ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 184 ดินแดนแห่งความเงียบสงัด-3
บทที่ 184 ดินแดนแห่งความเงียบสงัด-3
“อสรพิษตัวอื่นมีเจ็ดชุ่น แต่อสรพิษของข้าแตกต่างออกไป”
เด็กรับใช้เอ่ยขึ้น
เขาเห็นกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสกับโซ่เหล็ก แต่เขากลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
กระบี่และโซ่สัมผัสกัน
ในใจหลิวรุ่ยอิ่งเกิดความเศร้าขึ้นมากะทันหัน
ความเศร้านั้นถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่กลับแรงกล้าผิดปกติ
จนทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาชั่วขณะ
เขาเร่งรีบชักกระบี่กลับ
การชักกระบี่ออกนั้นง่าย ทว่าการชักกระบี่กลับนั้นยาก
ดูเหมือนปลายกระบี่จะติดอยู่บนโซ่เหล็ก ไม่สามารถขยับได้
อย่างไรก็ตาม รสชาติความเศร้าสลดนี้กลับส่งผ่านมาตามปลายกระบี่
คลื่นความเศร้าพัดผ่านมาแรงกล้ากว่าคลื่นที่แล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ แม้จะไม่มีเรื่องที่ทำให้รู้สึกสุขใจมากมาย
แต่หากคิดดีๆ ก็ไม่มีเรื่องที่ทำให้เศร้าเลย
ทว่าตอนนี้ เขากลับอ่อนไหวเริ่มรู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมา
นี่ไม่ใช่สภาพจิตใจและจิตวิญญาณที่คนฝึกวิถียุทธ์ควรจะมี
เขาเริ่มจากการรู้สึกเศร้าใจกับตนเอง
รู้สึกว่าตนโดดเดี่ยวและน่าสงสาร
เพราะเขาเกิดมาบนโลกนี้ก็เหมือนกับจอกแหนล่องลอยไร้ที่พึ่ง
ไร้ที่พึ่งพิง
ไม่มีที่มาที่ไป
ทั้งๆ ที่เขาไม่ค่อยมีความรู้สึกแปลกแยกต่อบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้วมากนัก
แต่ในยามนี้ เพราะเขาเกิดมากำพร้า จึงไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้
ต่อมาเขาก็รู้สึกว่างานสกปรกที่ทำในความมืดของกรมสอบสวนกลางไม่เหมาะกับตัวเขาจริงๆ
เหตุใดเขาต้องเกิดมาเป็นเช่นนี้
เหตุใดเขาไม่มีสิทธิ์เลือกเหมือนคนอื่นบ้าง
แม้ทางที่คนอื่นเดิน ส่วนใหญ่จะถูกบิดามารดาของพวกเขากำหนดไว้
แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังสามารถเลือกได้ว่าจะกินอะไรในมื้อกลางวัน
แม้แต่สิ่งนี้หลิวรุ่ยอิ่งก็เลือกไม่ได้
โรงอาหารของกรมสอบสวนกลางทำสิ่งใดก็ต้องกินสิ่งนั้น
ตัวเลือกเดียวที่มีคือจะกินหรือไม่กิน
หากกิน ก็นับว่ายอมจำนน
หากไม่กิน ก็จะหิว
ไม่ว่าจะเลือกทางไหน คนที่เสียเปรียบก็คือตัวเขาเอง
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกโศกเศร้า
‘ฟิ้วๆๆ!’
หลิวรุ่ยอิ่งเงยหน้าขึ้นมองวงแหวนที่ปลายโซ่
มันกำลังหมุนอย่างรวดเร็ว และเคลื่อนเข้าใกล้เขาเรื่อยๆ
ชั่วขณะหนึ่ง หลิวรุ่ยอิ่งถึงกับคิดอยากจะยื่นหัวเข้าไปในวงแหวนนั้น
ราวกับว่าถ้าเขาทำเช่นนั้น เขาจะได้รับการปลดปล่อยหลายอย่าง
ความทุกข์ทรมานที่มาพร้อมความเศร้านี้ ไม่ใช่ไม่เคยมีมาก่อน
เพียงแต่ทุกครั้งที่เขารู้สึกจิตใจไม่สงบ เขาก็มักจะหาคนมาสนทนาด้วย
……………………..
คืนนั้นฝนตกพรำๆ
เมื่อเซียวจิ่นข่านดื่มเหล้ามากไป เขามักจะกรนเสียงดัง
หลิวรุ่ยอิ่งที่ใจไม่สงบอยู่แล้ว ก็ถูกรบกวนจนนอนไม่หลับ
ทำอะไรไม่ได้
เขาสวมเสื้อผ้าลุกออกจากเตียง เดินไปที่บันไดตรงหน้าประตู และนั่งมองฝนตกพรำๆ อย่างสงบ
วันเวลาเหมือนกับหยดน้ำฝนนี้ ไม่เห็นร่องรอยแต่ก็ยังทิ้งรอยอยู่
เพียงแต่ไม่อาจทนต่อการคิดมากได้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่สามารถทนต่อการทบทวนความคิดซ้ำๆ ได้
หากไม่ใช่เพราะฝนตก เขาคงแอบเข้าไปในคอกม้าแน่นอน ไปหาชายชราเลี้ยงม้าผู้นั้นเพื่อพูดคุยด้วย
แม้ว่าจะเป็นเวลาดึกดื่นแล้ว
แต่เขารู้ว่าชายชราเลี้ยงม้าผู้นั้นยังไม่หลับ
ในตอนนั้นเอง ที่ปลายทางเดินด้านข้างปรากฏแสงรางๆ ขึ้น
มีคนถือตะเกียงเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนที่มาตรวจตรายามกลางคืน รีบร้อนจะกลับเข้าไปในห้อง
แต่กลับสะดุดล้มลงบนบันไดที่เปียกชุ่มด้วยน้ำฝนอย่างแรง
คนผู้นั้นเดินใกล้เข้ามา
และเมื่อเขามองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นชัดเจน ความตื่นตระหนกนั้นก็หายไปทันที
“กลางดึกเช่นนี้ เหตุใดต้องถือตะเกียงมาทำให้คนตกใจ”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดกับชายชราเลี้ยงม้าด้วยความไม่พอใจ
“กลางดึกเช่นนี้ เหตุใดถึงนั่งอยู่ที่ประตูไม่หลับไม่นอน”
ชายชราเลี้ยงม้าถามกลับ
และนั่งลงที่บันไดข้างๆ เขา
“นอนไม่หลับ ออกมาดูฝนสักหน่อย”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“ฝนมันมีอะไรน่าดู ทุกปีก็เหมือนเดิมไม่ใช่หรือ”
ชายชราเลี้ยงม้าพูดขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกไม่พอใจ
แต่เมื่ออ้าปากจะพูด กลับไม่มีคำใดเล็ดลอดออกมา
เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ได้มองฝน
เขาจึงไม่มีอะไรโต้ตอบชายชราเลี้ยงม้าได้
“ข้าอยากขี่ม้า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน
ชายชราเลี้ยงม้าเพิ่งจุดไฟกระบอกยาสูบ
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าควันไม่ได้กระจายไปรอบๆ เหมือนปกติ แต่กลับถูกหยดฝนตกกระทบจนตกลงบนพื้น
“ได้สิ”
ชายชราเลี้ยงม้าตอบ
เขาเคาะกระบอกยาสูบลงบนบันได
แต่เขาเพิ่งจะสูบไปเพียงคำเดียวเท่านั้น
หลิวรุ่ยอิ่งเบิกตากว้างมองไปยังชายชราเลี้ยงม้า
ไม่คิดว่าตนเพียงแค่พูดขึ้นมา เขาจะยอมตกลง
และยังไม่ลังเลเคาะยาสูบที่เพิ่งจุดไปออก
คืนนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งที่มีทักษะการขี่ม้าอย่างชำนาญกลับต้องอยู่ในสภาพย่ำแย่
แย่ถึงขนาดที่เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองล้มไปแล้วกี่ครั้ง
ดูเหมือนว่าการล้มที่บันไดหน้าประตูครั้งนั้นนำโชคร้ายมาให้เขา
คืนนี้ดูเหมือนจะเป็นคืนที่มีแต่โชคชะตาแห่งการล้มเท่านั้น
แม้ว่าทั้งตัวจะเปื้อนโคลน แต่ใจของเขากลับรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก
“เพราะฉะนั้นการมีชีวิตอยู่นั้นดีที่สุด!”
ขณะที่หลิวรุ่ยอิ่งกำลังจะหันหลังเดินออกจากคอกม้า ชายชราเลี้ยงม้าก็พูดขึ้นมากะทันหัน
“การมีชีวิตอยู่อย่างน้อยก็ยังขี่ม้าได้ ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงการล้มไม่ได้ หลีกไม่พ้นความอับอาย แต่ถ้าไม่มีชีวิตอยู่ แม้แต่สิทธิ์ที่จะอับอายก็ไม่มี”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าวต่อ
เขาเติมยาสูบเข้าไปในกระบอกจนเต็ม จากนั้นจุดไฟและเริ่มสูบอีกครั้ง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่ตอนนี้เขารู้สึกสบายใจมาก
คิดว่าพอกลับไปเขาคงจะนอนหลับสบายแน่นอน
เมื่อคนเราอารมณ์ดี สิ่งใดก็ดูน่ารักไปหมด
แม้แต่เสียงกรนของเซียวจิ่นข่านที่น่ารำคาญ ในหูของเขาก็เสมือนเสียงดนตรีที่ไพเราะ
เมื่อเดินออกจากคอกม้า ฝนก็หยุดตกแล้ว
……………………..
แต่ตอนนี้ ฝนกลับเริ่มตกลงมา
หลิวรุ่ยอิ่งมองดูฝนที่ค่อยๆ ทำให้เขาเปียกชุ่มไปทั้งตัว
คำพูดของชายชราเลี้ยงม้าในวันนั้นผุดขึ้นในหัวของเขา
ความเศร้าใจถูกขจัดไป
เพียงยกมือขึ้นเบาๆ ปลายกระบี่ก็หลุดออกจากพันธนาการของโซ่เหล็ก
เด็กรับใช้ผู้นั้นเห็นภาพนี้แล้ว สีหน้าดูเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย
หลิวรุ่ยอิ่งแค่ตวัดปลายกระบี่เบาๆ ก็สามารถแยกวงแหวนที่กำลังประชิดเข้ามานั้นได้
กระบี่นี้ เขาไม่ได้ใช้พลังใดๆ
เพราะความพิสดารของวงแหวนนั้นคือการใช้พลังของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นของตนเอง
ดังนั้นหลิวรุ่ยอิ่งจึงใช้แค่พลังกายเนื้อเพื่อดึงมันออก
คิดไม่ถึงว่าจะได้ผลอย่างน่าทึ่ง!
“บั่นเศียร เจ้าจะชักช้าอีกนานแค่ไหน”
“เหอะๆ…คาดว่าตอนฝนตกลงมาอีกครั้ง หัวนี้ก็คงยังไม่ขาด!”
มีเสียงหัวเราะเยาะสองครั้งดังมาจากด้านหลังของเด็กรับใช้
เงาร่างคนสองคนเดินออกมาจากม่านฝนอย่างช้าๆ
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นการแต่งกายของสองคนนี้เหมือนกับเด็กรับใช้
เขาคิดในใจรอบหนึ่งและเดาออกว่าพวกเขาเป็นใคร
“ห้ายอดดรุณของหอทรงภูมิมาถึงสามคนแล้ว หรือว่าสองคนที่เหลือคิดว่าข้าไม่มีคุณสมบัติพอจึงไม่ยอมมา”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หอทรงภูมิและหอทรงปัญญาได้รับการยกย่องให้เป็นบรมครูแห่งวรรณกรรมในใต้หล้า
ทว่าผู้คนมักจะเรียกขานหอทรงปัญญาว่า ‘ปรมาจารย์วรรณกรรมแห่งอุดร’ และยกย่องหอทรงภูมิเป็น ‘ปรมาจารย์วรรณกรรมแห่งทักษิณ’
การแบ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงตามตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เท่านั้น
แต่ยังรวมถึงวรรณศิลป์ที่แตกต่างกัน
หอทรงปัญญาตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ประชาชนมีนิสัยห้าวหาญ วรรณศิลป์จึงดูกล้าหาญและแข็งแกร่ง
หอทรงภูมิตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ประชาชนมีนิสัยอ่อนหวาน วรรณศิลป์จึงดูอ่อนโยนและเป็นมิตรมากกว่า
แต่ในความอ่อนโยนนั้นกลับซ่อนความร้ายกาจไว้
และห้ายอดดรุณนี้ก็คือตัวแทนของความร้ายกาจของหอทรงภูมิ
“สายตาไม่เลว!”
สองดรุณที่เพิ่งมาถึงกล่าวพร้อมกัน
“แต่พวกเราไม่ได้ดูถูกเจ้าหรอกนะ พวกเราแค่ไม่ไว้ใจเขาเท่านั้น!”
สองดรุณนั้นชี้ไปยังผู้ที่กำลังต่อสู้กับหลิวรุ่ยอิ่ง
“สู้มาครึ่งค่อนวัน แต่ไม่รู้เลยว่าเป็นดรุณบั่นเศียร”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“แล้วเจ้ารู้จักพวกเราสองคนหรือ”
สองดรุณน้อยที่มาใหม่ชี้จมูกตัวเองและเอ่ยถาม
“แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร แต่เจ้าทั้งสองต้องเป็นดรุณทลายพรรณและดรุณกระดูกเคลื่อน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ข้าคือดรุณทลายพรรณ!”
“ข้าคือดรุณกระดูกเคลื่อน!”
ทั้งสองคนเอ่ย
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
ถึงแม้เขาจะพูดด้วยท่าทีสบายๆ
แต่ในใจเขากลับรู้สึกหนักอึ้ง
‘แต่ที่ยากจะเอาชนะที่สุดอย่างดรุณต้านลมปราณและดรุณสกัดจุดไม่ได้มา ข้าคิดว่ายังคงมีพื้นที่ในการเจรจาอยู่’
หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ
ห้ายอดดรุณ นามแฝงของพวกเขานั้นแสดงถึงทักษะและฝีมือการต่อสู้ที่พวกเขาแต่ละคนมี
สำหรับดรุณบั่นเศียร ก็คือโซ่บั่นเศียรที่เขาถืออยู่ในมือเส้นนั้น
ราวกับงูเห่า สงบนิ่งและเย็นชา
วงแหวนด้านหน้าของโซ่เหล็ก มักจะคล้องคอศัตรูได้โดยไม่ทันตั้งตัว
เพียงแค่ดึงเบาๆ
หัวเป็นๆ ก็จะร่วงหล่นลงสู่พื้น
นอกจากนี้
ห้ายอดดรุณยังสอดคล้องกับห้าอารมณ์ที่ทำลายล้างจิตใจของมนุษย์
คือ ความเศร้า ความโกรธ ความกลัว ความวิตกกังวล และความผิดหวัง
ดรุณบั่นเศียรนั้นสอดคล้องกับ ‘ความเศร้า’
นี่ก็คือเหตุผลที่จิตใจของหลิวรุ่ยอิ่งเปลี่ยนแปลงไปเมื่อครู่นี้
“จะลงมือพร้อมกันสามคนหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยอย่างกล้าหาญ
“ไม่ๆๆ เรื่องของใครก็จัดการเอง เจ้าคือคนที่เขาต้องการฆ่า พวกเราไม่คิดจะแทรกแซง แต่ถ้าเขาทำไม่ได้ หรือเรียกให้พวกเราช่วย นั่นก็เป็นอีกเรื่องแล้ว!”
ดรุณทลายพรรณกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
เบญจลักขีของหอทรงปัญญา พี่น้องท้องเดียวกัน
มีสุขร่วมสุข มีทุกข์ร่วมทุกข์
เขาคิดไม่ถึงว่าห้ายอดดรุณของหอหอทรงภูมิจะทำลายกันเองเช่นนี้
แต่นั่นกลับทำให้หลิวรุ่ยอิ่งสามารถรับมือได้ง่ายขึ้น
แม้ว่าตอนนี้ฝนกำลังตก
แต่กลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิคราวนี้ กลับเข้มข้นยิ่งกว่าที่ผ่านมา
ดรุณบั่นเศียรเห็นเพื่อนของเขามาถึง
ก็เริ่มยับยั้งชั่งใจ
ไม่ได้ทำตามอำเภอใจเหมือนที่ผ่านมา
เพราะไม่ว่าเป็นใครล้วนไม่อยากทำตัวน่าอายต่อหน้าคนของตัวเอง
เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกอับอายเมื่อเสียหน้าต่อคู่ต่อสู้
แต่หากเป็นต่อหน้าพวกเดียวกันเองละก็ มีโอกาสที่จะถูกพวกเขาหัวเราะเยาะนานเกินกว่าสิบปี
หลิวรุ่ยอิ่งยืนอยู่เงียบๆ
เขาเห็นว่าหญ้าบนพื้นที่ทั้งคู่ต่อสู้กันก่อนหน้านี้ถูกกดทับจนเป็นทางเดินเล็กๆ
ทางนี้ไม่ได้ยาว
แต่มันกลับคดเคี้ยวผิดปกติ
แม้ว่าจะไม่ยาว
แต่คนทั้งห้ารู้ว่าปลายทางของมันคือที่ใด
เพราะการต่อสู้ยังไม่จบ
หรืออาจจะพูดได้ว่ามันเพิ่งจะเริ่ม
เพียงแต่หญ้าที่ถูกทับนั้น เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้ว
ดูเผินๆ ราวกับว่าสารทฤดูมาเยือนแล้ว
ระหว่างทั้งสองคนนั้น ช่างแตกต่างกันอย่างชัดเจน
หลิวรุ่ยอิ่งยกกระบี่ขึ้น
สายตาเขาอยู่ระดับเดียวกับกระบี่ในมือ
เมื่อนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาตลอดทาง เขายกยิ้มน้อยๆ
ที่จริงหากดรุณต้านลมปราณและดรุณสกัดจุดปรากฏตัวที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
พวกเขาไม่รู้ว่าภายในกายของหลิวรุ่ยอิ่งนั้นไม่ใช่เส้นลมปราณ จุดลมปราณ หรือแม้กระทั่งจุดในระบบปกติอีกต่อไป
หลังจากที่พลังอินหยางสองขั้วสลายไป วิชาลึกลับอย่างธรรมลักษณ์บรมครูก็มาแทนที่ทั้งหมด
จะว่าไปแล้ว สิ่งที่เป็นภัยคุกคามใหญ่ที่สุดต่อหลิวรุ่ยอิ่งในตอนนี้ กลับเป็นดรุณทลายพรรณที่ยืนมองเป็นผู้ชมอยู่ด้านข้าง โดยไม่เข้ามาผสมโรง
เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้พิษ
ใช้ลมปราณบ่มเพาะทรายพิษที่อินหยางสองขั้วในร่างกาย
แตะต้องเพียงเล็กน้อย ผิวหนังก็จะแตกร้าวทีละนิด ตามด้วยเลือดเนื้อเปื่อยยุ่ยจนสูญสิ้นชีวิต
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจด้านการใช้พิษมากนัก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเชี่ยวชาญ
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าพิษที่ติดอยู่บนลูกดอกของดรุณบั่นเศียรนั้น เป็นฝีมือการปรุงพิษของดรุณทลายพรรณ
……………………………………………………….