ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 163 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-2
บทที่ 163 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-2
“ข้าก็ยังไม่รู้ว่าจะสนทนาเช่นไรอยู่ดี”
ชายหนุ่มส่ายหัว ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เขาไม่ใช่คนสนทนาไม่เก่ง
กลับกัน ปกติแล้วเขาเป็นคนช่างพูดยิ่งนัก
ที่ที่มีเขามักไม่ขาดเสียงหัวเราะเบิกบานใจ
ไม่ว่าจะเป็นคนอายุเท่าใด เขาล้วนมีวิธีทำให้สมาธิของเจ้ารวมอยู่ที่คำพูดของเขา
ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว เจ้าก็รับฟังจนหัวเราะออกมา
ส่วนชายหนุ่มอีกคน กลับพูดน้อยอย่างยิ่ง
ในยามที่วาจาของอีกผู้หนึ่งพรั่งพรูออกมาดุจสายน้ำ เขามักเอาแต่ก้มหน้าเซื่องซึม
แม้เขาไม่ชอบดื่มสุรา แต่เขากลับสูบยาเส้นอย่างหนัก
คนวัยหนุ่ม เดิมทีก็ไม่ควรสูบยาเส้น และไม่ควรดื่มสุรา
ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาทั้งสองคนก็ไม่ได้เคร่งครัดอยู่ในกรอบ ทั้งยังไม่แยแสต่อกฎเกณฑ์ขนบธรรมเนียม
หนำซ้ำ แม้ว่าทั้งสองคนจะมีใบหน้าหวานน่ารัก แต่ทั้งกริยาวาจากลับลุ่มลึกเป็นผู้ใหญ่อย่างยิ่ง
ด้วยเหตุนี้จึงไม่เคยมีใครเอ่ยคำว่า ‘ไม่’ กับพวกเขาทั้งสองแม้แต่ครึ่งคำ
กลับกัน ทุกแห่งหนล้วนมีคนเลี้ยงสุราชายหนุ่มช่างพูดผู้นั้น
แต่กลับไม่เคยมีผู้ใดขอเลี้ยงยาเส้นเด็กหนุ่มพูดน้อยเลย
ทั้งสองคนรู้จักกันได้อย่างไร ตัวพวกเขาเองก็ยังบอกได้ไม่ชัดเจน
ทว่าเดิมทีแล้วหลักการคบหากันระหว่างชายหนุ่มก็แสนเรียบง่าย
แม้ไม่ได้คบหากันราบรื่นในหนแรก แต่พอสองสามครั้งถัดไปก็คุ้นเคยกันขึ้นมาเสียแล้ว
หนำซ้ำทั้งสองคนยังมีเป้าหมายเดียวกัน
คือไปท่องดูขอบฟ้า
ส่วนขอบฟ้าอยู่ที่ใด ไม่เคยมีผู้ใดบอกกล่าวแก่พวกเขา
พวกเขารู้เพียงว่าขอบฟ้าอยู่ห่างไกลนัก
เดินไปต้องใช้เวลาหลายปี
ขี่ม้าไปก็ยังต้องใช้เวลาหลายปี
แต่พวกเขาไม่มีเงินซื้อม้า จึงทำได้เพียงเดินไป
ความจริงแล้ว ทั้งสองคนออกเดินทางมาได้ไม่นานนัก
เพราะยามออกเดินทางก็เป็นวัยหนุ่ม เมื่อถึงขอบฟ้าก็ยังเป็นวัยหนุ่ม
ระหว่างทางมีอยู่หลายแห่งที่ชายหนุ่มพูดน้อยรู้สึกว่านี่คือขอบฟ้า
แต่ชายหนุ่มช่างพูดกลับรู้สึกว่าควรอยู่ไกลออกไปอีก ต้องเดินไปไกลกว่านี้อีก
เป็นเช่นนี้ กระทั่งเดินมาถึงที่แห่งนี้
และได้พบกับหญิงสาวผู้นี้
พวกเขาหยุดพักอยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนแล้ว
หญิงสาวผู้นี้มาร้องเพลงที่นี่ยามอาทิตย์อัสดงทุกวัน
ตลอดครึ่งปีมานี้ หญิงสาวเคยร่ายระบำเพียงหนึ่งครั้ง
แต่ชายหนุ่มทั้งสองกลับรู้สึกว่า นั่นเป็นระบำที่งดงามที่สุดในแดนมนุษย์ และนางคือหญิงสาวที่งดงามที่สุดในแดนมนุษย์
ทว่าทั้งสองคนต่างแอบอยู่ข้างๆ เงียบๆ เรื่อยมา ไม่เคยกล้าปรากฏตัว
จวบจนวันนี้
เมื่อพวกเขาทั้งสองเตรียมตัวจากไป
ถ้อยคำบางคำหากไม่เอ่ยออกไป บางทีก็จะไม่มีโอกาสพูดอีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้พวกเขาทั้งสองจึงก้าวออกมาอย่างเปิดเผย
คิดว่าต่อให้พูดผิดไปและทำให้หญิงสาวผู้นี้ไม่พอใจก็ไม่เป็นไร
วันนี้อยู่ที่ขอบฟ้า วันพรุ่งก็จะห่างกันสุดขอบฟ้าแล้ว
“เช่นนั้นข้าถามเจ้าตอบ ถามมาตอบไป จึงจะนับว่าสนทนากันอย่างไรเล่า!”
หญิงสาวกล่าว
“พวกเจ้าทั้งสองมาจากที่ใด”
หญิงสาวถาม
“มาจากที่แสนไกล”
ชายหนุ่มพูดน้อยชิงกล่าวก่อนก้าวหนึ่ง
เขาอยากพูดจากับหญิงสาวผู้นี้เหลือเกิน
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่อยากให้ชายหนุ่มช่างพูดบอกเล่ารายละเอียดของพวกเขาทั้งสองไปจนหมดเปลือก
ยุทธภพร้ายกาจ ใจคนยากหยั่ง
ความระแวงนี้ อย่างไรก็ขาดไม่ได้
“จากที่แสนไกลหรือ…เช่นนั้นก็ลำบากไม่น้อย”
หญิงสาวกล่าว
“แล้วเหตุใดต้องมาที่นี่”
หญิงสาวกล่าวต่อ
“พวกเรากำลังตามหาขอบฟ้า”
ชายหนุ่มช่างพูดชิงตอบโดยไม่ยอมอ่อนข้อ
“ขอบฟ้า???”
หญิงสาวเบิกตาโต ราวกับได้ยินถ้อยคำที่คาดคิดไม่ถึงที่สุดในชีวิต
“หรือว่าพวกเจ้าสองคนคิดว่าที่นี่คือขอบฟ้า”
หญิงสาวถาม
ชายหนุ่มทั้งสองคนพยักหน้า
หญิงสาวหัวเราะลั่นขึ้นมาในทันใด ถึงขั้นต้องเอามือกุมท้องไว้และโค้งตัวลง
แต่ในสายตาของชายหนุ่มทั้งสอง
ต่อให้หญิงสาวจะหัวเราะยกใหญ่เพียงนี้ ก็ยังเหมือนว่านางกำลังร่ายระบำอยู่
ทุกอิริยาบถ ทุกอารมณ์ ล้วนงดงามเป็นที่สุด
“ช่างเป็นคนโง่สองคนแท้ๆ…”
หญิงสาวพึมพำเบาๆ ประโยคหนึ่ง
แม้เป็นการค่อนแคะว่าทั้งสองคนโง่เง่า แต่เมื่อทั้งสองได้ฟังกลับมีนัยยะของการเกี้ยวพาราสี อดลุ่มหลงไม่ได้
“เหตุใดดึกดื่นเพียงนี้เรือประมงลำนั้นยังคงอยู่กลางทะเลสาบ ไม่เห็นมันจับปลา”
ชายหนุ่มช่างพูดเอ่ยปาก พื้นนิสัยเดิมของเขากลับคืนมาบ้างแล้ว
คราวนี้เขาเป็นคนเริ่มหัวข้อสนทนากับนาง
แต่ก็เป็นการสนทนาไปตามสิ่งที่นางพูด
เพราะหญิงสาวบอกว่าเรื่องรอบกายล้วนนำมาสนทนาได้ทั้งสิ้น
“นั่นคือบิดาของข้า”
หญิงสาวกล่าวอย่างซุกซน
ชายหนุ่มช่างพูดรีบหุบปากทันที
สำนึกเสียใจเป็นหมื่นเท่าอยู่ในอก รู้สึกว่าตนเองพูดผิดอย่างใหญ่หลวง
แต่เรือหาปลาและชาวประมงผู้นั้นเอาแต่หมุนวนอยู่ในทะเลสาบเหมือนไม่รู้ว่าจะไปแห่งหนใด
ก็เหมือนกับเด็กหนุ่มทั้งสองที่ไม่รู้จักแหล่งพำนักพักพิงของตน
หากไม่ใช่เพราะลมราตรียังคงโหมพัด เรือประมงยังคงพายไป หัวใจยังคงเต้นอยู่
เด็กหนุ่มทั้งสองคนก็อยากยืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาวอยู่เช่นนี้เรื่อยไป
แต่ด้วยความเป็นไปของทั้งสามสิ่งที่เอ่ยถึงนั้น กลับทำลายวิสัยทัศน์เดิมของพวกเขาทั้งสอง
เหมือนมันกำลังเตือนพวกเขาทั้งสองในเวลานี้ว่า อย่างไรลมราตรีย่อมต้องหยุด เรือย่อมต้องเข้าเทียบฝั่ง ช้าเร็วหัวใจย่อมหยุดเต้น
ว่าแล้วก็เป็นดังนั้น
ลมราตรีที่อยู่เคียงข้างหยุดพัด เรือประมงก็เข้าเทียบฝั่ง
แต่ชาวประมงกลับบอกว่าแม้เรือจะเทียบฝั่ง แต่ทั้งตัวคนและหัวใจยังคงล่องลอยอยู่บนผิวน้ำ
ทุกค่ำคืนล้วนข้ามฝั่งใหม่อีกครั้ง ทุกวันล้วนออกจากท่าใหม่อีกคราว
เพียงหาที่สักแห่งตามทางที่ทำให้ตนสบายใจและได้พักเท้าก็เท่านั้น
เมื่อลมราตรีหยุดพัด
เบื้องหลังหญิงสาวก็มีจันทร์เสี้ยวโผล่ขึ้นมา
ร่างของนางบอบบางอรชร
ยามมองไกลๆ ราวกับกำลังนางกำลังนอนเอนหลังอยู่บนจันทร์เสี้ยว
ชาวประมงเอาสุราที่อุ่นแล้วออกมาหนึ่งกา
บอกว่าเมื่อลมราตรีหยุดพัก ความหนาวเหน็บยามเหมันต์ก็เริ่มขึ้น ดื่มสุราให้ร่างกายอบอุ่นจึงจะไม่เจ็บป่วย
ชายหนุ่มพูดน้อยไม่กล้าดื่มมากนัก ทุกอึกที่ดื่มลงไปเพียงลิ้มรสบางๆ เท่านั้น
แต่ชายหนุ่มช่างพูดกลับไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้มากนัก เขาดื่มทุกจอกจนหมดจด
เขารู้สึกว่าไม่ว่าเรื่องใดๆ ล้วนต้องคำนึงถึงตนเองด้วย
คำนึงถึงตนกี่ครั้ง ก็ควรดื่มไปเท่านั้นจอก
หากไม่ดื่ม จะขมขื่นเป็นทุกข์
แต่ดื่มแล้ว ก็ยังคงขมขื่นเป็นทุกข์อยู่ดี
แต่อย่างน้อยมันจะทำให้จิตใจของตนมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
“พวกเจ้าทั้งสองมีชีวิตอยู่อย่างมือกระบี่ทีเดียว!”
ชาวประมงกล่าว
หญิงสาวเองก็ยกสุราครึ่งจอกขึ้นมาคำนับสหายที่เพิ่งรู้จักทั้งสองคน
“มือกระบี่? มือกระบี่ไหนเลยจะมีลักษณะเช่นพวกเรา”
ชายหนุ่มช่างพูดกล่าวค่อนแคะตนเอง
ชายหนุ่มพูดน้อยหัวเราะสำทับตามไป สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เช่นนั้นก็เป็นคนพเนจร”
หญิงสาวกล่าว
แม้ว่าเด็กหนุ่มทั้งสองไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นคนพเนจร
แต่ในเมื่อหญิงสาวกล่าวเช่นนี้ พวกเขาทั้งสองก็ยังยอมรับ
“ผู้คนล้วนกล่าวว่าคนพเนจรรู้จักสุราเป็นที่สุด แต่เหตุใดข้ากลับเห็นว่าเจ้าไม่ได้รู้จักสุราเท่าใดนัก”
หญิงสาวกล่าวกับชายหนุ่มพูดน้อยที่เอาแต่จิบสุราอึกน้อยๆ
“อาจเป็นเพราะข้ายังไม่ใช่คนพเนจรที่ตรงตามกฎเกณฑ์”
ชายหนุ่มพูดน้อยกล่าว
“ฮ่าๆ เจ้านี่ช่างน่าสนใจจริงๆ การเป็นคนพเนจรนี่ยังแบ่งว่าตรงหรือไม่ตรงตามกฎเกณฑ์ได้อย่างไร”
หญิงสาวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
นางรินสุราให้ตนเองจนเต็มจอก แล้วดื่มจนหมดในครั้งเดียวต่อหน้าชายหนุ่มพูดน้อย
จากนั้นแกว่งจอกสุราที่ว่างเปล่าใส่ชายหนุ่มพูดน้อย
ทันใดนั้นชายหนุ่มพูดน้อยไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
แต่จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามาตรงหน้าเขา
ในมือนั้นถือจอกที่มีสุราอยู่เต็ม
หากเอียงจอกแม้เพียงเล็กน้อย สุราก็จะไหลล้นออกมา
สุราจอกนี้เป็นชายหนุ่มช่างพูดรินให้เขา
ชายหนุ่มพูดน้อยเงยหน้าขึ้นมองเขา แต่ชายหนุ่มช่างพูดกลับไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงแสดงท่าทีว่าให้เขาดื่มสุราจอกนี้ให้หมด
ภายหลัง
ขอบฟ้าไม่อยู่
หญิงสาวที่มีท่วงท่าระบำงดงามไม่อยู่
ชาวประมงที่ไม่ได้ข้ามฟากไม่อยู่
อาทิตย์อัสดงยังอยู่
ลมราตรียังอยู่
สุรายังอยู่
แต่ชายหนุ่มทั้งสองต่างคนต่างไม่อยู่
เพียงแต่พวกเขาทั้งสองยังคงชอบมองไปไกลๆ ยามอาทิตย์อัสดง
ทว่าไม่ว่าจะเป็นภายในหอทรงปัญญาหรือบนแดนสุขสัญจรก็ล้วนมองไม่เห็นขอบฟ้าทั้งสิ้น
แต่อย่างไรพวกเขาทั้งสองเคยชินกับการทอดสายตาไปยังที่แสนไกล
ชายหนุ่มพูดน้อยยังคงไม่คุ้นเคยกับการดื่มสุราอึกใหญ่ๆ
ชายหนุ่มช่างพูดกลับเงียบขรึมและพูดน้อยลง
ยามเมฆทึบไม่รู้แห่ง ยามเมามายไม่พบเจ้า
ในเมื่อพบไม่ได้ ชายหนุ่มช่างพูดจึงไม่เคยเมาสุราอีกเลย
แม้ว่าเขายังคงชื่นชอบการดื่มสุรา
แต่กลับไม่เคยเมามายอีกเลยสักครั้ง
หรือพูดได้ว่านับแต่วันที่ได้พบกับหญิงสาว เขาก็เมามายอยู่เรื่อยมา ไม่เคยสร่างเมาอีกเลย
………………..
หลิวรุ่ยอิ่งย่างเท้าเข้าแดนสุขสัญจรอีกครั้ง
เมื่อเขาหันหน้ากลับไปมอง พบว่าตรงทางเข้ามีร่างงดงามสองร่างปรากฏขึ้น
ร่างงามทั้งสองนี้ แม้ว่าร่างหนึ่งสูงร่างหนึ่งต่ำ แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
เพียงแต่คนหนึ่งก้าวย่างว่องไว ไหล่และลำตัวท่อนบนล้วนมองไม่เห็นว่ามีการเคลื่อนไหว
ส่วนอีกผู้หนึ่งกลับกระโดดโลดเต้น ท่าทางมีความสุขไม่น้อย
ในมือถือของ และคอยเอาของนั้นใส่ปากไม่หยุดหย่อน
“เจ้าห้ามไป!”
ในขณะที่หลิวรุ่ยอิ่งกำลังเหม่อมองอย่างใจลอย คนเฝ้าผู้นั้นกลับมาปรากฏกายอยู่ข้างกายเขาราวสายลมสลาตัน
รวดเร็วเป็นที่สุด
รวดเร็วกระทั่งดวงตาของหลิวรุ่ยอิ่งไม่อาจจับร่างเงาใดๆ ได้
แต่เขาไม่ได้ทำให้มีลมพัดแม้แต่น้อย
ราวกับว่าคนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
“เหตุใดข้าจึงไปไม่ได้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
แขนเสื้อของเขาถูกคนผู้นั้นดึงเอาไว้
“หากเจ้าไปแล้ว ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าจะกลับมาหรือไม่ หากเอาก้อนทองของข้าไป แต่ไม่แลกสุรามาให้ข้า ทว่าตนเองกลับไปเริงร่า แล้วข้าจะไปหาพวกเจ้าได้ที่ใด”
คนผู้นั้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งจึงเพิ่งรู้ตัวว่าคนผู้นั้นต้องการกักตัวเขาไว้เป็นตัวประกัน
จะว่าไปแล้วราคาของตัวประกันก็ถูกเกินไปจริงๆ…
ใช้เพียงสุราหนึ่งไหก็แลกกับอิสระได้แล้ว
ด้วยความจนใจ
หลิวรุ่ยอิ่งจึงได้แต่กำชับให้ทังจงซงและจิ่วซานปั้นรีบไปรีบกลับ
เพราะคืนนี้พวกเขานัดกับฉางอี้ซานไว้ที่หอจันทร์กระจ่าง
แต่แค่ในช่วงเวลาที่พูดจาไม่กี่ประโยคนี้ ตอนหลิวรุ่ยอิ่งหันหน้ากลับไปมองตรงทางเข้าแดนสุขสัญจร ร่างสองร่างนั้นกลับหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว
………………………………………