ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 179 เมื่อใจสงบ ปัญหาจะคลี่คลาย-6
บทที่ 179 เมื่อใจสงบ ปัญหาจะคลี่คลาย-6
เขายังคงนึกไม่ออกว่ามีเรื่องอะไรที่เขาต้องยอมรับผลของการเดิมพัน
แต่เมื่อเสิ่นชิงชิวพูดเช่นนั้น ย่อมต้องมีอยู่แน่นอน
เสิ่นชิงชิวไม่เคยคำนวณหาผลประโยชน์และไม่เคยหลอกลวงใคร
นี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ใช่ว่าเขาทำไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่อยากทำ
เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าการคำนวณนั้นยุ่งยากเกินไป
หากการไม่คำนวณหมายถึงการได้ใช้ชีวิตธรรมดา เขาก็จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย
หากไม่โกหกแล้วไม่สามารถได้รับประโยชน์ใดๆ เขาก็จะใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก
“ข้ารู้ว่าเจ้าลืมไปแล้ว”
เสิ่นชิงชิวเอ่ยขึ้น
“ข้าลืมไปแล้วจริงๆ…ขอโทษนะ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวอย่างจริงจังพร้อมกับโค้งคำนับ
เสิ่นชิงชิวเอนตัวเล็กน้อยเพื่อหลบการโค้งคำนับนั้น
“ลืมไปแล้วก็ไม่เป็นไร ขอแค่เจ้ายอมรับก็พอ”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย
“ทุกอย่างที่เจ้าพูด ข้ายอมรับทั้งหมด แม้ว่าข้าจะลืมไปแล้ว ข้าก็ยอมรับ”
เสิ่นชิงชิวพยักหน้า
“เริ่มกันเถอะ!”
ชั่วขณะ
ความทรงจำช่วงหนึ่งราวกับกระแสคลื่นไหลทะลักเข้ามาในหัวของเขา
ยิ่งเป็นความทรงจำที่รุนแรงเท่าไร ยิ่งทำให้ปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น
เสิ่นชิงชิวก็ไม่รีบร้อนเช่นกัน
ยืนมือไพล่หลังเงียบๆ รอให้ตี๋เหว่ยไท่จัดการความคิด
“ได้!”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
แม้แต่เขาก็ไม่สามารถทำให้ความทรงจำที่ซับซ้อนนี้ชัดเจนขึ้นได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ
ดังนั้นเขาจึงข้ามไปที่ส่วนท้ายเพื่อดูผลลัพธ์
ผลลัพธ์ก็คือ เขากับเสิ่นชิงชิวตกลงนัดหมายสู้กันมานานแล้ว
การต่อสู้นี้จะเกิดขึ้นเมื่อเสิ่นชิงเชียวออกจากหอทรงปัญญา ซึ่งก็คือตอนนี้
ไม่ว่าชนะหรือแพ้ จะไม่มีการวางเดิมพัน
เสิ่นชิงชิวต่อสู้เสร็จจะออกเดินทางทันที
ตี๋เหว่ยไท่ยังคงทำหน้าที่เป็นประมุขหอทรงปัญญาต่อไป
เพียงแต่หลังจากนั้น ทั้งสองจะกลายเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีวันรู้จักกันโดยสิ้นเชิง
แม้จะพานพบก็เหมือนไม่เคยรู้จักกัน
“รออีกสักสองสามวันได้หรือไม่”
ตี๋เหว่ยไท่หยุดเดินกะทันหันและเอ่ยถาม
“ไม่ว่าจะมากหรือน้อยสักกี่วันก็ไม่ต่างกัน ทั้งยังไม่สามารถทำให้เราทั้งคู่รู้สึกสบายขึ้นได้”
เสิ่นชิงชิวตอบ
คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ตี๋เหว่ยไท่ ก็ไม่สามารถตัดสินใจเด็ดขาดได้ในเวลานี้
การร่ำลากันเป็นเรื่องที่ทำให้คนลังเลอยู่แล้ว
หลายคนมักจะพูดคำพูดที่เป็นทางการ
อย่างเช่น สักวันคงมีโอกาสได้มาพบกันอีก มีจากก็ต้องมีพบ
สำหรับคนอื่นๆ แล้ว
การอำลาอาจจะหมายถึงเพื่อพบกันครั้งต่อไป
เพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันยาวนานขึ้นในครั้งถัดไป อย่าเสียใจกับการจากลาในช่วงสั้นๆ
หากความรักยั่งยืนนาน ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันทุกเช้าทุกเย็น
แม้แต่ความชอบของบุรุษและความรักของสตรีก็ยังเป็นเช่นนี้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมิตรภาพระหว่างเพื่อน
แต่ตี๋เหว่ยไท่รู้ว่า
การจากลาของเขากับเสิ่นชิงชิวคือการจากลาโดยสิ้นเชิง
ในชาติหน้าภพหน้าไม่มีใครที่สามารถพูดได้แน่ชัด
แต่ในชาตินี้ เกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เสิ่นชิงชิวเองก็ไม่ต้องการพบตนอีก
แม้ตนจะคาดหวัง คิดถึง และไปตามหาเขา
แต่ตราบใดที่เสิ่นชิงชิวตั้งใจจะหลบหนี อยู่ห่างตนออกไปเรื่อยๆ
แม้ว่าเขาจะเป็นประมุขหอทรงปัญญาก็ไม่สามารถพบกับเสิ่นชิงชิวได้
ตี๋เหว่ยไท่รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารอยู่บ้าง
และรู้สึกว่าตัวเองช่างน่าขัน
จริงๆ แล้วเขาทั้งน่าสงสารและน่าขัน
แต่ความน่าขันมีน้อยกว่าความน่าสงสาร
เขาเขียนบทประพันธ์อมตะไว้มากมาย
บทประพันธ์อมตะเหล่านี้สามารถกล่าวได้ว่ารวบรวมหลักการและความงามอันบริสุทธิ์ของโลก
แต่หลักการเหล่านี้ เขาไม่เคยนำมาใช้ในชีวิตจริงสักข้อเดียว
ความงามเหล่านั้น เขาก็ไม่เคยมีเลยสักอย่าง
พระเจ้ายังคงยุติธรรมเสมอ
คนคนหนึ่งยิ่งพยายามเขียนหนังสือเกี่ยวกับสิ่งใดอย่างจริงจัง เขาก็จะยิ่งห่างไกลจากสิ่งเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ในหนังสือและบทประพันธ์ของตี๋เหว่ยไท่ เน้นย้ำความสำคัญของมิตรภาพและความซื่อสัตย์สำหรับมนุษย์มากกว่าหนึ่งครั้ง
แต่เขาไม่เคยมีมิตรภาพที่ล้ำค่า และเขาก็ไม่ใช่คนที่มีความซื่อสัตย์
หากพูดถึงในอดีต เพราะถูกกดขี่จากเก้าตระกูล ไม่อาจทำตามใจตนเองได้ มันก็ยังพอให้อภัยได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังนั้น แม้แต่เขาเองก็ไม่สามารถหาข้ออ้างมาปกปิดได้
มันก็แค่การคำนวณเท่านั้นเอง
แล้วการคำนวณนี้มีความหมายอย่างไรกันแน่
เขาเองก็ไม่รู้
ตี๋เหว่ยไท่เพียงนึกถึงทุกความเป็นไปได้ แล้วเลือกสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
จากนั้นดำเนินการตามสิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นนั้น และป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น
เขากล่าวว่านี่คือการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
แต่เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า ถ้ามันยังไม่เกิดขึ้น เหตุใดต้องกันไว้ก่อน
ในเรื่องนี้ทั้งสองฝ่ายต่างพูดและกระทำคนละทาง
ตี๋เหว่ยไท่สุดขั้วเกินไป
ส่วนเสิ่นชิงชิวก็อิสระเสรีมากเกินไป
หากทั้งคู่สามารถปรับลดความต่างให้เข้ากันได้ คงสามารถจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้สมบูรณ์มากขึ้น
แต่หนุ่มน้อยที่มีความร่าเริงนั้น มีอคติมากเกินไป ไม่เคยคำนึงถึงตนเองเลย
หนุ่มน้อยที่เก็บตัว มีความภาคภูมิใจในตัวเองสูงมาก ไม่เคยยอมก้มหัวหรือคุกเข่า
เมื่อมีการแบ่งแยกเกิดขึ้น มันจะเพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
จากรอยแยกเล็กๆ ค่อยๆ กลายเป็นหุบเหวของความแตกแยกที่ใหญ่ขึ้นตามเวลาที่ล่วงเลย
…………………
ที่ประตูทางเข้าของที่เก็บบันทึก
หลิวรุ่ยอิ่งยังยืนเหม่ออยู่
เพราะเขาไม่มีจุดหมายสำหรับสถานที่ต่อไป
ชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่รู้เลยจริงๆว่าตนควรทำอย่างไรต่อ
“กลับไปก่อนดีหรือไม่ สหายของเจ้ายังอยู่ในบ้าน”
ทังจงซงเอ่ยขึ้น
หลิวรุ่ยิ่งตบศีรษะตัวเองหนึ่งฉาด!
นึกถึงเจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลที่ยังคอยอยู่ที่พักของตน ในใจก็รู้สึกรีบร้อน
“เช่นนั้นก็กลับก่อนเถอะ ทางสายนี้ขาดไปแล้ว คงต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง…”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดอย่างหมดหวัง
“อย่าเพิ่งกลับไป!”
ในขณะที่ทั้งสี่กำลังจะออกไป
จู่ๆ เซียวจิ่นข่านก็เดินออกมาจากที่พักบนเนินเขาแล้วพูด
“หืม? เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นเซียวจิ่นข่านอยู่ที่นี่
“ข้ามารับพวกเจ้า”
เซียวจิ่นข่านเอ่ย
“มารับพวกเรา? ฮ่าๆ เจ้ากลัวว่าพวกเราจะหลงทางหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะพลางเอ่ย
“ไม่ถึงกับหลงทางหรอก แม้ว่าข้าจะตาบอด แต่ข้าก็ยังกลัวว่าพวกเจ้าจะเดินผิดทาง”
เซียวจิ่นข่านเอ่ยขึ้น
“เจ้าจะรับพวกเราไปที่ไหน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เขาปรับสีหน้าชั่วครู่
เมื่อเซียวจิ่นข่านพูดเช่นนี้ แสดงว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน
“ไม่ไปที่ไหนทั้งนั้น แค่นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่นานหรอก ไม่เสียเวลาอะไรด้วย”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินนำทุกคนไปยังที่พักบนเนินเขา
พอเลี้ยวผ่านหัวมุม หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าที่นี่มีโต๊ะเล็กๆ วางอยู่ไม่กี่ตัว
แต่ละโต๊ะยังมีเก้าอี้เล็กๆ อีกสี่ตัวด้วย
เพียงแต่โต๊ะนี้เล็กและต่ำมาก
ฉะนั้นเก้าอี้ก็จะเล็กและต่ำมากเช่นกัน
การนั่งบนนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากนั่งกับพื้น
“พวกเราจะนั่งอยู่ที่นี่กันเช่นนี้หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเซียวจิ่นข่านย่อมมีเหตุผลบางอย่าง
แต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเซียวจิ่นข่านไม่ให้พวกเขากลับไป แต่กลับให้นั่งอยู่ที่นี่
“เจ้าอยากดูหรือไม่ล่ะ”
เซียวจิ่นข่านโน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยถาม
“ดูอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งถามกลับ
มองไปรอบๆ เหลียวซ้ายแลขวาสักพักหนึ่ง แต่ไม่เห็นมีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้น
เซียวจิ่นข่านนิ่งเงียบ
เวลานี้เขายื่นมือออกไป จิ้มเบาๆ ที่หน้าผากของหลิวรุ่ยอิ่ง
“นี่คือ?”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นภาพที่ปรากฏตรงหน้า ทันใดนั้นก็ตกใจจนพูดไม่ออก
“ชู่ว! การดูหมากโดยไม่พูดถือเป็นสุภาพบุรุษ!”
เซียวจิ่นข่านเอ่ยขึ้น
ถึงแม้ว่าในใจหลิวรุ่ยอิ่งจะยังรู้สึกตกใจ แต่ก็ปิดปากเงียบสนิทอย่างว่าง่าย ไม่ทอดถอนใจแม้แต่คำเดียว
“เจ้าก่อนหรือว่าข้าก่อน”
เบื้องหน้าหลิวรุ่ยอิ่งมองเห็นตี๋เหว่ยไท่และเสิ่นชิงชิวยืนประจันหน้าเข้าหากัน
เสิ่นชิงชิวงมือไพล่หลัง เอ่ยถามตี๋เหว่ยไท่อย่างใจเย็น
“สำหรับเราทั้งคู่แล้ว ยังต้องมีพิธีรีตองก่อนหลังด้วยหรือ”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ย
ดูเหมือนว่าการต่อสู้ในวันนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว
เสิ่นชิงชิวตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะออกไปทันที
“มีเหตุผล พวกเราไม่จำเป็นต้องลงมือก่อนเพื่อคว้าโอกาสในชั่วพริบตานั้นหรอก”
เสิ่นชิงชิวเอ่ยตอบ
“ข้าว่าลงมือพร้อมกันเป็นอย่างไร”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ยขึ้น
“ก็ดี ลงมือพร้อมกัน”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย
“เพียงกระบวนท่าเดียวเป็นอย่างไร”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ยขึ้น
“ได้ แค่กระบวนท่าเดียว”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย
เขายกแขนขวาขึ้นสูงและชี้เป็นกระบี่
เห็นได้ชัดว่ามีเพียงสองนิ้ว แต่รู้สึกราวกับมีสามพันนิ้ว
“ข้าใช้ดรรชนีกระบี่สามพัน!”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย
ตี๋เหว่ยไท่ก็ยกแขนขวาขึ้นสูง
แต่เขายื่นนิ้วชี้ออกมาเพียงนิ้วเดียว ใช้นิ้วเป็นพู่กัน
“ข้าใช้วิชาพู่กันวสันตสารท”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ย
……………………………………………………………………..