ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 168 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-7
บทที่ 168 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-7
เป็นจริงดังคาด
หมากบินของคนประหลาดพันผ้าผู้นี้ไม่สนใจส่วนหน้าอกที่โอวเสี่ยวเอ๋อเปิดออกเหมือนเปิดหน้าต่าง
กลับซัดสูงขึ้นไปเหนือหัว ปะทะกับกระบี่ชงโคที่นางชูสูงขึ้น
โอวเสี่ยวเอ๋อไม่ได้หันคมของกระบี่ชงโคไปข้างหน้า
หากใช้ระนาบของตัวกระบี่เข้าต้าน
ในเวลานี้เอง ลำแสงหนึ่งก็สาดส่องเข้ามาตรงหน้าต่างที่โอวเสี่ยวเอ๋อทำแตกเมื่อครู่นี้
และส่องเข้ามายังตัวกระบี่ของกระบี่ชงโค
โอวเสี่ยวเอ๋อเอียงกระบี่เล็กน้อย
แสงแดดกระทบกับตัวกระบี่และสะท้อนเข้าที่ดวงตาของคนประหลาดพันผ้า
ลำแสงแรงกล้าแสบตา
แม้คนประหลาดพันผ้าจะไม่ได้เอื้อมมือมากันไว้ แต่ก็ยังเอียงหัวหลบไปเล็กน้อย
เวลาเพียงชั่วพริบตานี้
ก็เพียงพอสำหรับโอวเสี่ยวเอ๋อแล้ว
เพราะเขาเอียงหัวหลบแสงแดดจ้า หมากบินเม็ดต่อมาจึงล่าช้าไปเสี้ยวหนึ่ง
โอวเสี่ยวเอ๋อคว้าโอกาสนี้
รีบก้าวเข้าไปสองสามก้าว
กระชับระยะห่างระหว่างคนประหลาดพันผ้าให้สั้นลง
วิธีโต้กลับอาวุธลับหมากบินนี้ การทำให้ระยะห่างสั้นลงคือภารกิจที่สำคัญที่สุด
ยามจิ่วซานปั้นประมือกับเหลี่ยงเฟิน เขาก็เข้าใจหลักการนี้
โอวเสี่ยวเอ๋อเป็นถึง ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอวย่อมเข้าใจหลักการนี้เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีกระบี่ชงโคก็เป็นกระบี่สั้น
เมื่อคนทั้งสองอยู่ห่างกันเกินไป ย่อมไม่อาจแสดงความสามารถของกระบี่ออกมาได้เต็มที่
นับแต่กระบี่ชงโคเล่มนี้มาอยู่ในมือของโอวเสี่ยวเอ๋อ นางก็เริ่มฝึกฝนเพลงกระบี่ชงโคที่มาพร้อมกับกระบี่ชงโค
หัวใจหลักของเพลงกระบี่ชงโคคือต้องอยู่ในอินหยางสองขั้ว ใช้พลังปราณหลอมให้เกิดดอกชงโคหนึ่งดอก
ดอกชงโค
แม้ไม่ใช่บุปผาแห่งรัก[1]แต่กลับหนือกว่าดอกลำโพงม่วงสีขาว
เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่มั่นคงไม่เปลี่ยน
ผลของมันมีพิษ
ซึ่งก็เหมือนกับกระบี่นี้
ยามจับกระบี่ขึ้นมา จะโดนพิษของกระบี่
ยามชักกระบี่ออกมา คือตอนที่พิษนี้ออกฤทธิ์
เพียงแต่ ‘พิษ’ นี้ เมื่อมันออกฤทธิ์แล้ว หากไม่ทำให้ศัตรูตาย ก็จะทำให้ตนเองต้องตาย
ความจริงแล้ว กระบี่ชงโคเดิมทีไม่ได้ชื่อว่ากระบี่ชงโค
จวบจนโอวหย่าหมิงขึ้นรับตำแหน่ง กระบี่ชงโคจึงได้เปลี่ยนชื่อ
โอวหย่าหมิงคือ ‘บุตรแห่งกระบี่’ กระบี่ของเขาก็มีนามว่าบุตรแห่งกระบี่เช่นกัน
ฉะนั้น เดิมทีแล้วกระบี่ของ ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอวจึงมีนามว่าแก่นกระบี่
แล้วเหตุใดโอวหย่าหมิงจึงเปลี่ยน ‘แก่นกระบี่’ เป็นกระบี่ชงโคเล่า?
ประเด็นนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
โอวหย่าหมิงเองก็ไม่เคยเอ่ยปากอธิบาย
ทว่า ในเมื่อผู้นำตระกูลตัดสินใจเช่นนี้ ซ้ำยังเพียงแค่เปลี่ยนนามเท่านั้น
จึงไม่มีใครไปสืบเสาะ
แต่โอวเสี่ยวเอ๋อไม่เหมือนผู้อื่น
แม้ภายนอกนางจะห้าวหาญยิ่งกว่าบุรุษ
แต่ภายในใจนางกลับอ่อนโยนน่ารักยิ่งกว่าเหล่าคุณหนูมีตระกูลมากนัก
ไม่ว่าเรื่องใดนางมักชอบเจาะลึกให้ถึงราก
หากไม่มีคนให้ถาม
นางก็จะเอาผ้าห่มคลุมหัวพยายามคิดเองสุดกำลัง
เมื่อคิดไม่ออกก็จะไม่กินไม่ดื่ม
จนกว่าจะคิดออก
แต่เหตุใดกระบี่ชงโคจึงเรียกขานว่า ‘ชงโค’
ถึงตอนนี้นางกลับคิดออกเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นวันที่ได้พบกับโอวฉูในการซ้อมยุทธของตี๋เหว่ยไท่คืนนั้น โอวฉูเป็นคนบอกนาง
“เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดต้องเปลี่ยนนาม ‘แก่นกระบี่’ เป็นชงโค”
โอวฉูถาม
“ข้าไม่รู้ ข้าเคยคิดมานาน แต่ก็คิดไม่ออก”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
“พอคิดไม่ออกก็ไม่คิดเสียแล้วหรือ เจ้าเปลี่ยนไปมากทีเดียว”
โอวฉูกล่าว
“ข้าไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแต่หากยังคงคิดเรื่องนี้ต่อไป ข้าก็จะต้องหิว และถ้าหิวตาย เช่นนั้นก็จะไม่มีโอกาสคิดออกตลอดไป”
โอวเสี่ยวเอ๋อเอ่ยอย่างขัดเขิน
“ไม่ผิด…ไม่ว่าเป็นเวลาใด การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะต้องถูกรังแกเท่าไร ถูกโจมตีเพียงใด ขอเพียงมีชีวิตอยู่ก็จะมีหวังให้เปลี่ยนแปลงได้ พลิกฟื้นตัวได้ เรื่องคิดหาคำตอบก็เช่นกัน”
โอวฉูกล่าว
โอวเสี่ยวเอ๋อพยักหน้า
นางไม่รู้ว่าควรกล่าวสิ่งใด
เพราะเวลานี้โอวฉูไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว
ไม่ใช่พี่ชายคนโตที่เป็นกันเองผู้นั้น และไม่ใช่อาจารย์สอนกระบี่ที่เก่งกาจที่สุดแห่งตระกูลโอวผู้นั้น
เขาเป็นผู้ทรยศตระกูลโอว เป็นศัตรูของตระกูลโอว
ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตน
หากจะบอกว่าเปลี่ยนไป
บางทีคนที่เปลี่ยนไปคือเขาต่างหาก
“เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงเปลี่ยนนามเป็น ‘ชงโค’”
โอวเสี่ยวเอ๋อถาม
“เจ้ารู้ว่าดอกชงโคเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใดหรือไม่”
โอวฉูย้อนถาม
“รู้สิ คือความรักที่มั่งคงไม่แปรผัน”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
“เช่นนั้นเจ้ารู้จักความรักหรือไม่”
โอวฉูถามต่อ
โอวเสี่ยวเอ๋อหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
คนกล้าได้กล้าเสียเช่นนาง ยามถูกถามด้วยคำถามเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัลก็ยังรู้สึกเขินอายอยู่เช่นกัน
นางเองก็มีชั่วยามที่มีความรัก
ในใจนางมีชายที่ชื่นชม
เพียงแต่นางไม่รู้จักความรักจริงๆ
ชื่นชมไม่ใช่รัก
นั่นเป็นเพียงแรงดึงดูดอย่างหนึ่งที่มาจากความเลื่อมใส
หากตัดข้อดีต่างๆ ที่ทำให้นางรู้สึกเสื่อมใสออกไป คนที่นางชื่นชมก็ไม่ต่างอะไรกับคนเดินถนนทั่วไป
พื้นฐานของความรักคือการยอมรับ
ไม่ว่าดีชั่วมีข้อด่างพร้อยล้วนสามารถยอมรับได้
เมื่อคนผู้หนึ่งยืนอยู่ภายใต้รัศมีที่แผ่กล้า
ยามแสงของรัศมีแผ่ไปนับพันจั้ง ย่อมมีผู้ชื่นชมมากมาย
มีเพียงในยามที่รัศมีหดหายไป
แต่ยังคงเฝ้าคะนึงถึงทุกอริยาบถ ทุกสีหน้าอาการ และยังคงชื่นชมทั้งหมดนั้น
จึงจะเป็นความรัก
จนทุกวันนี้ โอวเสี่ยวเอ๋อยังไม่พบคนที่ทำให้นางเป็นเช่นนั้นเลย
ฉะนั้น นางจึงยังไม่รู้จักความรัก
“ความรักเป็นสิ่งที่อ่อนโยนที่สุดในแดนมนุษย์ แต่กระบี่กลับตรงข้าม มันแหลมคมที่สุด กระบี่และความรักจึงนับเป็นปลายสุดของสองสิ่ง”
โอวฉูกล่าว
โอวเสี่ยวเอ๋อพยักหน้า
นางกลับฟังประโยคนี้เข้าใจ
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเข้าใจด้วยว่าสองสิ่งนี้อยู่กันคนละฝั่ง สิ่งที่อยู่สุดขั้วทั้งสองนี้จะไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
“ฉะนั้น หากไม่ใช้กระบี่ที่คมกริบที่สุดในมือเจ้าไปตัดความอ่อนโยนให้ขาดสะบั้น เช่นนั้นก็จงวางกระบี่ลงแล้วโผเข้าหาความอ่อนโยนทั้งกายและใจ นี่คือความหมายแฝงของคำว่า ‘ชงโค’ ในนามของกระบี่ชงโค”
โอวฉูกล่าว
โอวเสี่ยวเอ๋อนิ่งเหม่อไปทันใด
นางก้มหน้าลงมองกระบี่ชงโคของตน
ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ากระบี่ที่ทั้งสั้นและคล่องแคล่วตลอดมาเล่มนี้ กลับหนักขึ้นมาผิดปกติ
อ่อนโยนและคมกริบ
คนทั่วไปย่อมอยากเลือกความอ่อนโยน
เช่นเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง ยามนั่งก็มักคุ้นเคยกับการเอาเบาะนุ่มๆ มาวางข้างบน
ไม่ใช่เพื่อตกแต่ง แต่เพียงเพราะยามนั่งลงไปจะทำให้สบายยิ่งขึ้นก็เท่านั้น
ความอ่อนโยนมักทำให้คนรู้สึกสบาย
ความคมกริบมักทำให้คนยากลำบาก
‘แก่นกระบี่’ คนอื่นแห่งตระกูลโอวจะอยู่ในฐานะใด โอวเสี่ยวเอ๋อไม่รู้ชัด
แต่กระบี่ชงโคเล่มนี้ของนางเคยสังหารไก่ เชือดแกะและเคยแทงคนมาแล้ว
ทุกครั้งที่นางใช้กระบี่ ความอ่อนโยนจะเสื่อมถอยไปทีละน้อยจนหมดสิ้น
เหลือเพียงสายใยไม่กี่เส้นสุดท้ายที่พันมัดอยู่กับตัวกระบี่
มิตรภาพ ความรัก สายใยครอบครัว
เรื่องละหนึ่งเส้น
สายใยทั้งสามเส้นถักทอเข้าด้วยกัน ยากแยกจากกัน
หากแม้แต่สายใยทั้งสามเส้นนี้ยังขาดสะบั้นไปสิ้นแล้ว เช่นนั้นโอวเสี่ยวเอ๋อก็จะไม่ใช่ตนเองอีกต่อไป
หรือว่าเมื่อต้องการเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า ก็จำเป็นต้องกลายเป็นผู้ที่ไร้ความรู้สึก กระทั่งไร้ความเป็นตนเองเช่นนั้นหรือ
นับตั้งแต่โอวฉูบอกสิ่งเหล่านี้กับนาง โอวเสี่ยวเอ๋อก็ยิ่งตกอยู่ในความฉงนที่ลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม
ตอนนางไปคารวะโอวหย่าหมิงเช้าวันนี้ มีหลายครั้งที่อยากสอบถามเรื่องนี้ให้กระจ่าง
โอวหย่าหมิงเองก็คล้ายมองท่าทีกระวนกระวายและลังเลของนางออกเช่นกัน
จึงกล่าวกับนางไปประโยคหนึ่งว่า
“กระบี่อยู่ในมือเจ้า ยามใดควรชักกระบี่ ยามใดควรสังหารคนล้วนแล้วแต่เจ้ากำหนด ชักกระบี่เพื่อผู้ใด สังหารคนด้วยเป้าหมายใด ล้วนแล้วแต่เจ้ากำหนด”
คำพูดประโยคนี้คลุมเครือเป็นที่สุด
สำหรับโอวเสี่ยวเอ๋อแล้วเท่ากับไม่ได้พูดสิ่งใดเลย
เพราะสิ่งที่นางต้องการก็คือคำตอบที่ชัดเจน
แต่แล้วสิ่งที่โอวหย่าหมิงบอกนาง กลับยังคงทำให้นางต้องอาศัยแรงของตนคิดต่อให้ออก
แต่ในยามนี้
โอวเสี่ยวเอ๋อเข้าใจถ้อยคำของโอวหย่าหมิงลึกซึ้งขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง
เพราะสาเหตุที่นางชักกระบี่ออกมาในยามนี้ก็เพื่อมิตรภาพ
เป้าหมายเพื่อปกป้องหลิวรุ่ยอิ่งผู้เป็นสหาย
สายใยนี้ตัดไม่ขาด
แม้ว่าการมีตัวตนอยู่ของสายใยจะทำให้กระบี่ไม่บริสุทธิ์เท่าไร
แต่ก็เพราะความไม่บริสุทธิ์นี่เอง ที่ทำให้ใจนางอ่อนโยนและในขณะเดียวกันก็ยังไม่สูญเสียความคมกริบไป
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา โอวเสี่ยวเอ๋อล้วนใช้กระบี่เพื่อตนเอง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางทำเพื่อผู้อื่น
อธิบายไม่ได้ว่ามีความรู้สึกต่างกันอย่างไร
ทว่านับแต่นี้ไปบนกระบี่ของนางจะมีความรับผิดชอบและการปกป้องเพิ่มขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง
หากโอวหย่าหมิงเห็นจะต้องยินดีอย่างยิ่ง
เพราะในที่สุดแล้วโอวเสี่ยวเอ๋อก็ได้เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบ
…………………..
เพลงกระบี่ชงโคมีทั้งสิ้นเจ็ดขั้น
แบ่งออกเป็น มีชงโค พบชงโค เร่งชงโค คลี่ชงโค เคลื่อนชงโค สู่ชงโค และบังชงโค
ขั้นที่หนึ่ง ‘ราวระเบียงสลักวิจิตรขั้นบันไดหยก[2] มีชงโค’
ยังคงเน้นกระบวนท่าไม่เน้นเจตนา
เมื่อชักกระบี่ออกมาแล้ว แสงสีม่วงฉายทั่วฟ้า
อานุภาพมหาศาล
ดั่งดอกชงโคแสนทระนงดอกหนึ่งบนระเบียงสูงที่วิจิตรงดงาม
งดงาม เย้ายวน
ค้นหามันกลางฝูงชนนับร้อยพันครั้ง
หันหน้ามาในบัดดล
พบชงโคดอกหนึ่ง
อยู่แต่ในส่วนลึกสีแดงชาดนั้น
ขั้นที่สอง ‘ร่วงลงแม่น้ำเซียวเซียงจนสิ้น พบชงโค’
เมื่อผู้ค้นหาเดินเข้าไปท่ามกลางแสงกระบี่จ้า
แหวกเปิดม่านฝนโปรยปรายนี้
ตัดขาดหมอกควันหม่นมัวนี้
ดังเช่นเข็มปักลายเล่มหนึ่ง
พุ่งเข้าใกล้ชงโคนั้นทีละชุ่น
เพียงแต่ว่า
ที่แท้แล้วนั่นคือตนเอง หรือเป็นช่างปักผ้าที่ในมือจับเข็มปักลาย
หรือผ้าต่วนปักลายในมือช่างปักผ้ายังปักรูปยวนยางไม่เสร็จสิ้น
ฟ้าดินแห่งนี้กลับตาลปัตร
เพียงเพื่อให้ได้ยลชงโคดอกนั้นทั้งดอกสักคราว
ขั้นที่สาม ‘กิ่งบูรพาเหี่ยวแห้ง เร่งชงโค’
เพิ่งได้ยลโฉมแท้จริง
กลับพบว่าชงโคนี้มีรักวิปริต
กิ่งใบกลัดกลุ้ม
เกสรอมน้ำตา
ยามต้องน้ำต้องลมเป็นสุขครึ่งไม่เป็นสุขครึ่ง เป็นทุกข์ครึ่งไม่เป็นทุกข์ครึ่ง
ต่อให้เข้าใกล้อีกก้าวก็จะเก็บมันมาได้
แต่กลับต้องยั้งเท้าไม่ไปข้างหน้า ไม่กล้าส่งเสียงดัง
ด้วยกลัวว่าเมื่อขยับแล้วชงโคเหล่านี้จะรันทดท้อต่อตนเอง
ผู้คนมักมีความเห็นใจต่อสิ่งที่อ่อนแอ
แต่กลับเมินเฉยต่อความแหลมคมภายใต้ความอ่อนแอนั้น
หากท้ายที่สุดแล้วสามารถตายอยู่ภายใต้ความเห็นอกเห็นใจของตนเอง
จะว่าไปคงมีเพียงความเสียใจพอประมาณ
แต่ไม่มีความเกลียดชังใดปะปนเข้ามา
เช่นนี้ ก็นับว่าบรรเทาไปได้กว่าครึ่งแล้ว
………………………………………