ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 15 ใบไม้ผลิมาเยือนเพื่อใคร-3
บทที่ 15 ใบไม้ผลิมาเยือนเพื่อใคร-3
เมืองจี๋อิง กองบัญชาการทัพกลาง
หลิวรุ่ยอิ่งถือจดหมายลับมีรอยชาดแดงตรงปากซองที่กรมสอบสวนส่งมา รีรอไม่ยอมเปิด
กล่าวถึงคุกหลวง เดิมก็เป็นคุกธรรมดาทั่วไป มีอยู่ทุกหนแห่ง ด้วยว่าเมืองจี๋อิงตั้งอยู่ชายแดน มีปลากับมังกรปะปนกัน[1]เลยสร้างคุกหลวงแห่งหนึ่งขึ้นพิเศษ ลือกันว่าอยู่ใต้ดินโรงเตี๊ยมพูนโชค ทุกคืนล้วนสอบสวนลงทัณฑ์นักโทษโดยอาศัยเสียงจ้อกแจ้กจอแจจากการร้องเล่นดื่มสุราทายหมัดในโถงใหญ่เป็นสิ่งกำบัง
แม้คุกหลวงแต่ละแห่งค่อนข้างมืดทึม แต่ก็ยังห่างไกลจากความน่ากลัว ยิ่งไม่มี ‘เข้าคุกหลวงคนเป็นเหมือนคนตาย’ ที่ว่า อย่างไรก็ยังมีคนมากมายถูกสอบสวนจนพ้นข้อหาและเดินออกมาอย่างมีเกียรติภาคภูมิ
ส่วนคุกหลวงของกรมสอบสวนกลางแรกเริ่มก็ไม่ต่างกับที่อื่น จนกระทั่งผู้บังคับการกรมคนปัจจุบันเว่ยฉี่หลินดำรงตำแหน่ง
ตัดสินคำเล่า
อย่าได้ดูถูกอักษรสี่ตัวนี้เชียว
นี่คือคำสั่งผู้บังคับการกรมข้อแรกที่เว่ยฉี่หลินส่งมาหลังจากเข้ารับตำแหน่ง
อะไรคือตัดสินคำเล่า
ขอแค่เจ้าได้ยินข่าวเกี่ยวกับเรื่องไร้ที่มาที่ไปเหล่านั้นก็สามารถรายงานตามขั้นหรือข้ามขั้นได้เลย แม้ภายหลังสืบทราบต้นสายปลายเหตุว่าเรื่องนี้ไม่มีจริง เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร หากเป็นจริงได้รางวัล เป็นเท็จไม่มีโทษ เปิดให้คนร่วมแสดงความคิดเห็น ร่วมกันเปิดโปง
นี่ก็คือตัดสินคำเล่า
นับแต่นั้นมา จดหมายรายงานแต่ละแห่งยังหนาและแน่นกว่าหิมะตกในฤดูหนาวเขตติ้งซีอ๋องนี้เสียอีก แต่ต้องบอกว่าอันที่ดำเนินการแล้วสมบูรณ์แบบดั่งหิมะเกรงว่าเหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน
เรื่องราวก่อนเว่ยฉี่หลินเป็นผู้บังคับการกรมคือปริศนาอย่างหนึ่ง
ว่ากันตามหลักผู้อยู่ตำแหน่งขุนนางสำคัญเช่นนี้ย่อมเป็นคนมีความสามารถ ในเมื่อมีความสามารถก็ไม่น่าเป็นบุคคลไร้ชื่อเสียง เพราะสุดท้ายไม่ว่าอยู่ที่ใด ความสามารถกับชื่อเสียงล้วนเสมอเหมือน ไม่เช่นนั้นจะมีคำกล่าวว่า ‘ผู้ลือนามล้วนมีความสามารถแท้จริง’ ได้อย่างไร
มีคนบอกว่าเขาเป็นขันทีในวังยุคราชวงศ์ก่อนหน้านี้ หลังราชวงศ์ล่มสลายฉิงจงอ๋องรับช่วงต่อเมืองหลวงทั้งหมด แน่นอนว่ารับคนเก่าแก่ของราชวงศ์กลุ่มนี้เข้ามาด้วย จากนั้นก็อุปถัมภ์อย่างลับๆ มานานปี
มีคนบอกว่าฉิงจงอ๋องยังไม่เคยแต่งงานเป็นเพราะเขามีรสนิยมของหลงหยาง[2] ลุ่มหลงจนตัดแขนเสื้อ[3]…เว่ยฉี่หลินก็คือสิ่งต้องห้ามที่เขาโปรดปรานมากที่สุด
ข่าวลือเหล่านี้ทุกที่ล้วนมีไม่ขาด หลิวรุ่ยอิ่งโตมาในกรมสอบสวนตั้งแต่เด็กย่อมรู้เรื่องนี้มากทีเดียว แม้เขาไม่กล้าปั้นเรื่องเยาะหยันใต้เท้าผู้บังคับการกรมของตน แต่ก็แอบเรียกเขาว่าพระเก้าพันปี[4]ตอนบ่นว่าอยู่กับคนอื่นๆ เช่นกัน
สิ่งที่มาพร้อมกับจดหมายรายงาน ก็คือคุกหลวงที่ขยายเป็นการใหญ่ในเรือนหลังกรมสอบสวน
เดิมแค่เอาคอกม้าที่ทิ้งไว้มาสร้างผนังกั้น แล้วใช้เหล็กหลอมเทสร้างใหม่อีกรอบหนึ่ง
บัดนี้มุมทั้งสี่ตอกเสาเข็มลงไปใหม่ ขุดลงล่างอีกสี่ชั้น ประตูใหม่ทาด้วยข้าวแดงผสมชาดแดงเสียงามสง่า แต่ดูแล้วชวนพรั่นใจอยู่หน่อย
หลิวรุ่ยอิ่งเปิดจดหมายลับ ไม่รู้เป็นผลกระทบของจิตใจหรืออย่างไร เขารู้สึกกระดาษจดหมายของคุกหลวงล้วนมีกลิ่นคาวเลือด เค้าโครงอักษรคำว่าไฟทะลุหลังกระดาษสะท้อนสู่นัยน์ตา
จดหมายของคุกหลวงตามความหมายแล้วไม่ได้ลงนามโดยกรมสอบสวน แต่คุกหลวงดำเนินการส่งเอง ยามปกติล้วนเป็นพัศดีคุกหลวงพกจดหมายติดตัวแล้วมุ่งไปแต่ละแห่งเพื่อเป็นหลักฐานแก่ผู้รับ มีแค่สถานการณ์พิเศษอย่างยิ่งเท่านั้นถึงจะส่งต่อให้ผู้แทนการตรวจสอบพิเศษของกรมสอบสวนรับหน้าที่แทน
คุกหลวงมีทั้งหมดสี่ชั้น นั่นคือลม ป่า ไฟ เขา
การแบ่งแต่ละชั้นอิงตามระดับของอาชญากรและความหนักเบาของโทษ
ไฟ
เป็นชั้นที่สามแล้ว
“เฮ่อโหย่วเจี้ยนผู้ว่าการหัวเมืองรัฐติง สมรู้ร่วมคิดกับอั๋งหรานขุนพลกองกำลังฝ่ายซ้ายแห่งราชสำนักทุ่งหญ้า ขายผลประโยชน์ของชาติ ความผิดไม่อาจลดโทษ ให้ผู้แทนพิเศษกรมสอบสวนถือจดหมายนี้จับกุมเขาโดยเร็ว และส่งตัวให้อาคารกรมสอบสวนที่ตั้งอยู่ในหัวเมืองรัฐติง”
ต้องจับกุมแม่ทัพหลักผู้ควบคุมทหารหลายสิบหมื่นคนยามสงคราม คิดว่าง่ายหรือ ยังไม่เอ่ยข้อห้ามสังหารนายพลผู้คุมทหารยามใกล้รบ แค่คนที่เข้าออกในกองบัญชาการทัพกลางก็เป็นพลทหารของเฮ่อโหย่วเจี้ยนทั้งหมดแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงข้างกายเขายังมีเสิ่นซือเซวียนกับฟู่ฮั่นหยางสองผู้สั่งการหัวเมือง
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ดีว่าการคิดจะใช้กำลังมารับมือนั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ดีไม่ดีพรุ่งนี้ศีรษะอันชาญฉลาดของตนก็อาจถูกแขวนอยู่นอกประตูกองบัญชาการ ยังจะถูกคนชี้จมูกว่า ‘ไอ้หนุ่มนี่แหละทำลายขวัญทหาร เลยถูกตัดหัวเสียบประจาน’
คิดถึงตรงนี้ไม่รู้เขารับลมอะไรมา หยิบจดหมายลับถือกระบี่ออกกระโจมของตน
เพิ่งเปิดประตูกระโจม เขาก็ถูกเกล็ดหิมะที่ปะทะเข้ามาทำเอาสำลักคำใหญ่ ไอไม่หยุดทันที ครั้งนี้ดีเสียอีก ไอเอาความคิดเด็ดขาดเมื่อครู่หายไปครึ่งหนึ่งด้วย คนทั้งคนยืนเหม่อลอยอยู่กลางหิมะ ไม่ถึงครู่บนหน้าก็มีน้ำค้างแข็งเกาะ
หลิวรุ่ยอิ่งมุดเข้ากระโจมใหญ่ของเฮ่อโหย่วเจี้ยนพร้อมหิมะเต็มหน้าเต็มหัว เห็นเพียงเฮ่อโหย่วเจี้ยนในชุดเกราะหยกเต็มยศ มือขวาจับด้ามกระบี่ตรงเอว กำลังยืนอยู่หน้าแผนที่
เงาหลังของกระโจมบัญชาการนี้ทำให้เขาละอายใจหลายส่วน แต่ก็ด้วยคำสั่งอยู่กับตัวจึงต้องรับมือเช่นนี้
สองฝั่งในกระโจมใหญ่วางกระถางไฟไว้ชิดขอบตามลำดับ หิมะบนตัวหลิวรุ่ยอิ่งละลายเป็นหยดน้ำหมดแล้ว ไหลหยดติ๋งๆ ลงมาตามผมซอยตรงจอนข้างใบหู
“ผู้แทนการตรวจสอบโปรดรอสักครู่”
มือซ้ายเฮ่อโหย่วเจี้ยนชี้ตรงที่ว่าง ให้หลิวรุ่ยอิ่งนั่งคอยก่อน
ถึงตรงนี้หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่ขลาดกลัวแล้ว ใครสนกันว่าอีกเดี๋ยวจะอยู่หรือตาย! เขานั่งลงอย่างม้าใหญ่ดาบทอง[5] ยังจงใจวางจดหมายลับไว้บนโต๊ะข้างหน้า วางมันไว้เรียบร้อย
………………………..
ต้องบอกว่าคนที่ทุกข์ใจที่สุดในยามนี้ เกรงว่าเป็นฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องนี่เอง
ระหว่างทางมุ่งไปรัฐติงเห็นแสงกระบี่สายหนึ่งลอยไปทางเมืองอ๋องของตนเต็มตา กลับทำอะไรไม่ได้
เทียบกับผู้ฝึกตนร่อนเร่ในยุทธภพเหล่านั้นฮั่ววั่งย่อมให้ความสำคัญกับหน้าตามากกว่า ก็คือหนังหน้าบางหรือเสียหน้าไม่ได้อย่างที่ชาวบ้านเขาพูดกัน ครั้งนี้ดีเสียอีก เรื่องทหารหมาป่าบุกพรมแดนยังไม่ได้จัดการ แล้วยังมียอดฝีมือจากที่ใดไม่ทราบโผล่ออกมาแสดงอำนาจใส่ตนอีก ตบหน้าหนนี้ดังลั่นโดยแท้ จงใจให้ฮั่ววั่งหลบไม่พ้น ได้แต่ข่มกลั้นรับไว้ หากให้เขารู้อีกว่ากระทั่งป้ายคำขวัญบนประตูวังอ๋องของตนยังถูกทุบเละไปครึ่งหนึ่งด้วย แม้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบรมภูมิขั้นสูงสุดอย่างเขาก็ต้องร่วงลงมาจากหลังม้าเป็นแน่แท้
รวมอันนี้ก็เป็นตบหน้าสองหนแล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ลงม้าค่อยๆ เดิน
จะว่าไปฮั่ววั่งเองก็ไม่เคยเดินเหยียบย่างบนพื้นดินชายแดนของตนอย่างจริงจังมาก่อน ทุกครั้งล้วนรีบมารีบไปดั่งไฟและลม
ผู้ควบคุมรัฐแต่ละแห่งเคารพนบนอบด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม แทบอยากจะเอ่ยคำสรรเสริญเยินยอออกมาให้หมด ชังก็แต่พ่อแม่ให้ปากตนมาแค่ปากเดียว
เขาเห็นฝั่งตรงข้ามมีคนหนึ่งเดินมาไกลๆ
ก้มศีรษะอยู่ แต่ฝีเท้าเร็วยิ่ง
‘ภาวะสงคราม อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ คงไม่ใช่ผู้ลี้ภัยจากรัฐติงหรอกกระมัง…’
ความสงสารจุดขึ้นในใจฮั่ววั่งเล็กน้อย อย่างไรก็เป็นประชาชนในปกครองของเขา นี่เป็นความรับผิดชอบเบื้องต้นอย่างหนึ่ง
ระยะห่างของทั้งสองใกล้ขึ้นทุกที เค้าโครงเริ่มชัดเจน
เป็นผู้เฒ่าถือพัดคนหนึ่ง ไม่ใช่บัณฑิตจางแล้วยังเป็นผู้ใด
ในใจฮั่ววั่งเกิดความสงสัยไม่น้อย
แม้ผู้เฒ่าคนนี้เดินเร็ว กลับไม่หอบหายใจสักนิด
ฝีเท้าหนักแน่น แต่รอยเท้าที่ทิ้งไว้บนพื้นหิมะบางและตื้นยิ่งนัก
ห่างชั้นกับย่ำหิมะไร้ร่องรอยในตำนานนั้นไม่เท่าไร
นี่ต้องมีกำลังภายในล้ำลึกเพียงใด
ฮั่ววั่งคิดว่าต่อให้เป็นตนอย่างมากก็ทำได้แค่นี้ เหตุใดรัฐติงยังมีเสือซุ่มมังกรซ่อน[6]เช่นนี้ด้วย
“ขอถามท่านผู้เฒ่ามาจากรัฐติง?”
ฮั่ววั่งยืนจูงม้า เอ่ยถามสุภาพยิ่ง
เขาไม่ได้พูดจาเช่นนี้มานานปีแล้ว
บัณฑิตจางเดินใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ปลายจมูกฮั่ววั่งขยับเล็กน้อยสองสามหน
เขาได้กลิ่นบางอย่าง
กลิ่นแบบนี้ไม่อาจบรรยายได้ แต่กลับเป็นกลิ่นเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า ไม่ว่าผู้ใดทำเรื่องนั้นล้วนต้องมีกลิ่นนี้ติดตัว
ไม่อาจปกปิด ไร้ทางซุกซ่อน
ฆ่าคน
ฮั่ววั่งได้กลิ่นความตายกลุ่มหนึ่งจากบนตัวบัณฑิตจาง
แม้ไม่เข้มข้น แต่ฮั่ววั่งรู้ว่าตนได้กลิ่นไม่ผิดแน่ ด้วยว่ากลิ่นเช่นนี้ เขาเคยได้กลิ่นตั้งแต่ตอนยังเด็กมากแล้ว
กลิ่นความตายไม่หนักแปลว่าจิตสังหารน้อย เจตนาสังหารเบาบาง
แต่เรื่องฆ่าคนนี้เคยมีใครสนใจจิตสังหารกับเจตนาสังหารเสียเมื่อไร นี่เป็นเรื่องเดียวในใต้หล้าที่ดูแค่ผลลัพธ์ไม่ถามเหตุการณ์
“อย่าขวางทาง!”
บัณฑิตจางเดินถึงตรงหน้าและเอ่ยอย่างขุ่นใจ
เสียงนี้ดันตรงออกมาจากในลำคอ ริมฝีปากไม่ได้ขยับเลย
“กระบี่ของท่านล่ะ”
ฮั่ววั่งเอ่ยถามฉับพลัน
บัณฑิตจางงุนงง เงยศีรษะมองคนตรงหน้า
เขาจำฮั่ววั่งได้ แต่ต่อให้เป็นติ้งซีอ๋องแล้วจะทำอะไรเขาได้
“ท่านพกกระบี่ แล้วคิดว่าคนทั้งใต้หล้าก็ต้องใช้กระบี่หมดงั้นหรือ”
“บุคคลเช่นท่านผู้เฒ่าต้องใช้กระบี่เป็นแน่”
“ตอนอายุเท่าท่านก็ใช้อยู่หรอก เพียงแต่ใช้ฆ่าไก่เชือดสุนัข คมมีดฆ่าสัตว์มักรู้สึกโชคร้าย ก็เลยทิ้งแม่น้ำไปแล้ว”
“ฆ่าคนล้วนไม่กลัว ยังกลัวฆ่าสัตว์?”
“ไก่ออกไข่ให้ข้าอิ่มท้องได้ สุนัขดูแลบ้านให้ข้าสบายใจได้ คนทำอะไรได้หรือ”
ฮั่ววั่งกลับไม่มีคำโต้ตอบ หันกายหลบอย่างช่วยไม่ได้
บัณฑิตจางเดินไปอย่างผ่าเผย
“นี่เป็นม้าดี!”
………………………..
เมืองจี๋อิง ในกองบัญชาการทัพกลาง
หลิวรุ่ยอิ่งจ้องมองจดหมายลับที่ตนวางไว้บนโต๊ะจนเหม่อลอย กระทั่งชาสดจอกหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าถึงทำให้เขาได้สติกลับมา
ยังไม่รอเฮ่อโหย่วเจี้ยนอ้าปาก หลิวรุ่ยอิ่งก็แย่งหัวข้อมาอ่านเนื้อหาในจดหมายลับรอบหนึ่ง
“อ้อ ในเมื่อบอกว่าข้าสมรู้ร่วมคิดกับศัตรู ไม่ทราบใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบมีหลักฐานใด”
“กรมสอบสวนตัดสินตามคำเล่า ตัดศีรษะก่อนค่อยรายงานเบื้องบน สิ่งนี้ห้าอ๋องอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ ต้องมีหลักฐานด้วย?”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็จะไปกับใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบสักหน เชื่อว่ากรมสอบสวนกลางจะต้องคืนความบริสุทธิ์ให้ข้าแม่ทัพ”
เฮ่อโหย่วเจี้ยนลุกขึ้นอย่างห้าวหาญ เอ่ยพลางดึงกระบี่คู่กายของตนทิ้ง
“เพียงแต่ตรงกับยามสงคราม เรื่องในกองทัพเยอะนัก ข้าน้อยจำต้องจัดการ”
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า เขาไม่อาจปฏิเสธคำขอนี้ ยิ่งไม่เข้าใจความเบิกบานของเฮ่อโหย่วเจี้ยน มองเขามอบหมายงานให้ผู้สั่งการหัวเมืองทั้งสอง หลิวรุ่ยอิ่งขยุ้มหนังหัวด้วยความตึงเครียดเล็กน้อย
ในจวนผู้ควบคุมรัฐติง
“ฮือๆๆ ลูกของข้า เจ้าอย่าเป็นอะไรไปเลยนะ! ฮือๆๆ…ทำอย่างไรดี…เอาชีวิตข้าไปแล้วไม่ใช่หรอกหรือ…”
เผียวเจิ้งหงคุกเข่าอยู่ข้างเตียง โจวอวิ๋นอวิ่นจับขอบเตียงมองทังจงซงที่เจ็บหนักร้องไห้ไม่ขาดสาย
“ท่านพูดสิ ควรทำอย่างไรดี! นางชั้นต่ำใจเหี้ยมผู้นั้นเป็นใคร ไปหามาให้ข้า! ข้าต้องถลกหนังนางทั้งเป็นให้ได้!”
เห็นลูกชายคนเดียวเป็นเช่นนี้ ในใจทังหมิงย่อมเป็นทุกข์ ที่จริงก่อนโจวอวิ๋นอวิ่นร้องโวยวาย เขาก็ทำความเข้าใจเหตุการณ์ประมาณหนึ่งแล้ว
“ฮูหยิน อดทนรอ…”
“เอาอะไรมาอดทน รอมารดามันสิ! ข้าบอกท่านเลยนะทังหมิง ถ้าลูกมีสามยาวสองสั้น[7]อะไรท่านก็อย่าคิดจะอยู่เป็นสุข!”
เรื่องถึงบัดนี้ โจวอวิ๋นอวิ่นระบายโทสะใส่ทังหมิงอย่างหนักแล้ว
หากไม่ใช่เพราะหักหน้าลูกชายที่ห้องประชุมวันนั้น เขาจะประชดไปพื้นที่ชายแดนหรือ หากไม่ไปแล้วจะเจ็บสาหัสเช่นนี้ได้อย่างไร สุดท้ายทั้งหมดทั้งมวลคือเขาไม่ควรด่าลูก!
ทังหมิงถูกโจมตีกะทันหันเช่นนี้ในใจก็โกรธกรุ่นเช่นกัน
แม้ลูกเจ็บหนักแต่ไม่เจ็บถึงตาย อย่างมากก็เสียกำลังวังชาไปเล็กน้อย ด้วยของบำรุงที่เขากินยามปกติเหล่านั้น กำลังน้อยนิดนี้ไม่ต่างอะไรกับหรี่ไฟ เจ้าหนุ่มนี่ร่างกายอ่อนแอเกินไปถึงได้รุนแรงเช่นนี้ สิ่งที่ทังหมิงใคร่ครวญเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เขามองใบหน้าซีดขาวของลูกชาย ความสงสัยบางอย่างค่อยๆ ผุดขึ้นในใจ เมื่อความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นก็ยากจะกำจัดทิ้ง
……………………………………
[1] ปลากับมังกรปะปนกัน หมายถึงคนดีและคนเลวอยู่ปะปนกัน
[2] รสนิยมของหลงหยาง หลงหยางจวินเป็นมือกระบี่เลื่องชื่อในยุครณรัฐ เป็นผู้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันจึงเป็นที่มาของสำนวน
[3] ความลุ่มหลงจนตัดแขนเสื้อ เรื่องราวของจักรพรรดิฮั่นไอตี้ผู้ชอบบุรุษเพศ วันหนึ่งคนรักของพระองค์นอนทับแขนเสื้อจึงไม่กล้าลุกด้วยกลัวปลุกอีกฝ่าย พระองค์จึงเลือกตัดแขนเสื้อตนเอง
[4] พระเก้าพันปี คำอวยพรขันทีตอนเข้าควบคุมราชสำนักแทนจักรพรรดิผู้อ่อนแอ สื่อว่าเป็นรองเพียงองค์จักรพรรดิเพราะปกติต้องอวยพรว่าทรงพระเจริญหมื่นปี
[5] ม้าใหญ่ดาบทอง หมายถึงกล้าได้กล้าเสีย สง่ามีภูมิฐาน
[6] เสือซุ่มมังกรซ่อน หมายถึงคนที่ไม่เปิดเผยความสามารถตนเอง
[7] สามยาวสองสั้น หมายถึง เรื่องอะไรก็ตามที่อาจนำมาซึ่งความตาย เป็นการกล่าวถึงความตายอ้อมๆ