข้าก็เป็นสตรีจริงๆ แต่สหายเก่าพบหน้า เจ้าจะไม่ปฏิบัติตนในฐานะเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับแขกผู้มาเยือนหรือ”
สตรีเล่นว่าวดื่มสุราจนหมดจอกพลางกล่าว
“สุราอาหารอยู่ตรงหน้า มาดูว่าเจ้ากล้ากินหรือไม่”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งดื่มสุราไป”
สตรีเล่นว่าวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“เจ้าไม่กลัวในสุรามีพิษหรือ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวถาม
“ไม่มีพิษ”
สตรีเล่นว่าวส่ายศีรษะอย่างแรง
“เหตุใดจึงมั่นใจเพียงนี้”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“เพราะเจ้าทำใจไม่ได้อย่างไรเล่า”
สตรีเล่นว่าวกล่าวพลางหัวเราะ
กล่าวจบก็ยกตะเกียบคีบถั่วลิสงคั่วหนึ่งเม็ด
“ตอนที่ใส่ถั่วลิสงลงในน้ำมัน น้ำมันอุ่นไม่พอ ฉะนั้นด้านนอกกรอบแล้ว ด้านในก็ยังกรุบอยู่”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“แน่นอนว่าคั่วไม่อร่อยเท่าเจ้า”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
ประโยคนี้เขาไม่ได้โกหก
เพราะถั่วลิสงที่สตรีเล่นว่าวคั่วนั้นอร่อยจริงๆ
แม้ว่าถั่วลิสงจะไม่ใช่อาหารดีๆ ก็ตาม
แต่สิ่งที่นางทำมักจะทำให้คนหยุดกินไม่ได้
ทุกชิ้นล้วนเต็มคำ คั่วด้วยอุณหภูมิที่พอเหมาะ
เกลือที่เคลือบด้านบนก็สม่ำเสมอมากเช่นกัน
ตอนนั้นพวกเขาไม่มีเงินจัดโต๊ะงานเลี้ยงเช่นนี้
ทำได้เพียงอาศัยถั่วลิสงคั่วจานเล็กแกล้มสุราเท่านั้น
ทว่ารสชาติการดื่มด่ำสุรานั้น ไม่อาจใช้อาหารร้อยอย่างมาแลกได้
หากมีสิ่งใดที่จินเฉาโหย่วเยวี่ยหวนคิดถึงอดีตละก็
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่อาจลืมเลือนคงเป็นถั่วลิสงคั่วจานเล็กใต้ตะเกียงเดียวดายจานนั้น
“หากเจ้าอยากกิน ตอนนี้ข้าทำให้เจ้ากินได้”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“ข้าไม่กล้า”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“เหตุใดถึงไม่กล้าเล่า”
สตรีเล่นว่าวกล่าวพลางแย้มยิ้ม
“เพราะข้ากลัวเจ้าวางยาพิษ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
สตรีเล่นว่าวไม่กล่าวคำใดต่อ
แต่คีบถั่วลิสงขึ้นมาหนึ่งเม็ด จากนั้นกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะกลมเบาๆ
นางเดินผ่านช่องว่างระหว่างจานและเดินไปอยู่ตรงหน้าจินเฉาโหย่วเยวี่ย
โน้มตัวลงเอื้อมตะเกียบไปที่ข้างริมฝีปากของจินเฉาโหย่วเยวี่ย
หมายจะป้อนถั่วลิสงเม็ดนี้ให้เขากิน
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเอียงศีรษะเล็กน้อย
แต่ยังไม่อ้าปาก
“ทำไมเล่า ถั่วลิสงของเจ้าเองยังกลัวว่าจะมีพิษหรือ”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
ขณะเดียวกันมือซ้ายก็สอดเข้าไปในกลุ่มผมของจินเฉาโหย่วเยวี่ยอย่างอ่อนโยน
ผ่านไปทางด้านหลัง
ร่างกายจินเฉาโหย่วเยวี่ยเกร็งทั้งตัว
แต่กลับอ้าปาก กินถั่วลิสงที่สตรีเล่นว่าวคีบไว้บนตะเกียบ
…………………………………………..