ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 105 อย่าเอาเรื่องจริงมาล้อเล่น-3
บทที่ 105 อย่าเอาเรื่องจริงมาล้อเล่น-3
“จิ่วซานปั้นหรือ เขากลับมาทำสิ่งใดอีก!”
“อันที่จริง ฆาตกรที่ฮวาลิ่วกล่าวถึงไม่ใช่ทังจงซง แต่เป็นจิ่วซานปั้น! แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง จิ่วซานปั้นได้พบเจอกับพวกเขาทั้งสองคน ดังนั้นสี่พี่น้องเบญจลักขีจึงถือว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“จิ่วซานปั้นวิ่งกลับมาพร้อมถือกรรไกรคีบถ่าน ประโยคแรกคือ ‘ทำไมไม่สู้แล้วเล่า’ ฮวาลิ่วไหนเลยจะทนคำยั่วยุเช่นนี้ได้ ทังจงซงก็น่าสนใจเช่นกัน…ตอบเขาไปว่า ‘รอเจ้าอยู่!’ คราวนี้ยิ่งไปกันใหญ่ กระตุ้นจิ่วซานปั้นและฮวาลิ่วขึ้นมาแล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ เสี่ยวจีหลิงหยิบขนมแป้งกุหลาบหนึ่งชิ้นเข้าปาก
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจิ่วซานปั้นนี่ยังมีความภักดีหลายส่วน!”
มีคนกล่าว
“ไม่ใช่หรอก! ผู้เชี่ยวชาญวรรณกรรมสูงกล้าหาญ! พวกเจ้าไม่เห็น…กรรไกรคีบถ่านอันนั้นในมือเขาไม่ได้แพ้ไปกว่ากระบี่ของทังจงซง! คราวนี้จิ่วซานปั้นเป็นฝ่ายโจมตี เนื่องจากวันซานห้ามไว้ฮวาลิ่วจึงไม่อาจลงมือ ฉะนั้นฟางซื่อและเตาอู่จึงถือกระดานหมากล้อมหมายจะขวางจิ่วซานปั้น ปรากฏว่าจิ่วซานปั้นหนึ่งกระบี่ ไม่สิ หนึ่งกรรไกรคีบถ่านฟาดฟัน ทำให้ทั้งสองต้องถอยหลังไปหลายก้าว กลับกันแล้วจิ่วซานปั้นเพียงถอยหลังไปสองสามก้าวเท่านั้น!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
แต่ไหนแต่ไรในบรรดาเบญจลักขีฟางซื่อและเตาอู่ให้ความสำคัญกับการป้องกันมาโดยตลอด
ต่อให้จิ่วซานปั้นจะโจมตีกะทันหัน ทั้งสองก็ไม่ควรเสื่อมถอยลงจึงจะถูก
จะเห็นได้ว่า เจ้าจิ่วซานปั้นไม่เพียงชื่อแปลกเท่านั้น พลังก็แปลกเช่นกัน
“เหตุใดปีนี้อาณาจักรติ้งซีอ๋องของเราถึงคึกคักตั้งแต่ต้นเหมันต์ฤดูเลยเล่า!”
มีคนทอดถอนใจกล่าว
“แต่ว่าปลายสารทฤดูปีก่อน เห็นดาวศุกร์โคจรไปทิศตะวันตก…ดาวศุกร์นี่ต่อสู้ทำสงคราม เกรงว่าจะตอบสนองเรื่องของปีนี้…”
มีคนกล่าว
“โชคดีที่หลังจากการโจมตีของจิ่วซานปั้นก็ไม่ได้คืบจะเอาศอกอีกต่อไป”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“ไยไม่ใช้ประโยชน์จากชัยชนะไล่ตามมันเล่า หากเป็นข้าจะสู้สุดชีวิตพร้อมคุณชายทังนั่นไปแล้ว! ไม่สนว่าใครจะถูกผิด ไม่อาจปล่อยให้อาณาจักรติ้งซีอ๋องของเราเสียหน้าได้!”
“ใช่แล้ว! แต่…เกรงว่ากรรไกรคีบถ่านนั่นจะไม่มีประโยชน์เท่ากระบี่ยาวกระมัง”
ทุกคนหัวเราะท้องแข็ง
แม้แต่เสี่ยวจีหลิงก็หัวเราะพลางลูบท้อง ราวกับเมื่อครู่หายใจแน่นอก
“จากนั้น…”
จากนั้นเสี่ยวจีหลิงก็ไม่รู้เช่นกัน
เมื่อเขาเห็นจิ่วซานปั้นกลับมาพร้อมกับกรรไกรคีบถ่าน เขาก็วิ่งเผ่นแน่บแล้ว
เหตุใดเสี่ยวจีหลิงจึงกลายเป็นเสี่ยวจีหลิงได้ใช่ว่าไม่มีสาเหตุ
เขาไร้การศึกษา และไร้ขั้นฝึกตนวิถียุทธ์
เหตุผลที่ได้รับความนิยมชมชอบเพียงนี้ เพราะรู้เรื่องราวข่าวคราวมากมายโดยอาศัยดวงตาเฉียบคมและปากเฉียบแหลม
สิ่งที่เขาพูดมักเป็นความจริงครึ่งความเท็จครึ่ง ไม่ก็ครึ่งแรกเห็นกับตาตนเอง แต่จุดจบแต่งขึ้นเอง หรือไม่ก็เห็นครึ่งหลังแล้ว สาเหตุคือการคาดเดาทั้งหมด
แต่ด้วยปากเฉียบแหลมของเขากล่าวปุ๊บ สมบูรณ์ไร้ที่ติเป็นธรรมชาติ ราวกับเติมดอกไม้บนผ้าทอลาย! กระทั่งมันน่าตื่นเต้นเร้าใจยิ่งกว่าเรื่องเกิดขึ้นจริงมากนัก!
ทว่า ไม่ว่าเรื่องราวจะวิเศษเพียงไหน ก็ต้องมีชีวิตให้เห็นและมีชีวิตให้เล่า
ดวงตาแสนเฉียบคมคู่นั้นของเสี่ยวจีหลิงมักจะทำให้สามารถเขาประเมินสถานการณ์ มีวิธีรุกหน้าและถอยหลัง
คนแบบใดจึงจะไปแล้วกลับมาอีกเล่า
ไม่เป็นคนสารเลวฟั่นเฟือน ไม่ก็เป็นตัวละครโหดเหี้ยมมีคนหนุนหลังจึงไม่เกรงกลัว
เมื่อจิ่วซานปั้นกลับมาพร้อมกรรไกรคีบถ่าน หลังจากหลบเลี่ยงฟางซื่อและเตาอู่ด้วยท่าเดียว เสี่ยวจีหลิงก็รู้ว่าจิ่วซานปั้นคือคนหลัง
แต่เขาควรจะไปแล้ว
หลังจากเขาไปแล้ว ทังจงซงเอียงศีรษะเหลือบมองบัณฑิตจางเล็กน้อย
บัณฑิตจางดูไม่ออกว่าส่ายศีรษะหรือโคลงเคลงศีรษะจึงไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
“ช้าก่อน!”
เมื่อเห็นว่าจิ่วซานปั้นจะลงมืออีกครั้ง บัณฑิตจางก็กล่าวคำหยุดยั้งเขา
“เราเป็นคนจากวังติ้วซีอ๋อง”
บัณฑิตจางกล่าว
“วังติ้งซีอ๋องรึ?!”
นี่มันนี่เกินความคาดหมายของวันซาน
“เขานามว่าทังจงซง เป็นศิษย์สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของฮั่ววั่งติ้งซีอ๋อง ส่วนข้าเป็นอาจารย์บุ๋นของเขา”
บัณฑิตจางกล่าว
นามของทังจงซงพวกเขาเบญจลักขีก็พอรู้มาบ้าง
อย่างไรเสียเรื่องที่ฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องรับศิษย์ดังเลื่องลือถึงเพียงนี้ ในฐานะสาวกหอทรงปัญญาก็จำต้องเฝ้าติดตามเช่นกัน
เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าจะเผชิญหน้ากันเร็วเพียงนี้ ทั้งยังเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เป็นมิตรเช่นนี้…
“มีหลักฐานใดหรือไม่”
วันซานพลันคิดว่าสมแล้วที่ทังจงซงเป็นศิษย์ของติ้งซีอ๋อง ไม่ธรรมดาดังคาด แต่ตอนนี้ไม่อาจยอมแพ้เพียงเพราะคำพูดของอีกฝ่าย
หอทรงปัญญาไม่ได้ด้อยไปกว่าวังติ้งซีอ๋องของเขา
บัณฑิตจางไหนเลยจะรู้ว่าถุงผ้าถูกทังจงซงทิ้งไว้ในโรงอาหาร ครั้นค้นหาพลันตัวแข็งทื่อทันที
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของบัณฑิตจาง ฮวาลิ่วยิ่งโกรธจัด
พลันคิดว่าพี่ชายข้าเพิ่งตาย ไม่อาจแก้แค้นฆาตรกรตรงหน้าได้ไม่ว่า แต่กลับพบคนหลอกลวงใช้วังติ้งซีอ๋องมาบีบหอทรงปัญญาข้า จะทนไหวได้อย่างไร
ฮวาลิ่วถอนตัวจากวันซาน ร่างกายโผล่พรวดมาอีกครั้ง
ในยามนี้ทังจงซงหันกลับไปมองบัณฑิตจาง และยังไม่หันกลับมา
จิ่วซานปั้นเห็นเขาขยับแล้ว ตนก็ขยับตามเช่นกัน
เมื่อฮวาลิ่วเคลื่อนไหวคีบหมากสีดำสี่เม็ด
หมากล้อมสีดำสี่เม็ดเป็นการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของฮวาลิ่ว
แต่เทียบกับหมากสีดำที่ลงมือนี้ ท่าร่างของฮวาลิ่วว่องไวยิ่งกว่า
ในชั่วพริบตามาอยู่ตรงหน้าจิ่วซานปั้นและโจมตีเขาสี่กระบวนท่า
สองมัด สองฝ่ามือ
พวกเขาล้วนมีทักษะวิชาวิถีรวมเป็นหนึ่งที่เหนือกว่าอย่างยิ่ง
สองหมัดมุ่งเป้าไปที่ไหล่ของเขา สองฝ่ามือมุ่งเป้าไปที่เข่าของเขา
ล้วนเป็นตำแหน่งข้อต่อทั้งสิ้น
จิ่วซานปั้นสีหน้าเคร่งขรึม เขาสัมผัสได้ว่านี่แตกต่างจากการปะทะกับเหลี่ยงเฟินเมื่อคืน
ทักษะวิชาของเหลี่ยงเฟินแม้จะมหัศจรรย์และแปลกตา แต่ก็ให้ความสำคัญที่การปลดปล่อย
เขาไม่บุกโจมตีก่อน กระบวนท่ามีเล่ห์เหลี่ยมแต่ไร้ไอสังหาร มีไว้เพื่อการป้องกันตนเท่านั้น
ทว่าฮวาลิ่วกลับไม่ใช่ ทุกกระบวนท่าของเขาเผยความเฉียบคม รุนแรงสุดขั้ว เพียงต้องการทำลายไหล่แหลกด้วยสองหมัด หักขาด้วยสองฝ่ามือ
สิ่งนี้แม้ไม่ทำให้จิ่วซานปั้นตาย แต่สามารถทำให้เขากลายเป็นคนไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
นี่ทรมานยิ่งกว่าความตายไม่ใช่หรือ
เมื่อลมหมัดแรงฝ่ามือสวนปะทะเข้ามา หมากสีดำทั้งสี่ตัวก็ตามมาไล่ฆ่าด้วยเช่นกัน
ชั่วขณะหนึ่งจิ่วซานปั้นตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
หลบหลีกหมัดและฝ่ามือฮวาลิ่วนั้นไม่ยาก
หลบเลี่ยงอาวุธลับโจมตีของฮวาลิ่วก็ไม่ยากเช่นกัน
แต่หลบหลีกไปพร้อมๆ กันนั้นเป็นไปไม่ได้
จะมีคนหนีรอดไปได้หรือไม่ จิ่วซานปั้นก็ไม่รู้
แต่เขาในขณะนี้ไม่ว่าอย่างไรก็หลบไม่พ้น
ในเมื่อหลบไม่พ้น มีเพียงฝืนตั้งรับเท่านั้น
ทังจงซงลงมือไม่ทันเวลา บัณฑิตจางย่อมไม่ลงมือ
ความจริงแล้ว จิ่วซานปั้นไม่เคยคิดจะพึ่งพาผู้อื่น ผู้ที่เขาเชื่อใจมาโดยตลอดมีเพียงตัวเขาเอง
ฮวาลิ่วสว่างไสวสาดส่องราวกับสุริยันดวงน้อย หมากสีดำสี่เม็ดที่ลอยอยู่รอบตัวดูเหมือนดาวตกสี่ดวง
ดาวตกพาดผ่านนภาเป็นเรื่องที่สวยงามยิ่งนัก สามารถใช้ขอพรได้
แต่เมื่อดาวตกสู่โลกมนุษย์ นั่นก็เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งการสังหารและความตาย
ยังจำเรื่องในวันนั้นที่ฮั่ววั่งสังหารหมู่และเผาราบไปหลายร้อยลี้เพราะดาราดวงใหญ่ตกสู่พื้นได้หรือไม่
ดาวตกของฮวาลิ่วไม่ได้ใหญ่และอันตรายเพียงนั้น
ทว่าเขาก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ห่างหลายร้อยลี้ ต้องการเพียงครึ่งจั้งข้างหน้า
เพราะในยามนี้จิ่วซานปั้นอยู่ห่างจากเขาเพียงครึ่งจั้งเท่านั้น
จิ่วซานปั้นก็ตระหนักถึงผลที่ตามมาและชะตากรรมของตนได้ดี
ฉะนั้นเขาแยกกรรไกรคีบถ่านเป็นสองส่วน มือหนึ่งกำไว้ครึ่งหนึ่งเล็งไปที่หน้าอกข้างซ้ายของฮวาลิ่ว
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเลือดชดใช้ด้วยเลือด ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิต!
เจ้าต้องการทำลายแขนขาข้า เช่นนั้นข้าก็จะทำลายหัวใจและปอดเจ้า
อย่างมากข้าก็พิการไปตลอดชีวิต ส่วนเจ้าจะไม่มีทางฟื้นคืนได้ชั่วนิรันดร์
ฮวาลิ่วคิดไม่ถึงว่าจิ่วซานปั้นจะลงมือรุนแรงเพียงนี้
วิชากระบี่ของจิ่วซานปั้นล้วนบรรลุได้ด้วยตนเองโดยธรรมชาติ เฉกเช่นเดียวกับสัตว์อสูรในเก้าบรรพตนั่น
เมื่อพบเจอวิกฤติ หากมีทางไปย่อมต้องไปทางนั้น หากไร้ทางไปเช่นนั้นก็ใช้กรงเล็บและเขี้ยวกัดขย้ำให้มีทางออก
จะมีทางหนีทีไล่หรือไม่ล้วนต้องทุ่มสุดชีวิตจึงจะรู้ได้
ทว่า…
อีกสาเหตุที่จิ่วซานปั้นกล้าทำเช่นนี้นั่นคือเขาพนันว่าฮวาลิ่วไม่กล้า
ดังคาด…
ฮวาลิ่วชักหมัดและฝ่ามือกลับ
ปฏิกิริยาหวนคืนการฝืนระบายพลังออกทำให้จุดลมปราณในกายพุ่งพล่านสงบลงยาก…ผ่อนลมหายใจไม่ทัน จนต้องพ่นลมหายใจออกมาด้วยเสียง ‘เฮือก’
หมากสีดำทั้งสี่ถูกจิ่วซานปั้นใช้กรรไกรคีบถ่านสกัดกั้นจนส่งเสียง ‘แกร๊ง’ ถึงสี่ครั้ง
หมากสีดำร่วงพื้น เสียงกรรไกรคีบถ่านแตกหักสะท้อนเสียงดัง
ทุกอย่างดูเหมือนจะจบลงแล้ว
………………………..
โรงน้ำชาปิดแล้ว
ฝูงชนที่คึกคักเมื่อครู่ก็แยกย้ายกันไปแล้ว
เสี่ยวจีหลิงเดินบนถนนเพียงลำพัง ไม่รู้ว่าจะไปที่ใด
รสชาติสุรา น้ำชา และขนมแป้งกุหลาบครึ่งชิ้นก่อนหน้านี้ยังค้างในปากของเขา
ทันใดนั้น เขาหยุดฝีเท้าลง
เพราะมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของถนน
ในแสงสลัวมองเห็นชัดเจนเพียงโครงร่างเท่านั้น แต่ไม่อาจมองเห็นใบหน้าชัดเจน
คนผู้นี้ต้องไม่ใช่ผู้สัญจรไปมา
ผู้คนที่สัญจรไปมาส่วนใหญ่มักรีบร้อน
ต่อให้รอคน ก็จะไม่ยืนอยู่กลางถนน
มีเพียงผู้ก่อปัญหาเท่านั้นจึงจะทำเช่นนี้
เสี่ยวจีหลิงมองปราดเดียวก็รู้ ฉะนั้นเขาจึงหยุดฝีเท้า
“ท่านมีธุระใด”
น้ำเสียงไม่ได้ตื่นตระหนก
แม้ว่าขั้นฝึกตนวิถียุทธ์ของเขาจะไม่สูง เพิ่งเข้าสู่ระดับปรมบุคคล
แต่ทักษะการหลบหนีของเขานับว่าเฉลียวฉลาด
ต่อให้จะถูกไล่ฆ่าจากระดับบรมภูมิก็สามารถหลบหนีและป้องกันตนเองอย่างไร้รอยขีดข่วน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ตระหนกมากนัก
“คำพูดไร้สาระของเจ้ามากเกินไป”
คนผู้นั้นกล่าว
“คำพูดไร้สาระมากก็เพราะว่าข้ามีความสุข คำพูดไร้สาระก็สามารถทำให้ทุกคนมีความสุข ท่านต้องเป็นผู้ที่หวงแหนคำพูดดุจทองเป็นแน่ ไยต้องทำให้คนพูดไร้สาระลำบากใจเล่า”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“คนที่พูดไร้สาระมากเกินไป ย่อมมีลำคออ่อน”
คนผู้นี้กล่าว
“ลำคออ่อนรึ ข้าเคยได้ยินแต่หูอ่อน กลัวภรรยา! ยังไม่เคยได้ยินลำคออ่อนมาก่อน”
เสี่ยวจีหลิงกล่าวอย่างดูแคลน
เท้าซ้ายของเขาถอยหลังไปครึ่งก้าว ตั้งท่าหนีจากไป
“ลำคออ่อน ตัดศีรษะง่าย”
คนผู้นี้กล่าว
“ตัดศีรษะรึ ศีรษะข้าแข็ง!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“ศีรษะเหลี่ยงเฟินแข็งหรือไม่”
คนผู้นี้ถาม
เสี่ยวจีหลิงไม่กล่าววาจาใดอีก
เขาหวาดกลัวแล้ว
ความกลัวนี้กลายเป็นความตื่นตระหนกในทันที กระทั่งทำให้ขาของเขาอ่อนแรงเล็กน้อย เขารู้ดีว่าแม้เขาต้องการหลบหนีในสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่อาจออกแรงได้เต็มที่
ฉะนั้นเขาจึงอยากกล่าวอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระหรือเหตุผล เขาก็ต้องกล่าวอะไรสักอย่าง
พูดคุยมากขึ้น ถ่วงเวลาออกไปอีกสักหน่อย ตนจึงจะผ่อนคลายจิตใจและวางแผนเส้นทางหลบหนีที่ดีที่สุดและจัดสรรแบ่งพลังที่ต้องการได้
แต่คนที่อยู่ตรงข้าม เดินเข้ามาหาเขาทีละก้าวแล้ว…
เขาไม่เพียงแต่เป็นคนที่หวงแหนคำพูดดุจทองคำ แต่เป็นคนที่หวงแหนเวลาดุจทองคำเช่นกัน
เขาไม่ยอมปริปากพูดเรื่องไร้สาระ และไม่อยากเสียเวลาแม้เพียงชั่วครู่
สิ่งที่เขาต้องการก็จะไปทำและจะไปทำมันเดี๋ยวนี้
ตราบใดที่จะทำ เขาจะทำให้สำเร็จโดยไม่มีข้อแม้
“เรื่องราวที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเจ้า ข้าฟังจบแล้ว ฉะนั้นข้าไม่คิดว่าเจ้าจะยังมีเรื่องราวที่ทำให้ข้าประทับใจได้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องราวนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า ไยเจ้าถึงนำเรื่องจริงของผู้อื่นมาล้อเล่นเป็นเรื่องตลกเล่า ถูกกำหนดให้ไร้ที่มาที่ไป”
คนผู้นี้กล่าว
ครั้นเดินเข้ามาใกล้เสี่ยวจีหลิงจึงมองเห็นชัดเจน
คนผู้นี้สวมหมวกฟาง ดาบยาวพาดอยู่ระหว่างเอว
นับตั้งแต่ผ่านพ้นคืนนั้นไป ก็ไม่มีผู้ใดพบเจอเสี่ยวจีหลิงอีกเลย…
ทุกคนในโรงน้ำชาต่างนึกว่าเขาไปสถานที่น่าสนใจอีก และครั้งหน้าย่อมต้องนำเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นกลับมาอย่างแน่นอน
……………………………………………………………………….