ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 145 เข็มเงิน ด้ายทอง บัวสีเลือด-6
บทที่ 145 เข็มเงิน ด้ายทอง บัวสีเลือด-6
อันที่จริงเขามักจะแอบเอาหลิวรุ่ยอิ่งไปเปรียบเทียบกับระดับของเขาในใจเล็กน้อย
แน่นอนว่าเขาคลายด้ายทองตัดวิญญาณได้ เขาจึงคิดว่าหลิวรุ่ยอิ่งก็ย่อมทำได้เช่นกัน
แต่เมื่อเซียวจิ่นข่านเตือนสติเช่นนี้ เขาจึงตระหนักได้ว่าหลิวรุยอิ่งเป็นเพียงคนหนุ่มในวัยยี่สิบและนายกองตัวเล็กๆ ของกรมสอบสวนกลางเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหรือระดับตบะล้วนตามหลังตนต่างกันราวฟ้ากับเหว
เหตุใดเขาจึงเกิดภาพลวงตาเช่นนี้ได้เล่า
ตี๋เหว่ยไท่คิดไม่ตก
บางทีอาจมีข้อยกเว้นเกิดขึ้นกับเจ้าเด็กนี่มากเกินไป ทำให้เขารู้สึกประมาทไม่ได้
เพียงความรู้สึกลึกลับประเภทนี้ก่อตัวขึ้น รังแต่จะหนาขึ้นและหนักขึ้นเท่านั้น
เช่นเดียวกับชาวยุทธจอมหลอกลวงที่ข่มขู่ใต้ร่มเขาผู้มีอำนาจ แสร้งหลอกลวงแอบอ้างเหล่านั้น สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือล้วนใช้เคล็ดนี้ไม่ใช่หรือ
แสร้งทำเป็นลึกลับ ครั้นทุกคนตกหลุมพราง ราวกับเอามีดเฉือนเนื้อปลาพร้อมปล่อยให้ผู้คนเชือดมัน
ทว่าตี๋เหว่ยไท่ก็เข้าใจประเด็นสำคัญได้ในพริบตา
เช่นนั้นหลิวรุ่ยอิ่งก็หาได้แสร้งทำเป็นลึกลับไม่ แต่เดิมทีตัวเขาก็ลึกลับอยู่แล้ว
เขาลึกลับจนถึงขั้นที่ตนสังเกตเห็นความแปลกแยก แต่ไม่อาจทำอะไรได้
“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง ข้าระมัดระวังเกินไป”
นานทีปีหนจะเห็นตี๋เหว่ยไท่ยอมรับผิด
เขาไม่เคยยอมรับความผิดมานานมากแล้ว
ถึงอย่างไรผู้ที่ตำแหน่งสูง รู้ผิดพลาดและแก้ไข แต่ไม่ยอมรับข้อผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ
แม้กล่าวว่าผู้ใดไม่เคยทำผิดพลาด หากตราบใดที่ทำผิดก็ยอมรับผิด นานวันเข้า ตี๋เหว่ยไท่ไหนเลยจะมีความน่าเกรงขามของประมุขหอตี๋
ตราบใดที่เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กได้ มันจะผ่านไปอย่างราบรื่นในที่สุด เช่นนั้นย่อมนับเป็นการยอมรับผิด
กษัตริย์แห่งราชวงศ์ในอดีตออกบันทึกสำนึกผิดเป็นว่าเล่น ร้องขอความสวามิภักดิ์จากราษฎรใต้หล้า
แต่ตี๋เหว่ยไท่กลับมองว่านี่ช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งกว่าตนเสียอีก
เขายอมรับว่าตนจอมปลอมยิ่งนัก แต่ยังไม่ถึงระดับที่ต้องออกบันทึกสำนึกผิดเช่นนั้น
แม้ว่านี่จะเป็นวิธีดีๆ ที่ทำให้ผู้อื่นคิดว่าเขามีชื่อเสียงคุณธรรม แต่สำหรับเขากลับไม่มีประโยชน์อะไร
ตี๋เหว่ยไท่ก้าวหนึ่งรวบรวมทหาร ก้าวสองเรียกเก็บภาษี ตราบใดที่บทความที่เขียนเหนือกว่าผู้อื่น เช่นนั้นก็ไม่ผิด
จรดพู่กันมองเห็นความจริง
“จริงๆ แล้วข้ามีเรื่องที่สามารถบอกเจ้าได้”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ข้าไม่อยากได้ยิน”
เซียวจิ่นข่านปฏิเสธทันควัน
สิ่งนี้ทำให้ตี๋เหว่ยไท่ถูกปิดประตูไม่รับแขกทันที
ตี๋เหว่ยไท่หัวเราะ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าถูกคนปฏิเสธช่างดีทีเดียว
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาชอบพูดคุยดื่มสุรากับเซียวจิ่นข่าน
เพราะมันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตนยังเป็นมนุษย์อยู่
เป็นมนุษย์ที่ยังมีเลือดเนื้อ
อย่างไรชีวิตในหอทรงปัญญาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่สง่างามเช่นห้าอาณาจักร ผ่านไปนานก็มักจะเฉยชา
เพียงแต่ในยามนี้เอง เขาจึงรู้สึกว่าจิตวิญญาณและอารมณ์ของเขากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
แม้ว่าในหอทรงปัญญาจะมีเรื่องเล็กน้อยมากมาย
แต่ตามหลักการที่เรื่องใหญ่จัดการง่าย เรื่องเล็กจัดการยาก ผู้ที่สามารถทำให้เขาตกใจได้มีไม่มากจริงๆ
เหตุใดเรื่องใหญ่จึงจัดการง่าย
ทุกๆ เรื่องใหญ่ย่อมมีผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน
ตราบใดที่ปฏิบัติตามตัวอย่างในอดีต เพียงคัดลอกและทำตามมันก็พอแล้ว
เช่นเดียวกับความอดอยาก ก็เปิดยุ้งฉางเก็บเม็ดข้าว ที่ใดมีกบฏก็ส่งทหารไปปราบปราม
วางเรื่องเหล่านี้ไว้ที่หอทรงปัญญาก็เช่นเดียวกัน ล้วนมีแบบอย่างที่ต้องปฏิบัติตาม ไม่ต้องเปลืองแรงไปจัดการ
กล่าวถึงเรื่องเล็กจัดการยาก ซึ่งไม่เคยปรากฏท่ามกลางหอทรงปัญญามาหลายปีทีเดียว
เหลี่ยงเฟินเสียชีวิตนับเป็นหนึ่งเรื่อง
ดังนั้นตี๋เหว่ยไท่จึงเขียนบทกวียาวรำลึกถึง นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องเล็กที่จัดการยาก
ทว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องทางการและเรื่องภายนอกทั้งสิ้น
เขาใส่ใจวรรณกรรมทั้งใต้หล้า ใส่ใจหอทรงปัญญาแห่งนี้ แต่ผู้ใดเล่าจะมาใส่ใจเขา
ตี๋เหว่ยไท่ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ตราบใดที่มีคนพูดคุยด้วยแล้วสบายใจก็เป็นพอ
นับตั้งแต่เซียวจิ่นข่ายมา เขาจึงได้พบกับความรู้สึกเช่นนี้
ตี๋เหว่ยไท่อยากกล่าวบางอย่าง
แต่เซียวจิ่นข่านใช้นิ้วชี้แตะกลางริมฝีปากและชี้ออกไปนอกหน้าต่าง
………………………..
“คืนพื้นรองเท้าจริงมาให้ข้า!”
ยายเฒ่ากล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก
แม้ว่าพื้นรองเท้าคู่นี้จะเป็นของปลอม เขาก็มีเพียงคู่เดียวเท่านั้น หาได้มีของจริงไม่
เมื่อเขาเตรียมจะกล่าวอธิบาย
เงาสีขาวสองสายบินเฉียดผ่านไป
หลิวรุ่ยอิ่งหลบเลี่ยงตามสัญชาตญาณ
แต่เงาสีขาวสองสายไม่ได้พุ่งโจมตีเขา แต่เกาะบนด้ายทองตัดวิญญาณที่ยายเฒ่าโจมตีมาเมื่อครู่ไว้อย่างมั่นคง
พื้นรองเท้ากว้างใหญ่ แต่กลับพบความสมดุลบนเส้นบางๆ นี้ได้อย่างชาญฉลาด
ด้ายทองตัดวิญญาณดีดขึ้นลงเล็กน้อย จากนั้นก็หยุดนิ่งไป
ยายเฒ่ามองเงาสีขาวสองสายนี้ ครู่หนึ่งขอบตาพลันแดงรื้น
………………………..
“ผู้แก้ปมกระดิ่งมาแล้ว!”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ตัวละครหลักมาแล้ว!”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“เจ้าก็ทำนายสิ่งนี้ได้ด้วยหรือ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม
“ข้าต้องบอกกี่ครั้งเล่า ข้าไม่ได้ทำนายจริงๆ!”
เซียวจิ่นข่านกล่าวอย่างไร้ความอดทน
“แต่เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้าเพ่งสมาธิชัดเจน”
ตี๋เหว่ยไท่ไม่เชื่อ
“บัณฑิตเช่นท่าน ย่อมรู้จักความบังเอิญกระมัง!”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“แน่นอน เขียนตำราเดิมก็เขียนผู้คน บางครั้งเรื่องราวก็ไร้ซึ่งความเกี่ยวข้อง คนมีชีวิตตำรามีชีวิต คนดีตำราดี คนฉลาดตำราหลักแหลม
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“เช่นนั้นตอนนี้ก็เป็นเรื่องบังเอิญ!”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ตี๋เหว่ยไท่เบ้ปาก เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำกล่าวของเซียวจิ่นข่าน
“เช่นนั้นเจ้าทำนา-…เช่นนั้นตามที่เจ้ามองเห็น ทั้งสองคนพบกันแล้วจะเป็นอย่างไร”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าวถาม
เซียวจิ่นข่านกำลังจะโมโห แต่เมื่อเห็นตี๋เหว่ยยั้งคำว่า ‘ทำนาย’ เอาไว้จึงกล่าวอย่างใจเย็น
“จะมีการต่อสู้”
“ก่อนหน้านี้เจ้าเพิ่งกล่าวว่านางไม่ระบายใส่เขา”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ต่างเวลาก็ต่างสถานการณ์ ตอนนี้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่ต่อสู้กันแล้วยังจะทำสิ่งใดได้อีก หรือจะให้กุมศีรษะร้องไห้แล้วบอกความในใจกันและกันเล่า สุดท้ายทั้งเจ้าและข้าใช้เวลาร่วมกันน่ะหรือ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
………………………..
เป็นไปดังคาด
ยายเฒ่าหันไปขบเคี้ยวเขี้ยวฟันทางทิศที่เงาสีขาวโจมตีมา
เข็มดาราสีเงินในมือบินออกไปอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าจะเย็บปักผู้ที่ทิ้งขว้างพื้นรองเท้านี้แทน
“อิ๋นซิง!”
หลิวรุ่ยอิ่งจำเสียงของบัณฑิตจางได้
ผู้ที่ทิ้งขว้างพื้นรองเท้าคู่นี้หาใช่ใครอื่นนอกจากบัณฑิตจาง
“ไม่อนุญาตให้เจ้าเรียกนามของข้า!”
ยายเฒ่าคำราม
บัณฑิตจางเห็นเข็มดาราสีเงินพุ่งโจมตีมา จำต้องเหวี่ยงพัดกระดูกปัดป้องเพื่อปกป้องตนเอง
แต่เมื่อยายเฒ่าเห็นพู่ที่หางพัดกระดูกของบัณฑิตจางพลันตกตะลึงงัน
เข็มดาราสีเงินและด้ายกระบี่ปีศาจตัดวิญญาณไร้ซึ่งพลังหนุน จึงร่วงตกสู่พื้นในครึ่งทาง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
แต่ครั้นเห็นว่าบัณฑิตจางรู้จักกับยายเฒ่านี้ ร่างกายก็ยังโน้มตัวเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
“ท่านบัณฑิตจาง นี่คือ…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม
“นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของข้านิดหน่อย แต่กลับดึงเจ้าไปลำบากด้วย…”
บัณฑิตจางกล่าวอย่างเก้อกระดากเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร เพียงแต่ยายเฒ่านี่ลงมือโหดเหี้ยมยิ่งนัก ทั้งยังมีกลอุบายประหลาดมากมาย ท่าน…”
“ข้ามีแผนในใจ เจ้าไปเสียเถิด”
บัณฑิตจางกล่าวขัดจังหวะคำพูดของหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งมองบัณฑิตจางสลับกับมองยายเฒ่าที่ยังนิ่งงันอยู่ที่เดิมแล้วถอนหายใจ
จากนั้นตนนำพื้นรองเท้ายื่นส่งให้บัณฑิตจางแล้วเตรียมหมุนตัวหันหลังจากไป
“เจ้าหัวขโมยจะหนีไปไหน!”
เมื่อยายเฒ่าเห็นหลิวรุ่ยอิ่งกำลังจะจากไปพลันดึงสติกลับคืนได้ทันใด
“อิ๋นซิง เรื่องระหว่างเจ้าและข้า เหตุใดต้องดึงคนนอกมายุ่งเกี่ยวเล่า”
บัณฑิตจางกล่าว
“คนนอกหรือ เจ้าหนุ่มนี่ แล้วยังมีเจ้าหนุ่มที่อยู่กับเจ้าวันนั้นด้วย สองคนนี้เป็นใคร”
นามของยายเฒ่าชื่อเดียวกับเข็มบินที่นางใช้ ล้วนเรียกว่าอิ๋นซิง (ดาราสีเงิน)
“ผู้นั้นเป็นศิษย์ของข้า ส่วนคนผู้นี้นับว่าเป็นสหายต่างวัย”
บัณฑิตจางกล่าว
“สหายต่างวัยรึ ศิษย์รึ นับตั้งแต่เจ้าออกจากสำนักปากสอบเหตุใดเจ้ายังรับศิษย์อีกเล่า ข้าว่ามันเหมือนลูกชายเสียมากกว่า!”
อิ๋นซิงกล่าว
คราวนี้ทำเอาหลิวรุ่ยอิ่งขบขัน
จะว่าอย่างไรตนก็หาได้มีหน้าตาส่วนใดละม้ายคล้ายบัณฑิตจางแม้เพียงเสี้ยวไม่ อีกทั้งบิดามารดรของตนก็จากโลกนี้ไปนานแล้ว เหตุใดจึงมีบิดาเพิ่มขึ้นอย่างไร้เหตุผลได้เล่า!
แต่อิ๋นซิงไม่ฟังคำกล่าวอธิบายเหล่านี้
นางยังคงจมดิ่งอยู่กับโลกของนางอย่างดื้อรั้น
ชั่วขณะหนึ่ง หลิวรุ่ยอิ่งตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก
………………………..
“เจ้ากล่าวผิดแล้ว ทั้งสองไม่ได้ต่อสู้กัน!”
ตี๋เหว่ยไท่ดื่มชาพลางกล่าว
“อิ๋นซิงก็ลงมือแล้ว”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ลงมือไม่นับ หากต่อสู้ก็ต้องมีการโต้กลับจึงจะถูก”
ตี๋เหว่ยไท่ส่ายศีรษะพลางกล่าว
“ท่านอย่ามาสำบัดสำนวนที่นี่!”
เซียวจิ่นข่านรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
ถึงอย่างไรไม่มีผู้ใดยอมให้ผู้อื่นชี้ข้อผิดพลาดของตน
อันที่จริงในใจของเขาเอง เขาก็รู้ว่านี่ไม่นับเป็นการปะทะกัน
“ตอนนี้ข้าเพียงอยากรู้ว่า ผู้ใดเป็นคนมอบพื้นรองเท้าปลอมคู่นั้นให้หลิวรุ่ยอิ่ง”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่งานเลี้ยงคืนนั้นแน่นอน”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ก็จริง ข้าไม่เชื่อว่าผู้ใดทำเรื่องทั้งหมดนี้โดยรอดพ้นหูตาของข้าไปได้”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“ดังนั้นจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นหลังจากหลิวรุ่ยอิ่งกลับเรือนเป็นแน่”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ตี๋เหว่ยไม่ถามอย่างกระตือรือร้น
“ข้าไม่รู้ แต่ดูต่อไปก็คงจะรู้เอง”
เซียวจิ่นข่านกล่าวพลางไหวไหล่
เขาหันกายไปด้านข้างเล็กน้อย ราวกับไม่ชอบที่ตี๋เหว่ยไท่พูดพล่ามมากเกินไป
………………………..
“ข้าไม่มีลูก เพราะข้ายังไม่มีครอบครัว”
บัณฑิตจางกล่าว
“เช่นนั้นก็เป็นลูกนอกสมรส!”
อิ๋นซิงกล่าว
นางโยนตะกร้าขึ้นไปในอากาศ
ตะกร้าคว่ำอยู่กลางอากาศ ปากคว่ำลงและก้นหงายขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นด้ายทองตัดวิญญาณนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากตะกร้า
แต่ทิศทางที่ปลายด้ายเล็งไว้ไม่ใช่กายของเขาและบัณฑิตจางแต่เป็นกำแพงลานและรั้ว
เขารู้ว่าการต่อต้านนั้นไร้ประโยชน์ ยิ่งกว่านั้นบัณฑิตจางข้างกายก็ยังคงมั่นคงดุจขุนเขา ฉะนั้นหลิวรุ่ยอิ่งจึงสงบจิตใจลงและไม่ร้อนรนอีกต่อไป
เพียงแต่ทั้งสองมองไม่เห็น
ในตะกร้าใบนี้ยังมีด้ายทองตัดวิญญาณที่หนาแกร่งยิ่งนักสายหนึ่ง บินข้ามผ่านศีรษะทั้งสองและพุ่งไปยังทิศทางที่บัณฑิตจางก้าวเข้ามา
ไม่นานนัก ดอกไม้สีขาวกลุ่มหนึ่งตกลงมาตรงหน้า
“โอ๊ย…กระแทกเจ็บเจียนตาย!”
คิดไม่ถึงว่าอิ๋นซิงจะใช้ด้ายทองตัดวิญญาณลากทังจงซงที่ยังอยู่บนเตียงออกมา
ทังจงซงร่างกายเปลือยล่อนจ้อน สวมเพียงชั้นในตัวเดียว ถูกโยนลงไปนอนกองนอนเหยียดยาวอยู่บนพื้น
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวนี้ หลิวรุ่ยอิ่งแอบรู้สึกสุขใจ
ยังโชคดีที่ก่อนหน้านี้นางไม่ได้เอาจริงกับตน ไม่เช่นนั้นการเสียชีวิตของเขาในตอนนี้คงไม่ได้ดีไปกว่าทังจงซงมากนัก
หลิวรุ่ยอิ่งยกธงขาวให้ทังจงซง ถอดเสื้อคลุมของตนออกแล้วพาดบนตัวเขา
แม้ว่าไม่หนาวเย็น แต่เปลือยเปล่าเช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องอนาจารและน่าอายอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่ทังจงซงกลับไม่ถือสา
ไหวไหล่จนเสื้อคลุมของหลิวรุ่ยอิ่งร่วงไปกองบนพื้น
หลังจากมองไปรอบๆ จึงกล่าวกับอิ๋นซิงด้วยความโกรธจัด
“ท่านยายเฒ่าปีศาจทำสิ่งใด รู้หรือไม่ว่ารบกวนการฝันดีของผู้อื่น ขัดขวางผู้อื่นดื่มสุรา ทุบตีนกยวนยางเป็นบาปใหญ่สามประการในโลก เมื่อครู่ข้ากำลังฝันว่าดื่มสุรากับนารี ครั้งนี้ท่านได้ทำบาบใหญ่สามประการครบทุกข้อ ท่านจะชดใช้ให้ข้าอย่างไร!”
…………………………………………………………….