ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 160 ต้นหลิวขนัดบุปผายากสะพรั่ง-1
บทที่ 160 ต้นหลิวขนัดบุปผายากสะพรั่ง-1
มองตามแผ่นหลังของทังจงซง
ทันใดนั้นสายตาของหลิวรุ่ยอิ่งกลับเห็นหิมะขาวโพลนแถบหนึ่ง
เขารีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว พบว่ามีหิมะที่ยังไม่ละลายเป็นบริเวณกว้างบนพื้นใต้ร่มเงา ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางซ้ายมือไม่ไกลนัก
และข้างหลังพื้นหิมะฤดูหนาวนั้นกลับมีบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว
“มีบ้านหลังนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
คราวก่อนตอนที่เขาเข้ามาในหอทรงปัญญาก็เดินผ่านแดนสุขสัญจรนี้เช่นกัน
แต่เขาไม่เห็นบ้านหลังเล็กนี้แต่อย่างใด
“ไม่รู้ ตอนข้ามาก็ไม่ได้สังเกต”
ทังจงซงส่ายหัวพลางกล่าว
ส่วนจิ่วซานปั้น เดิมทีเขาก็สะลึมสะลืออยู่ตลอดทาง
กระทั่งม้าก็ยังขึ้นขี่ได้ไม่มั่นคง หนทางข้างหน้าล้วนมองเห็นไม่ชัดเจน แล้วจะมีแก่ใจใดไปสังเกตเรื่องอื่น
ทันใดนั้นหลิวรุ่ยอิ่งพลันรู้สึกว่าแดนสุขสัญจรแห่งนี้ ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่ตนคิดเสียแล้ว
ภายใต้ภูผาสายธารแสนงดงามนั้น แฝงเร้นไว้ด้วยความน่าตื่นตระหนก ความเศร้าโศก และความฉงนสนเท่ห์
แต่การปรากฏขึ้นของบ้านหลังเล็กนี้กลับทำให้พวกเขาตื่นเต้นและกระตือรือร้นขึ้นมาไม่น้อย
สามารถละทิ้งความหนักอึ้งทั้งหมดไปภายในพริบตา รีบพากันตรงปรี่ไปยังบ้านหลังเล็กนั้นทันที
‘หากข้างในมีคน ไม่แน่ว่าเรื่องที่จิ่วซานปั้นและเหลี่ยงเฟินประมือกันในคืนนั้น อาจมีประจักษ์พยานเพิ่มขึ้นอีกผู้หนึ่ง ต่อให้คนผู้นี้เห็นไม่ชัดว่าฆาตกรคือผู้ใด เเต่อย่างน้อยก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าจิ่วซานปั้นไม่ได้เป็นคนสังหารเหลี่ยงเฟิน’
หลิวรุ่ยอิ่งคิดอยู่ในใจ
นี่ก็คือสาเหตุที่เขาตื่นเต้นและกระตือรือร้นขึ้นมา
เพราะด้านหลังของที่แห่งนี้ติดกับเขา ‘พันยอดหมื่นเริ่น’ หนึ่งในสิบฉากมหัศจรรย์ของหอทรงปัญญา
ประกอบกับแดนสุขสัญจรชื้นเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้หิมะจึงยังไม่ละลาย
แม้มองจากไกลๆ จะเป็นหิมะขาวแถบหนึ่ง ซึ่งตัดกับสีเขียวสดของแดนสุขสัญจรอย่างมาก
แต่พอหลิวรุ่ยอิ่งเดินเข้าไปดู ข้างบนหิมะนี้กลับมีขี้เถ้าละเอียดสีดำกลบอยู่เต็มไปหมด ดูสกปรกเป็นที่สุด
แต่บ้านหลังเล็กที่อยู่ข้างหลังพื้นหิมะนี้กลับเข้ากันกับหิมะแสนสกปรกยิ่งนัก
เพราะในสายตาของหลิวรุ่ยอิ่งแล้ว ระดับความสกปรกของบ้านหลังเล็กนี้มากกว่าคำว่าแสนสกปรกไปอีกขั้นหนึ่ง
แผ่นกระเบื้องบนหลังคาเกรงว่าแทบไม่เหลือสักแผ่น
กรอบประตูเอียงกระเท่เร่
หน้าต่างผุพัง
แม้แต่เสาหน้าประตูก็แทบจะพังทลายไปตามกาลเวลา อยู่ในสภาพคลอนแคลนเจียนจะล้มลงมา
“ที่แห่งนี้…”
ทังจงซงกล่าว
อีกครึ่งหลังของประโยคเขาไม่กล้าเอ่ยออกมา
นั่นเพราะเขามองออกว่าหลิวรุ่ยอิ่งคล้ายมีความหวังใหญ่หลวงกับที่แห่งนี้
เขาไม่ชอบทำให้สหายตนรู้สึกไม่ดี
โดยเฉพาะเมื่อผิดจากที่คาดไว้มากมายเพียงนี้
“ที่แห่งนี้ไม่มีทางมีคนอยู่ นอกจากหนูและรังนก”
จิ่วซานปั้นกล่าว
เวลานี้เขากลับทรงปัญญาขึ้นมา
ทังจงซงปรายตามองจิ่วซานปั้น
เห็นชัดว่าเขาไม่พอใจกับคำพูดเมื่อครู่นี้ของจิ่วซานปั้นอย่างยิ่ง
แม้ว่าถ้อยคำของจิ่วซานปั้นจะไม่ผิด กระทั่งข้อผิดพลาดสักนิดก็ยังไม่มี
แต่เอ่ยออกมาในเวลานี้ก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก
คำบางคำแม้จะถูกต้อง แต่หากเอ่ยออกมาโดยไม่แยกแยะกาลเทศะก็คือผิด
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งทำอยู่ในเวลานี้ยังเป็นความยากลำบากที่ทำไปเพื่อล้างมลทินให้เขาอีกด้วย
ทังจงซงคิดว่าจิ่วซานปั้นไม่สมควรเอ่ยออกมาตรงๆ เช่นนี้
ปรากฏว่าเพิ่งสิ้นเสียงของจิ่วซานปั้น ฝีเท้าของหลิวรุ่ยอิ่งก็ช้าลง
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสถานที่เก่าแก่ผุพังเช่นนี้ร้างผู้คนมานานแล้ว
เพียงแต่ชั่วพริบตาที่ยังไม่ได้ผลักประตูเข้ามา เขาก็ยังมีภาพฝันอยู่บ้างเล็กน้อย
แม้ว่าภาพฝันนี้จะมีโอกาสเป็นจริงเพียงน้อยนิดก็ตาม แต่การมีภาพฝันก็ยังดีว่ากลายเป็นคนตายตัวกับทุกเรื่อง
ทว่าระดับความแจ่มชัดของภาพฝันก็เปลี่ยนแปลงได้
หากไม่มีคนเอ่ยปาก หลิวรุ่ยอิ่งก็ยังคงรับไหว
แต่พอจิ่วซานปั้นพูดออกมาในเวลานี้ กลับทำให้กำลังใจของเขาหดหายไปกว่าครึ่ง
“ไม่ต้องร้อนใจไป เข้าไปดูสักหน่อยก็จะรู้!”
ทังจงซงเดินเข้าไปตบไหล่หลิวรุ่ยอิ่งพลางเอ่ย
จิ่วซานปั้นก็นับว่าฉลาดไม่เบา
แต่หากเขาไม่เก็บซ่อนความฉลาดนี้ไว้สักสามส่วน หนทางในภายหน้าของเขาไม่เพียงจะไม่ยาวไกล แต่จะต้องขรุขระยิ่งนักเป็นแน่
คนเราอย่างไรก็ต้องรู้จักเก็บงำบ้าง
หลิวรุ่ยอิ่งคิดถึงความรู้สึกของตนเมื่อก่อนนี้
นึกถึงวันนั้นที่ตนตัดสินใจว่า ต่อให้ทำผิดเพียงเรื่องสองเรื่อง ก็จะไม่ทำตนให้เป็นจุดสนใจอีกแล้ว
แต่เพิ่งจะออกจากบ้านก็ถูกเข็มเงินและด้ายของอิ๋นซิงจนเละเทะไปหมด
จิ่วซานปั้นในตอนนี้ก็ไม่ใช่ตัวเขาเมื่อก่อนนี้หรอกหรือ
เอาแต่มุทะลุบุ่มบ่าม เอาแต่เอะอะมะเทิ่ง
ไม่รู้จักหลบเลี่ยง ไม่รู้จักยำเกรง
คนเลี้ยงม้าในกรมสอบสวนกลางผู้นั้นเคยบอกกับหลิวรุ่ยอิ่ง
เขาบอกว่าใต้หล้านี้ไม่มีคนโง่ที่แท้จริง แม้จะมีคนที่ไม่ฉลาด แต่เขาก็จะมีความพิเศษที่เด่นชัดอยู่อย่างหนึ่ง
และด้วยความพิเศษนี้ เขาจึงเป็นคนฉลาด
ฉลาดแล้วอย่างไรต่อเล่า
บางครั้งอาจได้แต่ความไม่สบอารมณ์
หากเย่อหยิ่งในความฉลาดของตนบ่อยครั้ง ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเจ้าของที่ดินที่มองผืนดินหนึ่งหมู่สามส่วนของตนแล้วได้อกได้ใจ
แน่นอนว่าจิ่วซานปั้นไม่มีคนเลี้ยงม้าผู้นั้นมาบอกหลักการนี้แก่เขา
ยิ่งไปกว่านั้น หลักการเหล่านี้ก็ไม่เหมาะให้สหายเป็นคนบอกกล่าวแก่เขาเป็นอย่างยิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งหวังเพียงว่าจะสามารถพาเขาไปพบเห็นใต้หล้าให้มาก อยู่ท่ามกลางผู้คนให้มาก
ให้คนหนุ่มที่เดิมทีไม่ประสากับโลกผู้นี้เข้าใจสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงมากขึ้น
ทังจงซงยืนอยู่หน้าประตูบ้านผุพังหลังนั้น
แต่แล้วเขาก็ถอยกลับไปสองสามก้าว
“เกิดเรื่องใดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสได้ว่าสีหน้าของทังจงซงผิดปกติไปจึงเอ่ยปากถาม
“เจ้าดูที่กรอบประตูนี่สิ รวมทั้งกลิ่นที่โชยออกมาจากภายในบ้านด้วย”
ทังจงซงกล่าวพลางชี้ไปที่เสาตรงประตู
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าแม้เสาประตูจะผุเปื่อย แต่กลับมีรอยฟันใหม่หลายรอย
เป็นรอยกระบี่
พวกของหลิวรุ่ยอิ่งทั้งสามคนล้วนเป็นผู้ใช้กระบี่ มองปราดเดียวก็รู้ในทันที
“หรือก่อนหน้านี้ไม่นานจะเกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
เขาเอื้อมมือไปลูบรอยกระบี่บนต้นเสา
พบว่าพลังยุทธ์ของผู้ใช้กระบี่ไม่ได้มากนัก แต่กลับควบคุมได้อย่างแม่นยำล้ำเลิศยิ่ง
กระบี่ที่ฟาดลงมาทุกครั้งล้วนสับลงไปในต้นเสาลึกหนึ่งชุ่นสามเฟิน
นี่เป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง
ความเคยชินในการใช้กระบี่ที่ผู้ใช้กระบี่ติดเป็นนิสัยเมื่อใช้มาเป็นเวลานาน
คล้ายไม่อยากให้เปลืองแรงแม้แต่น้อย ต้องการให้ทุกครั้งที่ออกแรงง้างกระบี่ล้วนเกิดผลมากที่สุด
…………………
เนื่องจากอาณาจักรผิงหนานอ๋องอยู่ใกล้กับทะเลทรายทางใต้จึงขาดแคลนแหล่งน้ำ
ด้วยสภาพอากาศที่นั่น ชาวไร่ชาวนาในอาณาจักรผิงหนานอ๋องจึงคิดค้นวิธีรดน้ำพืชผักที่พิเศษอย่างยิ่ง
นั่นก็คือการปั้นดินและเผาให้เป็นท่อน้ำหลายๆ ท่อ และเจาะรูหนึ่งบนท่อบริเวณที่ตรงกับรากของพืชผักทุกต้น
เวลารดน้ำ น้ำก็จะออกมาจากรูเหล่านี้และตรงเข้าสู่รากของต้นพืชโดยตรง
กระบี่ของมือกระบี่ผู้นี้ก็ใช้หลักการเดียวกัน
หลิวรุ่ยอิ่งใช้เวลาสักพักถึงได้กลิ่นที่ทังจงซงกล่าวถึง
ไม่ต้องบอกให้ละเอียด นั่นเป็นกลิ่นคาวเลือด
ในวันนี้หลิวรุ่ยอิ่งได้กลิ่นคาวเลือดมามากมายเหลือเกิน
เขาลูบจมูก คล้ายต้องการปลุกประสาทการรับกลิ่นของตนเองไม่ให้ด้านชาต่อไป
คนมีอวัยวะทั้งห้า จึงมีสัมผัสทั้งห้า
ตา หู ปาก จมูก ลิ้น มอง ฟัง ลิ้มรส ได้กลิ่น พูดจา
แม้ว่านอกจากพูดแล้ว ประสาทสัมผัสที่เหลือทั้งสี่จะเป็นแค่การตั้งรับความเปลี่ยนแปลงจากสิ่งรอบข้างก็ตามที
แต่หากไม่พูดจา ย่อมไม่อาจบอกให้คนรอบข้างได้รู้เห็นความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าตนเองไม่เพียงเห็นได้ช้า ได้กลิ่นช้า แม้แต่การพูดก็ยังค่อนข้างเชื่องช้าอีกด้วย
“ยังจะเข้าไปข้างในหรือไม่”
ทังจงซงถาม
เขาเห็นว่ามือข้างหนึ่งของหลิวรุ่ยอิ่งทาบลงไปบนกรอบประตูแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ตอบแต่เอื้อมมือไปผลักประตู
เสียง ‘เอี๊ยด’ ดังขึ้น ประตูไม้เก่าๆ นี้จึงเปิดออก
แต่บนกรอบประตูกลับไม่มีดินหรือฝุ่นใดๆ ร่วงลงมา พิสูจน์ได้ว่าประตูบานนี้เคยถูกคนเปิดออกเมื่อไม่นานมานี้
สิ่งที่ควรร่วงลงมาก็ร่วงลงมาหมดแล้วในครั้งก่อน
ส่วนของใหม่ก็ยังมีเวลาไม่พอที่จะสะสมใหม่
จึงได้สะอาดเช่นนี้
สิ่งแรกที่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นตั้งแต่แวบแรกก็คือศพสองศพ
ทั้งสองศพนี้สวมชุดคลุมสีแดง
สิ่งนี้น่าตื่นตกใจจนเขาต้องชักกระบี่ออกมาในพริบตานั้น
อาคันตุกะชุดแดงสองคนนี้หันหน้าเข้าหากัน นอนคว่ำตายอยู่บนพื้น
หลิวรุ่ยอิ่งจำได้จากใบหน้าด้านข้างของทั้งคู่ อาคันตุกะชุดแดงสองคนนี้ก็คือผู้ที่สังหารช่างใส่กรอบและบ่าวเฝ้าประตูนั่นเอง
เพราะที่ขากรรไกรของหนึ่งในนั้นมีไฝดำหนึ่งเม็ด และที่หางตาของอีกคนก็มีไฝดำหนึ่งเม็ด
แม้ตอนนี้พวกเขาจะอยู่ในท่าเอียงหน้า แต่ไฝดำกลับไม่ได้ถูกปิดเอาไว้
แม้แสงในห้องจะสลัว แต่หลิวรุ่ยอิ่งมองปราดเดียวก็ดูออกแล้ว
“ใครลงมือกัน”
ทังจงซงกล่าว
“ไม่ว่าผู้ใด เมื่อทำเรื่องผิดคุณธรรมมามาก ย่อมได้รับผลกรรมนั้น”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เมื่อเขาเห็นว่าอาคันตุกะชุดแดงสองคนนั้นสิ้นใจแล้วจริงๆ จึงวางใจลง และเก็บกระบี่กลับเข้าฝัก
เขาใช้เท้าพลิกศพของอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองขึ้นมา
แม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะไม่เป็นการเคารพผู้ตายอย่างยิ่ง
แต่ผู้ที่สังหารผู้บริสุทธิ์ ย่อมไม่สมควรได้รับความเคารพ
ตายหรือเป็นก็เช่นกัน
ทั้งสองมีเลือดไหลออกมาไม่มาก
ส่วนมากล้วนรวมอยู่ที่ปากและจมูก
และไหลออกมาจากหางตาเล็กน้อย
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับสังเกตเห็นว่าหัวของอาคันตุกะชุดแดงทั้งสองนี้ยุบเข้าไปส่วนหนึ่ง
เมื่อใช้มือสัมผัสดูก็อ่อนยวบยาบ
คล้ายถูกคนใช้ของหนักผนวกกับเรี่ยวแรงมหาศาลทุบเข้า
เมื่อกะโหลกเสียหายอย่างหนัก ย่อมกระทบกระเทือนจนเลือดออกกระทั่งเสียชีวิต
แต่ว่าเลือดส่วนใหญ่ล้วนมาจากสมอง ดังนั้นเลือดที่ไหลออกมาภายนอกจึงมีไม่มาก กลิ่นคาวเลือดจึงไม่รุนแรงนัก
“นี่คงจะเป็นสาเหตุการตาย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพลางชี้ไปยังรอยบุบบนศีรษะของคนทั้งสอง
ทังจงซงไม่รู้เรื่องการชันสูตรศพ แต่ในเมื่อหลิวรุ่ยอิ่งพูดมาเช่นนี้เขาจึงพยักหน้า
“แต่ว่า…”
หลิวรุ่ยอิ่งอยากเอ่ยแต่ยั้งไว้
เขากำลังคิดว่าตบะยุทธ์ของอาคันตุกะชุดแดงสองคนนี้ไม่ได้ต่ำแต่อย่างใด
เพลงกระบี่ที่ใช้สังหารช่างใส่กรอบและบ่าวเฝ้าประตูก็แม่นยำล้ำเลิศยิ่งนัก
………………………………………