ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 112 สองด่านต่างความคิด-3
บทที่ 112 สองด่านต่างความคิด-3
“ขอถามท่านประมุขหอ ไม่ทราบเซียวจิ่นข่านไปไหนแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ข้าก็ไม่ทราบ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“นายกองหลิวคงเข้าใจผิดแล้ว…”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“เซียวไต้ซือไม่ได้สังกัดหอทรงปัญญาข้า ดังนั้นเขาไปที่ไหนอย่างไรข้าก็ไม่อาจรู้ ยิ่งไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
ได้พบกับเซียวจิ่นข่านอีกครั้งย่อมเป็นความโชคดีอย่างยิ่งของหลิวรุ่ยอิ่ง
เจอสหายเก่าในต่างถิ่นต่างแดน เป็นใครก็ต้องดื่มสุราสามจอกใหญ่
แต่หลิวรุ่ยอิ่งนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าตำแหน่งของเซียวจิ่นข่านในหอทรงปัญญาจะพิเศษเช่นนี้
ทังจงซงกับบัณฑิตจางออกไปพร้อมตี๋เหว่ยไท่ อย่างไรในฐานะศิษย์สายตรงของฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องก็ต้องต้อนรับเป็นพิเศษสักหน่อย
ไม่ว่าในใจตี๋เหว่ยไท่คิดอย่างไรล้วนต้องพยายามรักษาหน้าไว้
ตอนนี้ข้างกายของเขาเหลือเพียงโอวเสี่ยวเอ๋อกับจิ่วซานปั้นอีกครั้ง
“อยากไปด้วยกันหรือไม่”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถามพลางมองโอวเสี่ยวเอ๋อ
“ทำไมนับรวมข้าไม่ได้”
โอวเสี่ยวเอ๋อยู่ปากกล่าว
ยิ่งอยู่ด้วยกันนาน ท่าทางเช่นสตรีของนางก็ยิ่งเผยออกมามากขึ้น
“ฮ่าๆๆ เจ้าเป็นถึงแก่นกระบี่ตระกูลโอว! ข้าจะมีคุณสมบัติไปสั่งเจ้าได้อย่างไร”
จิ่วซานปั้นหัวเราะลั่นกล่าว ยังตบไหล่ของนางด้วย
ความสนิทสนมที่ไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้โอวเสี่ยวเอ๋อชะงักอยู่ตรงนั้น จากนั้นก็อดยิ้มไม่ได้
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นลู่หมิงหมิงที่จากไปในตอนแรกพลันเดินกลับมาหาเขา ตนจึงก้าวขึ้นไปเผชิญหน้า
“แม้เจ้ามีชื่อนายกองกรมสอบสวนกลาง และมีป้ายคำสั่งที่ท่านประมุขหอตี๋มอบให้…”
ลู่หมิงหมิงพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง เหมือนมีเรื่องในใจยากเอื้อนเอ่ย
“เจ้ายังจำคำที่ท่านประมุขหอพูดกับข้าในเรือนด้านหลัง ตอนข้าตามพวกเจ้าจากเมืองจิ่งผิงมาหอทรงปัญญาได้หรือไม่”
ลู่หมิงหมิงถาม
“ข้าจำได้”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“นั่นคือสิ่งที่ท่านประมุขหอกำชับไว้ก่อนข้าจากไปคราวก่อน ตอนนี้ข้ามอบมันให้กับเจ้า”
ลู่หมิงหมิงกล่าว
ยังไม่รอหลิวรุ่ยอิ่งได้สติ เขาหันกายจากไปแล้ว
ควรกลับ
วันนั้นหลิวรุ่ยอิ่งได้ยินคำนี้อย่างชัดเจน
ตอนควรกลับก็ต้องกลับ
แต่ลู่หมิงหมิงมีหอทรงปัญญาให้กลับ หนำซ้ำตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ไม่ได้จากไปไกลเกิน
แล้วตนต้องไปทางไหน
ที่นี่มีด่านภูเขาห่างจากเมืองหลวงนับหมื่นลี้
แบกรับภาระหนักยังไม่สำเร็จลุล่วง ไม่ว่าอย่างไรล้วนกลับไม่ได้
ควรกลับไม่มีจังหวะให้กลับ ควรกลับไม่มีที่ให้กลับ
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าเทียบกับติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งคอยป้องกันคิดแผนร้ายใส่ตนทุกวิถีทาง ทังหมิงคอยขัดขวางทำให้ตนลำบากแล้ว การมอบอำนาจตามใจอยากของตี๋เหว่ยไท่ทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกยิ่งกว่า
หนำซ้ำตนไม่ได้พูดเรื่องกระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปให้ชัดเจน แม้ตอนนี้อยากสืบรู้เรื่องนี้ก็ยากทำตามสะดวก
ดังนั้น เขาตัดสินใจช่วยจิ่วซานปั้นตามหามือสังหารที่ฆ่าเหลี่ยงเฟินก่อน
หลายวันนี้ ทุกคนล้วนไม่ได้พักผ่อน
กายใจไม่เต็มเปี่ยม หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดไม่กระจ่าง
จิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อทำเรื่องใช้แรงกายเล็กน้อยย่อมมีกำลังมากพอ แต่ถ้าเป็นการวิเคราะห์หารอยเท้าม้าใยแมงมุมอย่างละเอียดเช่นนี้ กลับได้แต่พึ่งตัวหลิวรุ่ยอิ่งเอง
………………………..
เขากลับถึงบ้านเซียวจิ่นข่าน พบว่าอีกฝ่ายนั่งดื่มชาอยู่ในเรือนด้านหลังของบ้าน
“ให้ข้าดูป้ายคำสั่งของเจ้าหน่อย”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งยื่นป้ายคำสั่งเข้าไป
“ฮี่ๆ เป็นของดี…เรียกได้ว่าเจ้าเดินพื้นที่หนึ่งหมู่สามเฟินในหอทรงปัญญาได้สบายหายห่วงแล้ว”
เซียวจิ่นข่านลูบอักษร ‘ตี๋’ บนป้ายคำสั่งพลางกล่าว
“เจ้ามาทำอะไรที่หอทรงปัญญากันแน่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เจ้ามาจากเมืองจิ่งผิง เคยแวะพักหรือค้างโรงเตี๊ยมหรือไม่”
เซียวจิ่นข่านไม่ได้ตอบตรงๆ แต่เอ่ยถามกลับ
“ไม่เคย พวกเราสามคนไปร้านตีเหล็กของลู่หมิงหมิง ระหว่างนั้นเกิดเรื่องยุ่งยากนิดหน่อย จัดการเสร็จก็ถูกเบญจลักขีรับมาหอทรงปัญญา”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“มิน่า”
เซียวจิ่นข่านพูดกับตัวเอง
“มิน่าอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“มิน่าเจ้าถึงไม่เคยเจออาจารย์ข้า”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“อาจารย์เจ้า?”
หลิวรุ่ยอิ่งประหลาดใจยิ่ง
คืนนั้นพวกเขาสองคนดื่มเหล้าคุยเปิดอก เซียวจิ่นข่านไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้สักคำ
“อาจารย์ของข้าคือไท่ไป๋ หนึ่งในห้าสุดยอดนักพรตอินหยางแห่งใต้หล้า”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้เรื่องนี้น้อยมาก แต่สมัญญาของนักพรตอินหยางไท่ไป๋กลับไม่มีใครไม่รู้จัก
ห้าสุดยอดนักพรตอินหยางแห่งใต้หล้านอกจากผู้เฒ่าเฉินที่มีความสัมพันธ์อันดีกับฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าแล้ว สี่คนที่เหลือล้วนเป็นนกกระสาเหนือเมฆ[1]เทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง[2] นึกไม่ถึงเซียวจิ่นข่านกลับมีโอกาสคารวะเป็นศิษย์ของหนึ่งในนั้น
แต่ไรมานักพรตอินหยางล้วนสืบทอดคนเดียว เช่นนี้ก็แปลว่าเซียวจิ่นข่านคือไท่ไป๋คนต่อไป
“โชคชะตาเล่นตลกใช่หรือไม่”
เซียวจิ่นข่านสังเกตเห็นความตกตะลึงของหลิวรุ่ยอิ่งผ่านทางหัวใจ จึงออกปากพูด
“โชคชะตาเล่นตลก”
หลิวรุ่ยอิ่งพึมพำซ้ำอีกรอบหนึ่ง
“แต่การเล่นตลกบางอย่างคือการหยอกเย้า เจ้าไม่นับ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
เขารู้สึกภูมิใจอยู่บ้าง
ตนรู้จักสนิทสนมกับสุดยอดนักพรตอินหยางไท่ไป๋คนต่อไป ย่อมควรค่าให้ภูมิใจโดยแท้
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครฆ่าเหลี่ยงเฟิน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เซียวจิ่นข่านถอนหายใจ
“ความจริงสำคัญขนาดนั้นเชียว?”
เซียวจิ่นข่านเอ่ยถาม
“สำคัญ! จะปล่อยให้คนผิดหลบหนีแล้วคนบริสุทธิ์รับโทษไม่ได้”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“ตอนนี้การฝึกตนของเจ้าอยู่ขอบเขตใดหรือ”
เซียวจิ่นข่านเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งจำได้ว่าตอนเขาบอกอีกฝ่ายเรื่องกระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปก็เคยเล่าการฝึกตนของเขาชัดเจนแล้ว แต่ในเมื่อเซียวจิ่นข่านถามเช่นนี้ เขายังคงพูดอีกครั้ง
“ทุกขั้นตอนล้วนมีหนึ่งด้านในทุกขั้นตอน เจ้าข้ามขั้นมากเกินไป”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ข้าเคยเลื่อนยศติดกันสามขั้นตอนอยู่หัวเมืองรัฐติงเขตติ้งซีอ๋อง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
ความหมายคือการข้ามขั้นเป็นเรื่องปกติของเขาอยู่แล้ว ไม่อาจประเมินได้ด้วยหลักการทั่วไป
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่พูดอะไรอีก”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ข้าช่วยเจ้าไม่ได้”
เหมือนเขารู้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งมาขอให้ตนช่วยจึงชิงออกปากพูดก่อน
“ก็เหมือนที่นายกองกรมสอบสวนอย่างเจ้าไม่อาจสอดแทรกบุญคุณความแค้นส่วนตัวในใต้หล้า ข้าในฐานะผู้สืบทอดของอินหยางไท่ไป๋ก็ไม่อาจก้าวก่ายเส้นทางแห่งผลกรรมนี้เช่นกัน”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ชี้แนะสักนิดก็ไม่ได้?”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“สำหรับข้าการชี้แนะเพียงเล็กน้อยกับบอกคำตอบเจ้าโดยตรงล้วนไม่แตกต่าง ชี้แนะเล็กน้อยคือการก้าวก่าย บอกเจ้าตามตรงก็คือการก้าวก่ายเหมือนกัน”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“แล้วที่ลู่หมิงหมิงบอกข้าว่าควรกลับหมายถึงอะไรกันแน่ หอทรงปัญญาอันตรายเช่นนี้เลยควรกลับอย่างนั้นหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“นี่เป็นสิ่งที่เขาชี้แนะเจ้า ไม่เกี่ยวกับข้า จะพูดอีกกี่ประโยคก็ไม่เป็นผล”
เซียวจิ่นข่านครุ่นคิดเล็กน้อยครู่หนึ่ง
“หากเจ้าคิดว่าเรื่องนี้มีหวัง เช่นนั้นไม่ว่ากลับเป็นหรือกลับตาย เจ้าจะไม่ไปทำ? หากใจไม่ได้แน่วแน่ขนาดนั้น ยังไม่สู้รีบวางมือตั้งแต่เนิ่น”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งก็ลังเลแล้ว
เขารู้สึกเหมือนตัวเองบุ่มบ่ามเกินไปหน่อย
ไม่รู้เป็นเพราะการเลื่อนยศสามขั้นติดหรือเปล่าที่ทำให้เขามัวเมาในความสำเร็จจนคิดว่าโลกนี้ไม่มีสิ่งใดขัดขวางเขาได้
ทั้งทะลวงขอบเขตบรมภูมิเทียม และยังฝึกเคล็ดอักษรในกระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปสำเร็จตัวหนึ่ง ยิ่งทำให้เขาดีใจจนลืมตัวเล็กน้อย
หากบอกลาตี๋เหว่ยไท่ตอนนี้แล้วขี่ม้าตะบึงทั้งวันทั้งคืนเอากระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปกลับไปฐานหลักกรมสอบสวนกลาง นั่นย่อมเป็นแผนยอดเยี่ยมที่มั่นใจได้ที่สุด
แต่ในเมื่อครู่นี้เขาเป็นเพื่อนกับจิ่วซานปั้นแล้ว ทั้งยังรับปากจะช่วยหาความจริง พิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้เขา นั่นก็เป็นการตัดทางหนีทีไล่ของตัวเองแล้ว
ระหว่างทบทวน กลับกลายเป็นมุ่งมั่นขึ้นกว่าเดิม
“พอข้าทำธุระเสร็จแล้วจะมาดื่มเหล้ากับเจ้า”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“ข้าอยู่ที่นี่เสมอ เหล้าก็มีทุกเมื่อ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
………………………..
เมื่อปลดภาระในใจ หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกผ่อนคลายมาก
แม้ยุทธภพนี้โหดร้ายเลือดเย็น ถึงขั้นน่าสลดใจ แต่อย่างน้อยยังมีสถานที่ที่แสงอาทิตย์สาดส่อง
จิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อกลับไปพักผ่อนแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งก็มีที่พักของตัวเอง เพียงแต่เขายังไม่เคยไปจนถึงตอนนี้
จะว่าไปบ้านทั้งหมดในละแวกนี้หน้าตาแทบไม่ต่างกัน และก็ไม่มีจุดไหนควรค่าให้สนใจอย่างแท้จริง
บ้านหลังนี้ไม่หันหาดวงอาทิตย์ แม้เป็นตอนดวงอาทิตย์ลอยสูงที่สุดก็ร่มรื่นทั้งพื้น
นี่กลับเป็นความรู้สึกที่หลิวรุ่ยอิ่งชอบ เขาไม่ค่อยชินกับสภาพแวดล้อมที่มีแสงสว่างเกินไป
แต่พอตกกลางคืน ในห้องจะไม่จุดตะเกียงก็ไม่ได้
เดินเข้าประตู ในบ้านมืดสลัว
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นคนคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะ
เขารีบขอโทษ นึกว่าตัวเองเดินเข้าผิดบ้าน
ตอนเขาเตรียมถอยกลับนี้เอง คนผู้นั้นเอียงกายมาโบกมือประตูก็ปิดสนิท
หลิวรุ่ยอิ่งชักกระบี่ทันที
เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้เดินเข้าผิดบ้าน นี่เป็นบ้านของเขาจริงๆ
เพียงแต่ในบ้านมีแขกไม่ได้รับเชิญเพิ่มมาคนหนึ่ง
มาตามคำเชิญถึงจะเป็นแขก
แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยเชิญใครเลย และเขาก็ไม่มีใครให้เชิญ
เข้าโดยไม่บอกถือเป็นการบุกรุก
คนผู้นี้บุกเข้ามา ถึงขั้นนั่งรอตนอยู่ตรงนั้นอย่างทะนงองอาจเสียด้วย คิดดูย่อมรู้ว่าเขาอาจหาญเพียงใด
หลิวรุ่ยอิ่งชักกระบี่ออกแล้ว แต่กระบี่ดาราในมือกลับไม่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยแต่อย่างใด
คนผู้นี้ปิดประตูแล้ว ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นต่อไป
บนหน้าเขาคลุมผ้าขาวชิ้นหนึ่ง กายสวมขุดขาวทั้งตัว
การแต่งกายสะดุดตาเช่นนี้ไม่เหมาะทำเรื่องในเงามืดอย่างแท้จริง
แต่เขาก็ทำไปแล้ว
และยังเปิดเผยโจ่งแจ้งเช่นนี้
บ้านแห่งนี้ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว
นี่ดูได้จากฝุ่นหนาเตอะบนพื้น
ฝุ่นเขลอะบนพื้นมีรอยเท้าแค่สายเดียว
รอยเท้าสายนี้ตรงดิ่งไปยังโต๊ะในห้อง
ชายชุดขาวเดินเข้ามาจากทางประตูหลัก และตั้งแต่นั่งลงก็ไม่ได้ขยับตัวอีกเลย
หากคนคนหนึ่งมีเรื่องต้องทำและยังสนใจในสิ่งที่ทำด้วย เช่นนั้นต่อให้เขาทำรวดเดียวสองสามชั่วยามก็จะไม่รู้สึกเหนื่อย
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าชายชุดขาวเข้ามาเมื่อไร แต่ต้องนานแล้วเป็นแน่
เพราะเขาเห็นฝุ่นละอองเบาบางร่วงลงบนรอยเท้าสายนี้อีกชั้นหนึ่ง
เทียนในห้องเปลี่ยนเป็นเล่มใหม่
พวกมันอยู่บนเชิงเทียนโดยไม่มีน้ำตาเทียนสักหยด
หากชายชุดขาวเข้ามานั่งข้างโต๊ะในห้องตั้งแต่เมื่อคืน เขากลับไม่ได้จุดแม้กระทั่งตะเกียง
ในห้องมีเพียงหน้าต่างแถวหนึ่งอยู่ระนาบเดียวกับประตูข้างหลังหลิวรุ่ยอิ่ง
ข้างโต๊ะที่ชายชุดขาวนั่งอยู่ยังมีประตูหลังอีกแห่งหนึ่ง ทะลุไปลานเล็กหลังบ้าน
แต่บริเวณประตูหลังไม่มีร่องรอยการเปิดใช้งาน
“เจ้าเป็นใคร”
เดิมหลิวรุ่ยอิ่งขวางกระบี่ไว้ที่อก ยามนี้กลับยืดแขนขวาตรง กล่าวพลางชี้ชายชุดขาวด้วยกระบี่
ปลายกระบี่ของเขากดลงเล็กน้อย ตำแหน่งที่ชี้คือข้อศอกของชายชุดขาว
ชายชุดขาวนั่งอยู่ ดังนั้นระยะข้อศอกกับหัวเข่าไม่ถือว่าห่างกัน
หลิวรุ่ยอิ่งใช้กระบี่ชี้จากที่ไกล ทว่าปิดข้อต่อสำคัญทั้งสี่ของเขาไว้แล้ว
หากชายชุดขาวคิดจะลงมือ เช่นนั้นต้องถือกระบี่ก่อนค่อยขยับแขน สุดท้ายอาศัยการเคลื่อนไหวของข้อศอกมาออกท่าโจมตี
หากชายชุดขาวคิดจะเคลื่อนร่างกาย เช่นนั้นต้องหยัดหลังก่อนค่อยยกแขน จากนั้นเอ็นร้อยหวายต้นขาด้านในจะดึงสองเข่าให้แบออก
แต่ชายชุดขาวไม่ได้ลงมือและไม่ได้เคลื่อนร่างกาย
เขาอ้าปากจะพูดบางอย่าง
ทว่าไม่ได้ส่งเสียงใด
อีกฝ่ายสวมผ้าคลุมหน้าอยู่ หลิวรุ่ยอิ่งไม่เห็นริมฝีปากเขาเคลื่อนไหว
แต่จากการขยับขึ้นลงของผ้าขาวบนหน้า ย่อมรู้ได้ว่าเมื่อครู่เขาอ้าปากจริงๆ
ชายชุดขาวเหมือนไม่ได้อ้าปากพูดมานานมากแล้ว
ขนาดเปล่งเสียงยังยากลำบาก
“เจ้า ควร กลับ”
………………………………………..
[1] นกกระสาเหนือเมฆ หมายถึงบุคคลรักอิสระ ตัดขาดจากเรื่องทางโลก
[2] เทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง หมายถึงบุคคลลึกลับ ไม่เปิดเผยตน