ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 109 อักษรเหว่ยไม่ครบขีด-4
บทที่ 109 อักษรเหว่ยไม่ครบขีด-4
ยามจื่อวันที่เจ็ดคืนแสงจันทร์ ในโถงหลักจวนอัครมหาเสนาบดี
ในที่สุด นางก็ยังได้พบเขา
แม้เขาเปลี่ยนไปจนทำให้นางรู้สึกแปลกตาอยู่บ้าง
คนชุดขาวกลับมาใส่ชุดสตรีอย่างหาได้ยาก เทียบกับเสวี่ยเวยแล้วไม่ด้อยไปกว่ากัน
เยี่ยเหว่ยยังคงแต่งตัวเช่นนั้น เพียงแต่ยามนี้ถือพร้าอยู่ในมือ
“เยี่ยเหว่ย?”
คนชุดขาวเรียกด้วยเสียงสั่นเครือ
“แม่นางหลี่”
เยี่ยเหว่ยตอบคำหนึ่งอย่างเฉยชา
คนชุดขาวรู้สึกอวัยวะภายในของตนบิดเข้าด้วยกัน…
เรียกครั้งหนึ่ง สื่อถึงทุกอย่าง
“ข้ามาทวงหนี้”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ข้ารู้ ข้าถึงมาใช้คืน ต่อให้เจ้าไม่ทวง ข้าก็จะคืนให้”
คนชุดขาวพยักหน้ากล่าว
เยี่ยเหว่ยโบกมือ แพรผูกผมสีแดงโต้ลมขึ้น กลับถูกเยี่ยเหว่ยฉีกขาดเป็นชิ้นขนาดสามฉื่อสามชุ่น
“สาม สมกับเป็นตัวเลขแห่งทำนองคลองธรรม”
เยี่ยเหว่ยพึมพำกับตนเอง
ท้องฟ้าเหนือศีรษะมีเมฆดำผืนใหญ่ก่อตัวอย่างเงียบเชียบ
เขาทำนายไว้แต่แรก
คืนนี้ ลมอ่อน
ไร้เมฆ และไร้จันทร์
แต่เมฆดำผืนนี้ควรอธิบายอย่างไร
‘ครืน!’
เมฆดำรวมตัวกันเร็วกว่าที่คิดไว้มากนัก
คนชุดขาวเงยหน้ามองฟ้า เผยสีหน้าปล่อยวาง
เยี่ยเหว่ยมองท้องฟ้าด้วยความสงสัยยิ่ง อินหยางลุ่มลึกพลันเปลี่ยนเป็นสับสนไม่อาจคาดเดา
“ข้าบอกแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ทวง ข้าก็จะคืนให้ เพียงแต่ไม่นึกว่าผลกรรมจะมาเร็วขนาดนี้”
คนชุดขาวยิ้มกล่าว
สีหน้าเศร้าโศก
“ข้ารู้นานแล้วว่าฮั่ววั่งศิษย์น้องของเจ้ามีใจคิดก่อกบฏ ข้าจึงให้พ่อข้าคุมตัวเขามาตัดหัว แต่ก่อนประหารข้าขโมยขื่อเปลี่ยนเสา[1]ให้ฮั่ววั่งใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ[2] คิดว่าเจ้าต้องดูออก ชะตากรรมของราชวงศ์ยังไม่สิ้นสุด ก่อเรื่องตอนนี้มีแต่ทางตัน ข้าไม่เคยทรยศหักหลังเจ้า ข้าแค่อยากให้เจ้าสบายดี…ข้าดูออกว่าเจ้าเป็นห่วงศิษย์น้องของเจ้ามาก ห่วงใยเขามากกว่าห่วงใยข้า ดังนั้นหากข้าช่วยเขา ข้าคิดว่าเจ้าจะดีใจ ข้าแค่อยากให้เจ้าดีใจ…ข้านึกว่าต้องเป็นเช่นนี้ ข้านึกว่าเจ้าจะเข้าใจ ข้านึกว่าเจ้าจะทำนายได้…”
คนชุดขาวกล่าวในหนึ่งลมปราณ
นางรู้สึกบนกายตนมีความผิดหวังอันเบาบางอยู่เล็กน้อย
เดิมคิดว่าคำพูดที่อัดอั้นอยู่ในใจเหล่านี้จะควบคุมไว้ได้ตลอด แต่บัดนี้ดันพูดออกมากับอดีตคนรักและศัตรูในปัจจุบันของตน
“มุ่งฝืนชะตากรรม อินหยางสะท้อนกลับ”
แม่นางหลี่กล่าวต่อ
ตัดสินโทษตายให้ตนเอง
ในยามนี้เอง ฟ้าร้องสะเทือนขวัญสายหนึ่งผ่าลงจากกลางอากาศ
อินหยางลุ่มลึกไม่ยอมให้มีสิ่งใดมาดูหมิ่น
“หากไม่มีทั้งหมดนี้ เยี่ยเหว่ย เจ้าจะแต่งงานกับข้าหรือไม่”
ด้วยแสงประกายของฟ้าผ่าสายนี้ เยี่ยเหว่ยเห็นคนชุดขาวยิ้มสดใส
เยี่ยเหว่ยพุ่งเข้าไปเหมือนคนคลุ้มคลั่ง
สองมือของเขากวัดแกว่งอยู่กลางอากาศไม่ขาดสาย คิดอยากคว้าเศษธุลีจากร่างคนชุดขาว
“ข้าแต่ง!”
ตำแหน่งที่คนชุดขาวยืนอยู่ เหลือเพียงพัดกลมเล่มนั้น
เยี่ยเหว่ยเสียบพัดเอียงไว้ในอก
ใช้แพรแดงสามฉื่อสามชุ่นในมือห่อหุ้มอากาศไว้เต็มเปี่ยม
“พวกเรากราบไหว้ฟ้าดินตอนนี้เลย!”
“ได้ฤกษ์มงคลแล้ว เจ้าสาวคำนับ! คำนับครั้งที่หนึ่ง…”
เยี่ยเหว่ยตะโกนด้วยตนเอง กอดมวลอากาศในแพรแดงกลุ่มนั้นไว้พลางคำนับลงอย่างเชื่องช้า
………………………..
หุบเขาน้อย ในหอฝันเฟื่อง
“เสี่ยวเอ้อร์ พัดเล่มนี้ข้าวางไว้ที่เจ้า หากแม่นางที่ดื่มเหล้ากับข้าคราวก่อนมาตามหาข้าที่นี่ เจ้าก็เอาพัดเล่มนี้ให้นาง”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
‘อินหยางยุติธรรมต่อทุกคน จึงไร้ความปรานีต่อทุกผู้เช่นเดียวกัน’
เยี่ยเหว่ยพูดประโยคหนึ่งกับตัวเองในใจ
จากนั้นสาวเท้าเดินออกจากหุบเขาน้อย
ศาลายาวสิบลี้ อำลามากเท่าไร วังเวงมากเท่านั้น
แม้ตอนนี้มีดอกท้อโอบล้อม แต่อารมณ์กลัดกลุ้มกลับไม่ลดลงสักนิดเดียว
“ศิษย์พี่!”
เยี่ยเหว่ยที่ยังคงหดหู่หยุดฝีเท้าลงเพราะเสียงเรียกกะทันหันจากด้านหลัง
ทั่วหล้านี้ นอกจากฮั่ววั่งเขายังเคยเป็นศิษย์พี่ของใครอีก
‘คอยวสันต์มาเยือนสามเดือนสี่ ความคะนึงเศร้าโศกมิบางเบา
ดอกท้อเบ่งบานดุจแอบอิงเสา ดื่มจนเมาเหลือเงาให้แลมอง’
เยี่ยเหว่ยดึงพร้าออกมา สลักกลอนบทหนึ่งลงบนเสาศาลา
“คารวะพี่สะใภ้เจ้า!”
เยี่ยเหว่ยหยิบแพรแดงห่ออากาศกลุ่มนั้นออกมาและกล่าวกับฮั่ววั่ง
ฮั่ววั่งเบ้าตาแดงทันใด โขกศีรษะคำนับแพรแดงไม่หยุด
“นี่เป็นทางเลือกของนาง วันหน้าห้ามเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก”
คืนนั้น เขากินน้ำแกงปลาเป็นครั้งที่สาม
ทว่าแคล้วคลาดปลอดภัยอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ราวกับก้างปลากระดูกปลานั้นหลบเลี่ยงเขาไปอย่างนั้น
กลับเป็นฮั่ววั่ง
คืนวันนั้นเขากินน้ำแกงปลาช้ายิ่ง
แม้เป็นก้างปลาชิ้นใหญ่ เข้าปากครึ่งค่อนวันก็ยังขย้อนออกมายาก สุดท้ายจำต้องอาเจียนออกมาทั้งหมดพร้อมเนื้อปลาเคี้ยวละเอียดถ้วยหนึ่ง
ส่วนครั้งที่สี่ ผ่านมานานมากทีเดียว
แต่วันนั้นจดจำง่ายยิ่ง
ไม่เพียงเยี่ยเหว่ยกับฮั่ววั่งที่จำได้
คนทั้งใต้หล้าก็ไม่มีใครลืม
วันนั้น เป็นวันที่ห้าอ๋องรวมกำลังโจมตีเมืองหลวง (เมืองหลวงในปัจจุบัน)
ชัดเจนขึ้นอีกหน่อย ก็คือสามชั่วยามก่อนโจมตีเมืองหลวง
ยิ่งเป็นการสู้รบที่ดุเดือดเท่าไร ยิ่งสำเร็จเร็วขึ้นเท่านั้น
แต่ยิ่งรวดเร็ว ก็ยิ่งน่าเวทนา
น้ำแกงปลาในวันนั้น เป็นสีแดง
ต้มโดยผสมเลือดคน
เยี่ยเหว่ยจดจำคำพูดของหมอพเนจรไว้มั่นในใจตลอดมา
‘เรือเล็กลำหนึ่งไม่อาจผ่านลมฝน ใบไม้บดบังสายตาไม่เห็นเขาสูงใหญ่’ สองประโยคนี้เข้าใจง่ายมาก ก็แค่ให้เขาสองคนสามัคคีกัน ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ถึงจะฝ่าพายุฝนและทนต่อคลื่นใหญ่ได้
‘เสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกัน บนฟ้าผืนเดียวกันไม่อาจมีมังกรสองตัว’ สองประโยคหลังมีความหมายลึกซึ้งเล็กน้อย
เยี่ยเหว่ยไม่เคยเข้าใจ
ความจริงเขาคิดว่าตัวเองทำไม่ได้แม้แต่สองประโยคแรก สองประโยคหลังยิ่งไม่มีอะไรให้พูดถึง
ดังนั้นจึงไม่ได้ไปวิเคราะห์ ไม่อย่างนั้นไหนเลยจะมีหลักการที่คิดไม่ออก
ความต่างระหว่างคนด้วยกันไม่ได้มากขนาดนั้น
คนที่คิดว่าตัวเองสูงส่ง ใช้อำนาจไปทั่วเหล่านั้นก็เป็นเพราะเจ้าเห็นโลกมาเยอะหน่อยเท่านั้น
คนอื่นอาจไม่มีปัจจัยไปสัมผัสเช่นเจ้า หากวางอยู่ในฐานะเดียวกันหมด จะเกิดสภาพการณ์แบบใดขึ้นก็ไม่มีใครล่วงรู้
แน่นอน ยังคงมีคนฉลาด มีคนโง่เขลา มีคนใจบริสุทธิ์ มีคนเลวทราม
แต่ไม่เคยมีใครประสบความลำบากใจของคนฉลาด…
อย่างไรฉลาดชั่วครู่ชั่วยามก็เป็นเรื่องง่าย ใครๆ ก็มีช่วงเวลาปัญญาไว
ฉลาดชั่วชีวิตกลับยากมาก ลองถามมีใครไม่เคยพลั้งพลาด
แต่ถ้าฉลาดชั่วครู่ก็นับเป็นคนฉลาดได้ละก็ มาตรฐานนี้ก็ต่ำไปหน่อยจริงๆ
เปรียบเทียบกัน คนโง่เขลาก็ผ่อนคลายสบายตัวกว่ามาก
เหมือนที่ท่านย่าของจิ่วซานปั้นกล่าวไว้ ‘มีลมก็ผาย มีอะไรก็พูด อยากหัวเราะก็หัวเราะ’ อย่างไรก็ไม่มีใครสนใจตัดสินว่าเขาถูกหรือผิด ย่อมเปิดเผยตัวตนได้โดยไม่ต้องพะวักพะวน
คนฉลาดอิจฉาความซื่อตรงเป็นธรรมชาติของคนโง่เขลา
คนโง่เขลาปรารถนาการยกยอปอปั้นที่คนฉลาดได้รับเหลือหลาย
เพียงแต่เขาไม่อาจกลับสู่โลกใบนั้น
และไม่อาจเข้าสู่โลกใบนี้
ถูกกั้นด้วยประตูแคบบานหนึ่ง ต่างฝ่ายอิจฉากันจนกลายเป็นขี้เถ้าหยิบมือหนึ่ง
ส่วนเยี่ยเหว่ยกับฮั่ววั่ง ไม่อาจใช้ความฉลาดและโง่เขลามาบรรยายได้แล้ว
เขาสองคนตอนควรฉลาดก็หลักแหลม ตอนควรโง่ก็ทึ่มทื่อ
คนฉลาดมักเลือกทิศทางที่ถูกต้องได้เสมอ แต่คนโง่เขลารู้จักแต่ก้มหน้าดื้อดึงเพียรพยายาม
เมื่อสองอย่างนี้รวมกันก็เรียกว่าสติปัญญา
ช่างเป็นผลงานยอดเยี่ยมโดยแท้!
เป้าหมายของฮั่ววั่งชัดเจนยิ่ง นั่นคืออยากโค่นล้มการปกครองกดขี่ของราชวงศ์
ส่วนโค่นล้มอย่างไรน่ะหรือ
ภายใต้สงครามทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นได้
ส่วนก่อเรื่องที่ใดน่ะหรือ
ฟ้าดินกว้างใหญ่ สร้างผลงานได้เต็มที่ เหตุใดต้องเลือกเป็นพิเศษด้วยเล่า
นอกจากฮั่ววั่ง ตอนนั้นห้าอ๋องแห่งใต้หล้ายุคปัจจุบันก็ต่างยกธงต่อต้าน เตรียมยึดอำนาจเมืองหลวงกันหมดแล้ว
ทว่าผู้เฒ่ากระบี่ดาราฮ่องเต้ของราชวงศ์ไม่มีอำนาจ
มีเพียงกระบี่
บอกว่ายึดกระบี่อาจจะเหมาะสมกว่า
ในอ๋องทั้งห้า กองกำลังของฮั่ววั่งน้อยที่สุด มีแค่เจ็ดพันคน นามว่าทัพติ้งซี
เยี่ยเหว่ยศิษย์พี่ของเขานำทัพด้วยตนเอง
ฮั่ววั่งเพียงวางกลยุทธ์ กำหนดแผนการ
ทัพอีกาดำในปัจจุบันก็มีแค่เจ็ดพันคน
น้อยคนนักที่รู้ว่าตอนแรกเริ่มชื่อของทัพอีกาดำไม่ใช่อีกาดำ แต่ชื่อติ้งซี
สงครามจบแล้ว
ราชวงศ์สิ้นสุด
ตอนทั้งสองนั่งกินน้ำแกงปลาอยู่บนซากปรักหักพัง ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดไฟสงครามลุกท่วมเมือง เยี่ยเหว่ยบอกฮั่ววั่งว่าขาของเขาบาดเจ็บ ภายหน้าคงออกรบยากแล้ว
และใต้หล้ากำลังจะมีการปฏิรูปครั้งใหม่ ต้องหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมให้สายอินหยางไท่ไป๋
ฮั่ววั่งไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงกินน้ำแกงปลาอย่างเงียบเชียบ
เยี่ยเหว่ยไม่โชคดีเหมือนคราวก่อน ก้างปลาติดคอเข้าเต็มๆ
“ท่านว่าหากข้าไม่อยู่แล้วก้างปลาติดคอตายจะทำอย่างไร”
ฮั่ววั่งช่วยเขาล้วงก้างปลาออกและกล่าว
“นั่นก็เพราะข้าต้องตาย ถึงตอนนั้นต่อให้เจ้าอยู่ก็อาจตบไม่ออก”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“นอกจากปลา เจ้าชอบกินอะไรอีก”
เยี่ยเหว่ยกลับมาถามตามปกติ
“เทียบกับชอบกิน ข้าชอบดื่มเหล้ามากกว่า”
ฮั่ววั่งกล่าว
“เหล้าต้องดื่ม ของก็ต้องกินเหมือนกัน”
เยี่ยเหว่ยกินน้ำแกงปลาในถ้วยจนหมดแล้วกล่าว
“นี่นับว่าท่านกำลังพูดสั่งเสียหรือไม่”
ฮั่ววั่งเช็ดปากกล่าว
“ข้าอยากไปหาสถานที่ดีๆ สักแห่งฝังพี่สะใภ้เจ้า”
เยี่ยเหว่ยกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง จากนั้นกล่าวพลางมองทอดไกล
“ใต้หล้าในยามนี้ ยังมีที่ใดที่พวกเราพี่น้องไปไม่ได้ มีสิ่งใดที่ไม่อาจครอบครอง มีเรื่องใดที่ทำไม่ได้ด้วยหรือ”
ฮั่ววั่งลุกขึ้นกล่าวอย่างผึ่งผาย
เมื่อเห็นท่าทางของเขา เยี่ยเหว่ยเข้าใจสองประโยคหลังในจดหมายที่หมอพเนจรทิ้งไว้ให้ตนทันที ‘เสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกัน บนฟ้าผืนเดียวกันไม่อาจมีมังกรสองตัว’
เขารู้ ตนถึงเวลาต้องไปแล้ว
อักษรเหว่ยไม่อาจเขียนครบ ต้องขาดเส้นนอนตรงกลางฝั่งขวา
ในโลกที่ต้องยืนหยัดอย่างภาคภูมิ สองคนไม่อาจอยู่เคียงกัน
“ข้าอยากไปหาสถานที่ที่เมฆมาบรรจบกับลำธาร แล้วฝังนางเสีย”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ที่ไหนมีเมฆบรรจบลำธารหรือ”
ฮั่ววั่งเอ่ยถาม
“ไม่รู้…ข้าต้องไปหา”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“กลับมาเมื่อไร”
ฮั่ววั่งเอ่ยถาม
“ไม่รู้…พอหาเจอแล้ว ข้ายังอยากอยู่เป็นเพื่อนนางหน่อย”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ห้าปี?”
ฮั่ววั่งถาม
เยี่ยเหว่ยส่ายหน้าเบาๆ
“สิบปี?”
เยี่ยเหว่ยยังคงส่ายหน้า
“ยี่สิบปี?”
ฮั่ววั่งไม่ยอมเลิกรา
“อาจจะกระมัง ยี่สิบปีข้าอาจพูดสิ่งที่อยากพูดหมดแล้ว แต่ใครจะบอกได้แม่นล่ะ…”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ท่านพูดกับพี่สะใภ้ยี่สิบปี ก็ต้องพูดกับข้ามากกว่าสองสามชั่วยามกระมัง”
ฮั่ววั่งกล่าวอย่างร้อนใจ
“ฮ่าๆ! ได้! เช่นนั้นก็ยี่สิบปี!”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ยี่สิบปีข้าไปหาท่าน!”
ฮั่ววั่งตื่นเต้นกล่าว
“ข้าไปหาเจ้าดีกว่า เจ้าคงหาข้าเจอยาก”
เยี่ยเหว่ยลุกขึ้น บอกจะไปก็ไปเลย
“ถึงตอนนั้นข้าไม่อยากกินน้ำแกงปลาอีกแล้ว!”
เยี่ยเหว่ยฉวยมือจูงม้าตัวหนึ่ง โบกมือไปด้านหลังพลางกล่าว
………………………..
เมืองจิ่งผิง ในร้านอาหาร
“ที่จริงข้าก็ไม่ชอบกินปลา แต่ไม่รู้ทำไมวันนั้นกลับโพล่งออกมาว่าข้าอยากกินน้ำแกงปลา”
ฮั่ววั่งกล่าวกับเยี่ยเหว่ย
“ข้าไม่ชอบกินน้ำแกงปลา แต่ข้าชอบสีของน้ำแกงปลา”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ตอนนี้ท่านเลยทำเต้าหู้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ”
ฮั่ววั่งกล่าว
เยี่ยเหว่ยไม่เอ่ยคำใด
“พี่สะใภ้ล่ะ”
ฮั่ววั่งเอ่ยถาม
เยี่ยเหว่ยชี้หน้าอกของตนเอง จากนั้นเรียกให้ทัพอีกาดำเหล่านั้นถือกล่องอาหารมาโถงด้านหลัง
“พวกเรากินอะไร”
ฮั่ววั่งเอ่ยถาม
“นั่นต้องดูว่าเจ้าเอาเหล้าอะไรมา”
เยี่ยเหว่ยถาม
“เหล้าแรง!”
ฮั่ววั่งกล่าว
“เช่นนั้นก็กินหม้อไฟ!”
………………………………………
[1] ขโมยขื่อเปลี่ยนเสา หมายถึงการใช้กลลวงให้ศัตรูต้องเปลี่ยนแผนตามความต้องการของเรา
[2] จักจั่นลอกคราบ หมายถึงการหลบหนีโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว